แม้มิอยากจากก็จำจะต้องจาก เฉินฟาหยางย้ำหลายคำว่ายังสนทนากันไม่จบ ห้ามมิให้นางหนีไปไหน ทั้งยังสั่งพ่อบ้านชราเฝ้านางไว้ให้ดี และหลังจากเร่งขี่ม้าเกือบสามชั่วยาม ฝ่าสายลมอันหนาวเหน็บ ทรมานผิวกายจนแทบไร้ความรู้สึก จนกระทั่งดวงอาทิตย์ปรากฏอยู่บนท้องฟ้าได้พักใหญ่ เขาจึงเดินทางมาถึงค่ายทหารนอกเมือง “พบโครงกระดูกแล้วหรือ มั่นใจหรือไม่ว่าเป็นเขา” ตวนอ๋องเฉินฟาหยางผู้ครองตำแหน่งแม่ทัพเลื่องชื่อรีบเร่งสอบถามหลังส่งซวี่หยาม้าตัวโปรดให้กับทหารคนสนิท เขาก้าวยาว ๆ เข้าไปในกระโจมโดยมิรอองค์ชายสามและบุตรชายคนเล็กของเสนาบดีหลี่ที่เดินตามมาติด ๆ ในใจรู้สึกทั้งเสียใจและโล่งใจ แม้ทราบดีว่าองค์ชายรองคงมิรอดแล้ว แต่เมื่อได้เห็นกระดูกจริง ๆ ก็คงอดสะท้อนใจมิได้ ‘อา เสด็จพี่คงรู้สึกแย่กว่าข้ามาก’ ชั่วขณะนั้นเองที่เฉินฟาหยางเข้าใจได้ว่าเหตุใดองค์ฮ่องเต้จึงได้พิโรธนักหากเขาต้องสูญเสียเสวียนซือชิงโดยไม่มีทางหวนก