การนอนร่วมห้องกับคุณเฉินหยางมิใช่เรื่องที่ต้องใช้เวลาตัดสินใจนาน เสวียนซือชิงทราบดีอยู่แก่ใจแล้วว่าไม่สามารถทำได้ เพราะความใกล้ชิดที่ได้รับตลอดหลายวันที่ผ่านมา แทบทำให้หัวใจของนางหลอมละลายคล้ายขี้ผึ้งเหลวที่ถูกเคี่ยวด้วยความร้อนแล้ว
เสวียนซือชิงแจ้งสาวใช้ว่าต้นยามซื่อ[1]ค่อยแวะเวียนมาดูแล เนื่องจากคุณชายและนางต้องการความเป็นส่วนตัว ทั้งยังฝากบอกคุณชายหลี่ด้วยว่าไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารมื้อเช้า เพราะเรื่องเล็กน้อยเช่นนั้น นางย่อมจัดการได้ ไม่เกินความสามารถแต่อย่างใด
มิแน่ใจว่าคุณชายเฉินหยางไม่พอใจกับการแก้ไขปัญหาของนางหรือว่ามีเรื่องอื่นกวนใจ เขาทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ใบหน้าหล่อเหลาดุดันจนสาวใช้ทั้งสองไม่กล้าสู้หน้า แต่เสวียนซือชิงไม่มีสิทธิ์ทำเช่นนั้น จึงพยายามออดอ้อนเอาใจ สุดท้ายใบหน้าเย็นชาก็เปลี่ยนมาอ่อนโยน ทั้งยังเอ่ยคำหวานให้นางได้ชุ่มฉ่ำหัวใจดังเดิม
หากพระสวามีของนางให้ความสนใจได้สักครึ่งหนึ่งของคุณชายเฉินหยางก็คงจะดีไม่น้อย
“ซือชิง วันนี้เราออกไปข้างนอกดีหรือไม่ ข้าอยากกินอาหารที่โรงเตี๊ยมเปิดใหม่ ไม่ใช่ว่าฝีมือเจ้าไม่ดีนะ อร่อยที่สุดเลยก็ว่าได้ แต่ข้าแค่อยากไปเที่ยวเล่นบ้างก็เท่านั้น”
บุรุษเจ้าเสน่ห์มิลืมกล่าวต่อไปด้วยว่าหากนางไม่อยากออกไปข้างนอก เขาก็จะอยู่เป็นเพื่อน หากต้องการปักผ้า แม้ช่วยสนเข็มไม่ได้ แยกประเภทด้ายปักผ้าไม่เก่ง แต่เขาก็ยังสามารถป้อนขนม พูดจาหยอกเย้าให้นางไม่เคร่งเครียดกับงานจนเกินไปนัก
คุณชายเฉินหยางน่ารักถึงเพียงนี้ นางจะปฏิเสธเขาได้อย่างไร
“ได้ยินว่าอาหารที่โรงเตี๊ยมคุณชายหลี่รสชาติดี เราไปที่นั่นดีไหมเจ้าคะ”
“ดีเหมือนกัน ข้าเองก็ไม่ได้เห็นหน้าจินหมิงนานแล้ว ไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง แต่กว่าจะถึงเวลากินมื้อเย็นก็อีกหลายชั่วยาม เราไปเดินเล่นในตลาดก่อนดีหรือไม่”
“เจ้าค่ะ แต่ยามอยู่ข้างนอก ข้าคงเรียกท่านว่าท่านพี่ไม่ได้ เกรงว่าผู้คนจะติฉินนินทา หาว่าซือชิงเป็นบ่าวตีตัวเสมอนาย”
เสวียนซือชิงมีโอกาสได้สนทนากับสาวใช้ จึงทราบว่าผู้คนในเมืองล้วนเข้าใจว่านางและแม่นมสุ่ยคือบ่าวที่ตวนอ๋องเฉินฟาหยางส่งมาดูแลตำหนักร้าง หาใช่พระชายาของตวนอ๋องแต่อย่างใดไม่
“ไม่อนุญาต อยากเป็นท่านพี่ของซือชิงทุกเวลา หากใครพูดมาก ข้าจะตัดลิ้นเสีย” กล่าวจบตวนอ๋องก็ประคองนางขึ้นรถม้า แน่นอนว่าเป็นรถม้าที่คุณชายหลี่จัดเตรียมไว้ให้
บางครั้งคุณชายเฉินหยางดูเกรี้ยวกราดจนน่ากลัว หลายครั้งมองนางคล้ายกำลังโกรธแค้น แต่ผ่านไปครู่เดียวก็เหลือเพียงความอ่อนโยนประทับอยู่ในดวงตาสีเข้ม ฉายความปรารถนาลึกล้ำให้นางรู้สึกหวาดหวั่นทั้งหัวใจ แต่เขากลับไม่เคยล่วงเกินนางเลยสักครั้ง ทำตามสัญญาที่กล่าวไว้อย่างหนักแน่น
คุณชายบอกว่าจะรอ...รอจนกว่านางจะรัก
“คุณชายอยากได้เสื้อผ้าใหม่หรือเจ้าคะ” เสวียนซือชิงถามเมื่อเห็นว่ารถม้าจอดที่หน้าร้านตัดเสื้อของสกุลหลี่
“ข้ามีเยอะจนสวมใส่ไม่ทัน หมายถึงเสื้อผ้าของตวนอ๋อง รูปร่างเราสองคนไม่ต่างกัน สนิทสนมกันมาก แบ่งปันกันได้ทุกเรื่อง”
เสวียนซือชิงร่ำไห้อยู่ในใจ คุณชายเฉินหยางและตวนอ๋องคงสนิทกันมาก ถึงขั้นยกตำหนักเยว่ฉีและแบ่งปันสตรีเลยทีเดียว
“แล้วเหตุใดเราจึงแวะมาที่นี่ล่ะเจ้าคะ”
“คืนนั้นข้าทำตู้โตวของเจ้าขาด แม้จินหมิงส่งเสื้อผ้ามาหลายตัว แต่ของส่วนตัวเช่นนั้น เขาย่อมไม่กล้าถือวิสาสะ จึงได้แต่แสร้งละเลยไป” เฉินฟาหยาง กล่าวเสียงดังฟังชัด ทำเอาสาวใช้สองคนต้องก้มหน้าเพื่อซ่อนความเขินอาย ทว่าคนที่อายเสียยิ่งกว่าพวกนางก็คือเสวียนซือชิง
“ความจริงเรื่องเล็กน้อยเท่านี้ ท่านพี่ไม่ควรต้องลำบาก เอาไว้วันหลังข้าค่อยแวะมาจัดการเองก็ย่อมได้”
“หากให้เจ้าจัดการเอง ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าเลือกได้ถูกใจข้า”
คำตอบของเฉินฟาหยางทำให้สาวงามมิกล้าพูดต่อ ได้แต่ยืนมองบุรุษร่างสูงออกคำสั่งให้นำผ้าไหมเนื้อดีมาให้เลือก ราคาผ้าแพงจนนางรู้สึกลำบากใจ แต่เสวียนซือชิงรู้ดีเกินกว่าจะโต้แย้ง จึงปล่อยให้เขาสนุกสนานกับการเลือกผ้าตามสบาย ส่วนตัวนางถูกพาไปยังด้านในของร้านเพื่อวัดขนาดตัวอย่างละเอียด
ในระหว่างที่คุณชายเฉินหยางจับจ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่ายอยู่นั้น บรรดาคุณหนูโฉมงามต่างก็พากันกระซิบกระซาบว่าคุณชายผู้นี้งามยิ่งนัก ยามทำหน้าตาบึ้งตึงไม่พอใจสินค้าว่าน่ามองแล้ว แต่ยามยกยิ้มมุมปากอย่างพึงพอใจกลับทำให้ผู้คนโดยรอบละสายตาลำบาก สุดท้ายคุณหนูนางหนึ่งทนมิไหว ตรงเข้าเริ่มบทสนทนาโดยไม่กลัวว่าจะถูกมองไม่ดี
“คุณชายคล้ายจะชอบผ้าไหมสีแดง ให้เหม่ยลี่ช่วยเลือกไหมเจ้าคะ”
“ความจริงชอบผ้าไหมสีแดง แต่ผิวขาวราวน้ำนม สวมสีชมพูก็น่ามอง”
ตวนอ๋องเฉินฟาหยางกล่าวโดยไม่มองหน้าสตรีที่พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะสานสัมพันธ์กับเขา
“คุณชายต้องการตัดเสื้อให้กับผู้ใดหรือเจ้าคะ เหม่ยลี่ช่วยเลือก”
“อยากได้ผ้าเนื้อดีสำหรับตัดตู้โตวให้กับคนรักของข้า เจ้ายังคิดอยากจะช่วยหรือไม่” คำตอบของเฉินฟาหยางทำให้คุณหนูนางนั้นแทบกระอักเลือด แต่นั่นยังน้อยนักหากเทียบกับสายตาเย็นชาที่กวาดมองโดยรอบ ทำเอาเหล่าสาวงามต่างพากันก้มหน้า ที่เลือกผ้าอยู่ก็เปลี่ยนใจไม่เลือกแล้ว ส่วนที่เลือกได้แล้วก็รีบจ่ายเงินก่อนออกจากร้านไป
หลี่จินหมิงที่เพิ่งมาถึงเห็นคุณหนูหลายนางออกจากร้านอย่างพร้อมเพรียงกันก็ให้เกิดความสงสัย แต่พอเห็นว่าผู้ใดอยู่ในร้านก็ถึงกับส่ายหน้า ทราบดีแล้วว่าตวนอ๋องเฉินฟาหยางใช้ความเย็นชาปานน้ำแข็ง ไล่เตะพวกนางเสียจนกระเด็น
“ท่านทำให้ข้าเสียลูกค้า เรื่องนี้เห็นทีต้องชดใช้ ปล่อยผ่านไม่ได้เด็ดขาด”
“พวกนางน่ารำคาญ มองอยู่ได้ ไม่เคยเห็นบุรุษหรืออย่างไร”
“บุรุษในเมืองนี้เดิมทีงามที่สุดเห็นจะเป็นข้า แต่อย่างไรก็พ่ายแพ้ให้กับศิษย์พี่ใหญ่ คงต้องรออีกยี่สิบปี ให้ผมท่านกลายเป็นสีขาว ข้าค่อยกล้าพูดว่าตัวเองรูปงามที่สุดอีกครั้ง ถึงวันนั้นเหล่าสาวงามคงไม่จ้องมองให้ท่านต้องลำบากใจแล้ว”
หลี่จินหมิงหยอกล้อตวนอ๋องผู้สูงศักดิ์ เผื่อว่าจะทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง ลืมนึกไปว่าเรื่องอายุที่แตกต่างกันหลายปี อาจทำให้อีกฝ่ายกังวลจนโทสะพุ่งสูงเสียยิ่งกว่าเดิม
“ต่อให้ผมข้าขาวโพลนทั่วศีรษะ เจ้าก็ยังไม่มีวันเอาชนะได้อยู่ดี!”
“ฮ่า ฮ่า ถึงเวลานั้นเราค่อยมาว่ากันอีกครั้งเถิด ว่าแต่ท่านมีธุระอันใด อยากตัดเสื้อผ้าใหม่หรือ” หลี่จินหมิงยังคงไม่รู้ตัวว่าได้ทำให้อีกฝ่ายขุ่นเคืองใจ เร่งสอบถามเอาความเผื่อว่าจะช่วยอำนวยความสะดวกอันใดได้บ้าง
“ถูกต้อง อยากได้ผ้าไหมที่ดีที่สุดสำหรับตัดเสื้อให้ซือชิง ข้าไม่ใช่คนรักหยกถนอมบุปผาเช่นเจ้า เสื้อตัวในรวมถึงตู้โตวของนางล้วนแต่ฉีกขาดไปหมดแล้ว”
“นี่ท่าน! เหตุใดจึงพูดจาหน้าไม่อายเช่นนี้ มิห่วงชื่อเสียงนางบ้างหรือ!”
“นางเป็นสตรีของข้า เจ้าไม่จำเป็นต้องออกความเห็น ทำเพียงจัดเตรียมข้าวของให้นางโดยเร็ว ยามค่ำคืนจะได้ไม่หนาวเนื้อจนเกินไปนัก จริงสิ ข้าไม่แน่ใจว่าเจ้าจำหน่ายสมุนไพรด้วยหรือไม่ หากไม่รบกวนจนเกินไป ช่วยหาขี้ผึ้งให้ข้าสักสี่ห้าตลับ คราวก่อนนางเจ็บช้ำไปหลายวัน กว่าจะเดินเหินสะดวกต้องใช้เวลา...”
“พอได้แล้ว! ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเหตุใดท่านจึงพูดจาทำลายเกียรตินาง ทำร้ายจิตใจข้า มิใช่ว่าข้าสัญญาแล้วหรือว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยว มิใช่ท่านสัญญาแล้วหรือว่าจะดูแลนางให้ดี!”
ได้ยินคำถามเช่นนั้นแล้ว เฉินฟาหยางก็พลันได้สติ ทว่ายังเชิดหน้าสูง ไม่ใส่ใจคำตัดพ้อต่อว่าของบุรุษที่เยาว์วัยกว่า
เหตุใดเขาจึงกลายเป็นบุรุษที่ควบคุมอารมณ์ของตนมิได้เล่า!
เสียงตวาดของคุณชายหลี่จินหมิงเรียกความสนใจของสตรีที่เพิ่งวัดสัดส่วนรูปร่างแล้วเสร็จได้เป็นอย่างดี นางเดาได้ว่าทั้งคู่มีปากเสียงกัน แต่ในเมื่อตนเรียกได้ว่าเป็นคนนอก ออกความเห็นอันใดไปคงไม่เหมาะ อีกอย่างคือนางไม่ทราบว่าสองบุรุษทะเลาะกันเพราะเรื่องใดแน่
“คุณชายหลี่สบายดีหรือไม่เจ้าคะ” เสวียนซือชิงทักทายตามมารยาท สังเกตเห็นชัดว่าบุรุษที่มากับนาง กำหมัดแน่นจนข้อนิ้วซีดขาว เส้นเลือดปูดโปน มองดูหน้าแล้วเย็นชาเสียยิ่งกว่าทุกวัน
“ข้าสบายดี แล้วคุณหนูเสวียนเล่า สบายดีหรือไม่”
“สบายดีเจ้าค่ะ คุณชายเฉินดูแลข้าเป็นอย่างดี วันนี้ก็พามาเที่ยวตลาด จึงหายเหงาไปได้บ้าง นี่ก็กำลังคิดว่าจะไปซื้อน้ำเต้าหู้ร้านโปรดเจ้าค่ะ” เมื่อเห็น ว่ามือหนาของคุณชายคลายความแน่นลง เสวียนซือชิงจึงเข้าใจว่าต้องยิ้มหวานให้มาก เขาจึงจะกลับมาอารมณ์ดีดังเดิม
เสวียนซือชิงมิทราบว่าคุณชายเฉินหยางมักแสดงสีหน้าเรียบเฉยและจะยิ้มก็ต่อเมื่อเห็นหน้านางเท่านั้น
“เจ้าวัดตัวเสร็จแล้วก็ดี เมื่อครู่คุณชายหลี่กล่าวว่าต้องการให้สองสาวใช้อยู่ประจำที่บ้านเรา อ้างว่ากลัวคนของตวนอ๋องต้องลำบากทำงานหนัก ข้าเองก็เห็นด้วยเพราะไม่อยากให้เจ้าเหนื่อยจนเกินไป ส่วนเรื่องน้ำเต้าหู้ ข้ามิค่อยชอบ แต่ยืนรอเป็นเพื่อนเจ้าได้”
เฉินฟาหยางทอดมองนางด้วยสายตาที่อธิบายได้ยาก ทว่าหลี่จินหมิง ย่อมทราบดีว่าศิษย์พี่ของเขากำลังคิดเรื่องไม่ดี แต่การขอสองสาวใช้ให้อยู่ประจำที่บ้าน ย่อมเป็นเพราะต้องการดูแลเสวียนซือชิงมิใช่หรือ แล้วเหตุใดเขาจึงยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่เล่า
“เช่นนั้นเสร็จจากซื้อน้ำเต้าหู้แล้ว ท่านพี่อยากเดินดูสินค้าที่ใดต่อหรือไม่เจ้าคะ” เสียงหวานออดอ้อนของเสวียนซือชิงทำให้บรรยากาศดีขึ้น ความมืดหม่นที่แผ่กระจายโดยรอบหายไปทันตาเห็น
หากหลี่จินหมิงตาไม่ฝาด เขามั่นใจว่าชั่วหนึ่งจิบน้ำชานั้นได้เห็นรอยยิ้มอ่อนโยนของตวนอ๋อง และรอยยิ้มนั้นมิใช่รอยยิ้มที่สตรีใดในใต้หล้าเคยได้เห็นมาก่อน กระทั่งศิษย์น้องคนโปรดอย่างตัวเขาเองก็มิเคยได้รับมันเช่นกัน
“ซือชิง เราไปนั่งดูละครที่โรงน้ำชาดีหรือไม่ หรือเจ้าอยากเลือกด้ายสำหรับปักผ้า ข้าจะได้ช่วยดู”
ตวนอ๋องเฉินฟาหยางกล่าวต่อพระชายาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน คนรอบข้างได้ยินแล้วลุ่มหลงคล้ายตกอยู่ในห้วงแห่งความฝัน แม้กระทั่งบุรุษที่ไม่สบายใจอย่างมากยังเผลอไผลคลายความกังวล
หลี่จินหมิงเคยเห็นบุรุษตรงหน้าออดอ้อนสตรีให้ตกหลุมพรางอยู่บ้าง ย่อมแยกแยะได้ว่าประโยคที่เอ่ยคือความสัตย์จริงหรือแค่หลอกลวงให้เชื่อฟัง
ปรากฏว่าความห่วงใยที่ฉายออกมาจากดวงตาของตวนอ๋องเฉินฟาหยาง จริงใจมากกว่านั้นไม่ได้แล้ว
[1] เวลา ๐๙.๐๐ – ๑๐.๕๙ น.