“พี่ปรินไม่จอดดูหน่อยหรือคะ”
“ดูทำไมกันคะน้องฝน พวกนี้มันหาเรื่องเอง ทำมาขับจ่อขับจี้ โธ่ รถเล็กแค่นั้นจะมาแรงเท่ารถของน้องฝนได้ยังไงกัน จริงไหมคะ”
ถึงเธอจะขึ้นชื่อว่าเป็นคนชอบเหวี่ยง ขี้วีน แต่ไม่ใช่คนไร้จิตสำนึกขนาดที่ว่าทำผิดแล้วจะไม่รับผิดชอบการกระทำของตัวเอง
ปลายฝนเอี้ยวมองทางนั้นอีกทีก็ชักสีหน้าไม่สบอารมณ์
เพราะมองเห็นเป็นแค่จุดเล็ก ๆ สีดำ ๆ อยู่ไกลลิบนู่นแล้ว ถ้าขึ้นทางด่วนแต่แรกก็ไม่ต้องคอยขับซอกแซกหลบรถเล็กรถใหญ่รถมอเตอร์ไซค์แบบนี้หรอก ถนนใต้ทางด่วนขาเข้ากรุงเทพก็ช่างหาที่กลับรถได้ยากเย็นเหลือเกิน กระแทกหลังกับเบาะนั่ง ออกอาการเซ็งตัวเอง ไม่น่าเลย เธอไม่น่าดื่มเลย ไม่อย่างนั้นจะได้ขับรถกลับบ้าน โดยไม่ต้องให้ปรินพากลับแบบนี้
ปรินเลือกใช้เส้นทางด้านล่างเพราะต้องการแวะที่ร้านอาหารสาขาหนึ่งของตนแถวบางปะกง หันมายิ้มหวาน บอกเธอ
“พี่ขอแวะอีกร้านตรงบางจากนะคะน้องฝน”
“ฝนจะกลับบ้าน” ปลายฝนหมุนหน้ามามองปริน สั่งเสียงแข็ง ว่า “ตอนนี้เลย”
ปรินใช้นิสัยกระล่อนยื่นหน้ายิ้มประเหลาะบอกกลับ “นะครับสวีทฮาร์ต ขอพี่แวะร้านอีกเดี๋ยวเดียวเอง” บอกจบขับไปจอดที่หน้าร้านของตัวเอง ไม่ถามความสมัครใจของเธอสักคำ แทนที่จะเลี้ยวไปส่งที่บ้านก่อน แต่กลับแยกมาอีกทาง เพื่อแวะทำธุระของเขาที่ร้านอาหารหนึ่งในหลายสาขาของเขา จอดรถแล้ว ปรินวิ่งปรู้ดเข้าไปในร้านทันที พร้อมกับที่ข้อความเด้งขึ้นที่หน้าจอโทรศัพท์ของเธอ
‘อย่ากลับดึกนักนะลูก แม่เป็นห่วง’
ปลายฝนส่งเสียงขัดใจอีกครั้ง ตอบมารดากลับไปด้วยสติ๊กเกอร์รูปหน้าของตัวเองว่า ‘รับทราบค่ะ’
พร้อมกับสติ๊กเกอร์จากเพื่อนสนิทของเธอแจ้งเตือนสวนเข้ามาว่า ‘อยู่ไหนเอ่ย’
ปลายฝนได้ที่ระบาย พิมพ์กลับไป ‘ซวยสุด ๆ เลยอีฟ’
‘เป็นไรเหรอ’
‘ไปกินข้าวที่ร้านใหม่ของพี่ปรินมา อีตานั่นตีเนียนบอกจะขับรถให้ ที่ไหนได้แวะเข้าที่ร้านจนจะครบทุกสาขาอยู่แล้วเนี่ย แค่นั้นไม่พอนะ ดันขับรถเฉี่ยวมอไซค์อีก’
ทางนั้นอ่านจบพิมพ์ถามกลับมาทันที ‘ฝนเมาหรือ’
“ดื่มไปหน่อยแต่ไม่เมา” พิมพ์ตอบเพื่อนไปแบบนั้นแล้วก็เบ้ปากเข้าข้างตัวเองว่าไม่เมาจริง ๆ นี่นา
ทางนั้นถามกลับพร้อมส่งสติ๊กเกอร์มองบนมาให้ด้วย
‘ดื่มแต่ไม่เมา?’
เลยเปลี่ยนเรื่องไปเสียเลย “เขาคงเห็นว่าฝนดื่ม เลยอาสาขับให้ ฝนกลัวโดนเป่าด้วยแหละ’ ปลายฝนพิมพ์ตอบไปก็ใจคอไม่ดีเล็กน้อยเมื่อนึกถึงการคาดโทษของบิดา ‘ถ้าคุณพ่อรู้ ต้องยึดรถฝนแน่เลย’
ณัฐวลัญช์เป็นที่ระบายของเธอแบบนี้เสมอมา พูดคุยกันได้ทุกเรื่อง แม้จะทำงานคนละสาย อยู่ไกลถึงขอบประเทศแต่ก็ติดต่อกันทุกวัน ทั้งแชท ทั้งโทร.คุย
ปลายฝนครุ่นคิดครู่เดียว วางโทรศัพท์ลง แล้วย้ายไปนั่งที่หลังพวงมาลัย พารถออกจากที่จอดไปเสีย เป็นจังหวะเดียวกับที่ปริน เดินออกจากร้านมาพอดิบพอดี
เห็นจากกระจกมองหลังว่าทางนั้นโบกมือหย็อย ๆ ตะโกนเรียกให้รอด้วย พร้อมกับวิ่งตามมา ปลายฝนจึงเหยียบคันเร่งหนี หาได้สนใจไม่ แล้วนั่งบ่นอยู่คนเดียวในรถเพราะต้องฝ่าจราจรยามราตรีเกือบสองชั่วโมงกว่าจะถึงบ้าน
จอดรถเรียบร้อย พี่เลี้ยงเข้ามายืนยิ้มกริ่มรอที่ด้านข้าง ปลายฝนเหลือบตามองที่กล้วย อีกฝ่ายก็เอาแต่ยิ้มไม่พูดอะไรสักที จนนึกรำคาญจนต้องเอ่ยถาม “มีอะไรหรือคะพี่กล้วย”
กล้วยยังคงยิ้มส่ายคอดุ๊กดิ๊ก แต่ไม่ยอมพูดว่าอะไร เข้ามาช่วยถือของแล้วพาเข้าบ้าน เลยขี้เกียจเซ้าซี้ถามอีก เดินผ่านประตูเข้ามาแล้ว เสียงทักของมารดาดังขึ้นทันที “ลูกสาวของแม่กลับมาแล้ว”
ปลายฝนเดินเข้าไปหาท่าน ก็ให้รู้สึกถึงหัวใจที่เต้นผิดจังหวะเล็กน้อย เมื่อมองเลยไปที่ด้านหลังของมารดา พบว่ามีใครอยู่ตรงนั้นด้วยอีกคน เบี่ยงตัวทำทีเป็นวางกระเป๋า มือข้างหนึ่งขยับปกเสื้อปิดสิ่งที่สวมติดคอ กระแอมกลบเกลื่อนตอบไปว่า “ค่ะ”
ปิยมาภรณ์ถามข้ามบ้านมา “ไปกินข้าวถึงไหนกัน กลับป่านนี้”
ปลายฝนรับน้ำจากคนในบ้านมาดื่มแม้ไม่หิวก็ตามที เพื่อลดอาการประหม่าที่อยู่ ๆ ก็พุ่งสูงขึ้น ตอบมารดาว่า “พี่ปรินอยากเซอร์ไพรส์ฝนน่ะค่ะ เลยพาไปดินเนอร์ตรงโรงแรมเปิดใหม่แถว...”
“พัทยา” เสียงขรึมเอ่ยขึ้นไม่ดังนัก แต่ก็ไม่ได้เบา ก่อนที่เธอจะพูดจบเสียอีก ปิยมาภรณ์หันกลับไปถามทางนั้นอย่างสนใจ “ภูว่าอะไรนะลูก”
“คุยต่อจากเมื่อครู่นี้ครับ ที่คุณแม่ถามว่ามาจากไหน ทำไมถึงบ้านป่านนี้” นายแพทย์ภูผาตอบด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มประดับอยู่เล็กน้อย “ผมแวะไปหาอาจารย์อำนวยชัยที่โรงพยาบาลเปิดใหม่ในพัทยา ออกจากตรงนั้นมาตอนสองทุ่ม ก็ตรงเข้าบ้านเลย ฝนตกตลอดทางอีกต่างหาก”
“แบบนี้เอง ฝนตก ถนนก็เลยลื่น จนรถล้มอย่างนั้นใช่ไหมภู” คนเป็นแม่สรุปเรื่องที่คุยค้างก่อนหน้าปลายฝนจะกลับเข้ามาด้วยน้ำเสียงไม่สบายใจเท่าใดนัก “แม่บอกแล้วว่าไม่ให้ใช้รถสองล้อแบบนั้นมันอันตราย ภูก็ไม่เชื่อ”
คนเป็นแม่บ่นไปตามเรื่อง “แล้วดูซิ แผลถลอกเต็มตัวไปหมดเลย เสื้อขาด กางเกงก็ขาด”
ปลายฝนมองมารดาที่ดูวุ่นวายกับทางนั้น ก็ค่อยเบ้ปากน้อย ๆยกแขนกอดอก พูดขึ้น “คุณแม่ทำอย่างกับเขาเป็นเด็กสามขวบ ไม่เช็คดูกางเกงชั้นในด้วยล่ะคะว่าขาดไหม”
ปิยมาภรณ์ส่ายหน้า หันมาส่งสายตาเอือมระอาให้เธอ แล้วบ่นว่า “ดูลูกสาวแม่พูด”
ภูผาบอกด้วยรอยยิ้มประดับใบหน้าน้อย ๆ “ผมไม่ได้ล้มเพราะประมาทหรอกครับ เจอเจ้าถนนขับเบียด เฉี่ยวจนเสียหลักก็เลยล้ม”
ปิยมาภรณ์ฟังแล้วก็ไม่ใคร่พอใจ ขยับเข้ามาจับแขนภูผา ร้องอย่างไม่สบอารมณ์ “แย่จังเลยนะคนเดี๋ยวนี้ เห็นถนนเป็นสนามแข่งหรือยังไง แล้วใครที่ไหนขับเบียดภู”
“ไม่ทราบครับ ไม่ยอมลงมาดูด้วย ขับรถหนีไปเลย ดีนะครับที่รถคันหลังเบรกทัน ไม่อย่างนั้น...”