“ว่าไงคะคุณหนู”
“ฝนหารองเท้าสีส้มส้นสี่นิ้วคู่เก่งไม่เจอ”
กล้วยทำหน้านึกแล้วก็เดินหายไปยังชั้นเก็บรองเท้าภายในห้องแต่งตัวของเจ้านาย “พี่กล้วยเคยเห็นอยู่ในนี้นี่นา เอ...หายไปไหน”
ปลายฝนนิ่งไปเดี๋ยวเดียวก็ทำท่านึกขึ้นมาได้ “เหมือนจะเอาใส่ถุงไปบริจาคแล้วหรือเปล่า”
“ใช่ค่ะ”
“อยู่ในห้องเก็บของแล้วมั้ง พี่กล้วยไปรื้อออกมาให้ฝนหน่อย”
กล้วยพยักหน้าตอบรับทันที “ได้ค่ะ เดี๋ยวพี่กล้วยไปเอามาให้นะคะ”
“ขอบคุณนะคะ” ปลายฝนบอกพร้อมกับส่งยิ้มหวานจนกล้วยขนลุกเกรียวทีเดียว
รอจนกล้วยพ้นประตูไปแล้ว ค่อยย่องออกจากห้อง ตรงไปยังอีกฟากของตัวบ้าน สุดมุมนั่นคือห้องนอนของภูผา
นึกอะไรได้ กลับเข้าห้องตัวเองอีกครั้ง วิ่งไปหยิบแฟลชไดร์ฟแล้วตรงไปยังห้องที่เป็นจุดหมายอีกรอบ
เอื้อมจับที่เปิด พร้อมภาวนาขออย่าให้เจ้าของห้องล็อคทีเถอะ ขยับเบา ๆ ไม่ได้ติดล็อก ก็ค่อยพ่นลมออกปากด้วยอาการ
โล่งอกโล่งใจ ดันประตูเข้าไปในนั้นได้ มองหาคอมพิวเตอร์ของอีกฝ่าย ได้ยินภูผาบอกว่าเซฟเก็บไว้แล้ว ก็คงต้องเก็บไว้ในเครื่องนี้แหละ
เดินไปที่คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กของเขา นั่งลงได้ เปิดหน้าจอขึ้นใช้งานทันที แต่พอถูกถามถึงรหัสผ่าน ก็ส่งเสียงเบา ๆ ขัดใจ มุ่ยหน้าเล็กน้อย นิ่งคิดเป็นครู่ ค่อยวางมือตั้งท่าจะพิมพ์รหัสปลดล็อกลงไป ตอนนั้นเองที่มีเสียงดังมาจากประตูห้องว่า “พาสเวิร์ดไม่ใช่วันเกิด ไม่ต้องพิมพ์ลงไปหรอก”
ปลายฝนสะดุ้งเล็กน้อย ตั้งสติได้ เก๊กหน้าขรึม ลุกจากเก้าอี้ ตีมึนถามกลับไปว่า “พาสเวิร์ดอะไร”
“ก็เห็นอยู่ว่ากำลังจะใช้งานคอมของคนอื่น”
เบ้ปากแล้วตอบกลับ “เข้ามาตามหาพี่กล้วยต่างหาก”
“ตามหาในโน้ตบุ๊ก?”
ตอบออกไปแบบไหน ก็เข้าตัวหมด เลยเงียบดีกว่า “…”
มือกำแฟลชไดร์ฟแน่นไม่ให้แหลมออกมาจนภูผาเห็น แล้วก็นึกด่าความโง่ของตัวเอง ทำไมไม่หยิบอันที่มันเล็กกว่านี้ก็ไม่รู้ กำแน่นจนมันเบียดมือด้านในเจ็บไปหมดแล้วเนี่ย แล้วเลยทำทีเดินหลบฉากจะออกจากห้องของเขาไป ขยับเดินไปทีละก้าว ไม่เห็นเขาเข้ามาขวางก็เดินพรวด ๆ จะตรงไปที่ประตู
“เดี๋ยว” เสียงเรียกพร้อมกับแรงคว้าที่ข้อมือทำเอาปลายฝนใจสั่น ตวัดมือหนี แต่ไม่พ้น ร้องโวยวายว่า “อะไร”
“ขโมยอะไรไปด้วย”
แกล้งร้องออกมาคำหนึ่งว่า ‘เหอะ’ ถามหมิ่น ๆ “ห้องนี้มีอะไรให้ขโมย” แล้วดึงมือกลับ แต่ถูกแรงที่เยอะกว่าสาวเข้าหา พร้อมกับก้มลงหาจนได้กลิ่นกายหอมสะอาดลอยจากตัวเขาเข้ามาแตะปลายจมูกของเธอ
ต่างคนต่างจ้องตากันนิ่งแบบนั้นเป็นนาที ค่อยได้ยินเสียงทุ้มขู่เชิงท้าทายกลับมาว่า “รอบหน้าถ้าเห็นแอบเข้ามาวุ่นวายในนี้อีก”
ปลายฝนเชิดหน้าขึ้น ถามอย่างพาล ๆ “จะทำไม นี่มันบ้านฉันนะ”
ภูผายื่นหน้าเข้ามาใกล้กว่าเดิม จนต้องห่อไหล่คู้หลบ เม้มปากหนี ได้ยินเขากระซิบกลับมา “ถ้าอยากรู้ว่าจะทำไม คราวนี้ก็แอบเข้ามาอีกสิ”
“ไม่ต้องมาขู่”
รอยยิ้มบนใบหน้าสุภาพ ดูไม่สุภาพเลยสักนิด ดูยียวนกวนโมโหไม่น้อยเลย ปลายฝนเพยิดหน้าที่ออกร้อนท้าทายกลับบ้าง “กลัวตายล่ะ” แล้วสะบัดสุดแรง แต่ภูผาจงใจปล่อยพอดี จึงหลุดจากมือของเขาไปได้ ตัวเองเป็นอิสระจากเขาแล้ว รีบหันหลังเดินหนี ออกจากห้องของเขาไป
ที่ด้านนอก ปลายฝนเจอมารดาเข้าพอดี ท่านยิ้มมองอย่างแปลกใจเดี๋ยวเดียว ก็ค่อยตรงมาทางนี้ ถามเสียงอ่อนโยนว่า “ทำไมทำหน้ายุ่งแบบนั้นเล่า ไหนว่าจะรีบไปทำงาน”
“กำลังจะไปแล้วค่ะ ฝนไปนะคะ” ปลายฝนหลบตาแม่ เข้าไปกอดแน่น ๆ แล้วผละเข้าห้องของตัวเองอีกครั้ง เพื่อหยิบกระเป๋าจะไปทำงานตามที่อ้างไว้จริง ๆ เสียที
ปิยมาภรณ์มองจนบุตรสาวลับตาแล้ว หันกลับมาอีกที เห็น
ภูผาเดินออกจากห้อง ทางนั้นหน้านิ่งอยู่แล้ว มองอย่างไรก็มองไม่ออกหรอก ว่านึกคิดหรือรู้สึกเช่นไร ถามไปว่า “จะไปเลยหรือภู”
“ครับ” ภูผาตอบรับแล้วเดินเลยไป แต่คนเป็นแม่ขวางพร้อมกับอ้าแขนออกรอ
“โตแล้ว ไม่กอดแม่แล้วสินะ” ภูผาเผยรอยยิ้มอ่อนโยนแบบเดียวกัน ก่อนจะเข้าไปโอบร่างมารดาไว้เบา ๆ แต่กลับถูกคนเป็นแม่กอดกระชับเสียแน่น “เมื่อก่อนตอนสามขวบ กอดแม่แน่นเลย แกะเท่าไรก็ไม่ยอมปล่อย แต่ตอนนี้ต้องขอร้องให้กอดแม่แล้วหรือเนี่ย”
ภูผาได้ยินอย่างนั้นก็หัวเราะออกมาเบา ๆ “คุณแม่ยังไม่แก่เลยนะครับ ทำไมนึกถึงแต่เรื่องในอดีต”
ปิยมาภรณ์กอดร่างสูงใหญ่ที่เมื่อก่อนผอมบางเล็กจ้อยพร้อมกับหวนนึกถึงเรื่องราวทั้งร้ายดีที่ผ่านมา เรียกบุตรชายด้วยชื่อเล่นเบา ๆ “ภู”
“ครับ”
“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แม่ยังคิดเสมอนะ ว่าแม่เป็นแม่ของภู เคยรักภูแบบไหน แม่ก็ยังรักภูอยู่แบบนั้น ไม่เคยเปลี่ยนเลยนะลูก”
ภูผายิ้ม ตอบรับออกไปแค่สั้น ๆ ว่า “ครับ”
“อ้อ” คนเป็นแม่ร้องเสียงดังออกมาคำหนึ่ง แล้วผละออกเพื่อมองหน้า บอกเสียงขึงขัง “มีเปลี่ยนอยู่เรื่อง”
ภูผาขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความสงสัย ปิยมาภรณ์ก็ว่า “เปลี่ยนตรงที่แม่รักภูมากขึ้นทุกวันน่ะสิ”
ภูผายิ้มออกมากว้างกว่าเก่า บอกรักกลับไป
“ผมก็รักคุณแม่ครับ”
ได้ยินคำบอกรัก ที่ไม่ได้ยินมานาน หัวใจคนเป็นแม่บานฟูจนพองคับอก “เวลาเดินไวเสียจนแม่ใจหายเลยนะ ดูแขนเล็ก ๆ ของเด็กชายภูผานี่สิ ใหญ่อย่างกับก้ามปูเลย” พูดจบยกมือจับต้นแขนที่บัดนี้กำยำไม่น้อย บีบเบา ๆ อย่างมันเคี้ยว ภูผาหัวเราะน้อย ๆ แล้วว่า “ผมต้องไปแล้วนะครับ”
ปิยมาภรณ์พยักหน้าเบา ๆ เดินลงไปส่งอีกฝ่ายที่หน้าบ้าน
จนเห็นว่าพารถหายลับออกจากรั้วไปแล้ว ก็ค่อยลดมุมปากลงอย่างเดิม เมื่อครู่ตนไม่ได้ตาฝาดแน่ ปลายฝนเดินออกมาจากห้องของภูผา