เกาลี่ฉีเดินนำหูยวี่ถิงมาอย่างช้าๆ ดูเหมือนว่าเขาจะทิ้งจังหวะให้หญิงสาวได้เดินตามตนเองได้ทัน ถึงแม้ระหว่างทางนั้นเขาจะไม่ได้เอ่ยความใดเลยก็ตาม ซึ่งเรื่องเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นั่นบ่งบอกว่าเขากำลังให้ความสนใจในตัวนางอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
ใบหน้าภายนอกของหูยวี่ถิง แสดงออกถึงความอึดอัดใจ แต่ภายในนางแทบจะไม่สามารถปกปิดใบหน้าที่ซุกซ่อนความพึงพอใจเอาไว้ได้ ไม่ไกลแล้ว...ความใฝ่ฝันที่นางจะได้อยู่เคียงข้างเขาอยู่แค่เอื้อมมือแล้ว
"เสด็จแม่ก็เป็นเช่นนี้ ช่วงนี้เจ้าคงจะเหนื่อยหน่อย ที่ข้าบอกเจ้าไปก่อนหน้านี้ ว่าเสด็จแม่คิดจะจับคู่ข้าและเจ้านั้น"
อยู่ดีๆ เกาลี่ฉีก็เอ่ยออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เขาหยุดฝีเท้าลงอย่างกระทันหัน หูยวี่ถิงที่ไม่ทันระวังตัว จึงได้เดินเข้าไปชนกับแผ่นหลังของเขาเข้าอย่างจัง
"จะหยุดทำไมไม่บอกก่อน" นางพึมพำออกมาอย่างไม่พอใจ พร้อมกับลูบปลายจมูกของตนเองที่เกิดร่องรอยแดงขึ้น
เกาลี่ฉียกยิ้มขึ้นมาก่อนที่จะกล่าวว่า "กลับมาเป็นเช่นเดิมแบบนี้เสียที ข้าชอบที่เจ้าเป็นเช่นนี้มากกว่าที่เอาแต่ถนอมคำพูดเอาไว้เช่นนั้น"
หูยวี่ถิงช้อนดวงตากลมโตขึ้นมองจ้องสบตากับเขา ที่กำลังทอดมองนางอยู่ ทั้งคู่สบสายตากัน ภาพบรรยากาศนี้ตกอยู่ในสายพระเนตรของซุนฮองเฮาพอดี
หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น ก็มีบ่อยครั้งที่ซุนฮองเฮาได้สร้างสถานการณ์ขึ้น เพื่อให้เกาลี่ฉีและหูยวี่ถิงได้พบเจอกัน ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ได้พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้นเกาลี่ฉีจะไม่แสดงออกมากนัก ว่ามีความพึงพอใจในตัวของหูยวี่ถิง แต่ก็ดูเหมือนว่าการแสดงออกของเขาจะไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจนาง ซึ่งนั่นทำให้ซุนฮองเฮารู้สึกพอพระทัยเป็นอย่างยิ่ง
ต่อจากนั้น 3 เดือนก็มีการประกาศถึงการแต่งตั้งเกาลี่ฉีเพื่อขึ้นเป็นองค์รัชทายาทของแคว้นต้าหยาง ข่าวการสถาปนานี้โด่งดังไปทั่ว แคว้นน้อยใหญ่ที่อยู่รายล้อม รวมถึงแคว้นเว่ยก็ได้ทราบข่าวนี้เช่นเดียวกัน
"เจ้าพร้อมที่จะกลับไปหรือยัง"
หลังจากที่หานอ๋องอ่านสารในมือจบลง ก็ได้เอ่ยถามสตรีผู้หนึ่งที่กำลังฝนหมึกให้กับตนอยู่
นางหยุดมือลงพร้อมกับมองจ้องไปที่เขา หญิงสาวนิ่งคิดสักพักก่อนที่จะตัดสินใจเอ่ยว่า "ข้าพร้อมนานแล้วมันผู้ใดที่ทำอะไรกับข้าไว้ ข้าย่อมต้องสะสางบัญชีนี้ด้วยตนเอง"
"รู้ใช่หรือไม่หากตัดสินใจสะสางบัญชีนี้ เจ้าและเขาอาจจะไม่มีวาสนาต่อกันอีก"
"วาสนาของข้าและเขาจบลงตั้งแต่ที่เขาเลือกเชื่อในสิ่งที่ตนเองเห็นมากกว่าที่จะเลือกเชื่อใจข้าแล้ว ท่านวางใจเถิด เรื่องนี้ข้าย่อมจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง"
"เป็นเช่นนั้นก็ดีแล้วเพราะข้าไม่ต้องการทำให้แผนการที่วางเอาไว้มานานหลายปีต้องมาพังลง เพียงเพราะความใจอ่อนของสตรีเพียงผู้เดียว"
ก่อนที่ทั้งคู่จะได้กล่าวความใดมากไปกว่านี้ ประตูก็ได้ถูกเปิดออก พร้อมกับเด็กชายตัวเล็กที่วิ่งเข้ามาด้วยใบหน้าที่มีความสุข
"เสด็จพ่อ.! เสด็จแม่.! ลูกกลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ"
หานอ๋องรีบเปลี่ยนสีหน้าของตนเองเป็นแย้มยิ้ม เขาอ้าแขนรับเจ้าตัวเล็ก ที่กำลังวิ่งเข้ามาสู่อ้อมกอดของตนเอง
"เป็นอย่างไรวันนี้ท่านอาจารย์สอนอะไรเจ้าบ้าง"
"ท่านอาจารย์สอนการควบคุมลมปราณ และให้ลูก รู้จักการฝึกสมาธิพ่ะย่ะค่ะ"
"แล้วหมิงเอ๋อร์ทำได้ดีหรือไม่" หานอ๋องเอ่ยถามบุตรชาย ที่ใบหน้าแสดงออกถึงความภาคภูมิใจ เป็นคำตอบจนหมดสิ้นแล้ว
"ย่อมต้องทำได้ดีจนท่านอาจารย์เอ่ยชมไม่ขาดปาก"
"เป็นเช่นนั้นหรือ พ่อคงต้องให้รางวัลกับเจ้าเสียหน่อยแล้วกระมัง" เขากล่าวชมพร้อมกับหอมแก้มเด็กชายฟอดใหญ่
"ท่านอย่าได้ตามใจเขาให้มากนัก แค่เพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านี้ ก็ให้รางวัลเขาแล้ว วันหน้าอาจจะทำให้เขาเคยตัวได้" หวงลี่ผิงมองดูสองพ่อลูกที่กำลังหัวเราะชอบใจกันอย่างมีความสุข นางอดที่จะเอ่ยค้านออกมาเช่นนั้นไม่ได้ เพราะดูเหมือนว่า หานอ๋องจะรักและโปรดปรานบุตรชายผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง
ตั้งแต่ที่นางได้เขาช่วยเหลือเอาไว้ในครานั้น หวงลี่ผิงก็ได้เปลี่ยนชื่อแซ่ของตนเอง และติดตามอยู่ข้างกายหานอ๋องในฐานะชายารอง ที่เป็นพระโอรสบุญธรรมของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันของแคว้นเว่ย ที่นำมาชุบเลี้ยงเอาไว้จนได้สร้างคุณงามความดีเอาไว้มากมาย และยังเป็นมือขวาของฮ่องเต้คอยปราบปรามกบฏและชนเผ่าน้อยใหญ่ที่คิดจะมารุกรานแคว้นเว่ยเอาไว้ได้ จนกลายเป็นพระโอรสองค์โปรดมากกว่าพระโอรสแท้ๆ เสียอีก แต่ด้วยความสามารถของเขาที่มีพลังปราณสีทองเข้มติดกาย จึงทำให้แม้นแต่พระโอรสแท้ๆ ก็ไม่กล้าเล่นงานเขาเช่นกัน
และด้วยความสามารถนี้เขาจึงมีอำนาจในการกุมกำลังทหารถึงหนึ่งในสามของแคว้นเว่ยเอาไว้ ส่วนหนึ่งนั้นก็เนื่องด้วยว่าเขาเป็นผู้ที่มีพลังปราณสีทองเข้ม ที่แทบจะหาไม่ได้ในแคว้นเว่ยนี้ ด้วยชื่อเสียงของเขา จึงทำให้แคว้นน้อยใหญ่ที่คิดจะมารุกรานต้องถอยร่นออกไปเพราะด้วยกลัวเกรงในบารมีของผู้ที่มีพลังปราณสีทอง เพราะผู้ที่มีพลังปราณสีทองนั้น สามารถต่อกรกับผู้ที่มีพลังปราณสีแดงได้นับร้อยคน แล้วเช่นนี้จะมีผู้ใดสิ้นคิดเอาชีวิตตนเองไปทิ้ง ในเมื่อทราบผลแพ้ชนะ ตั้งแต่ยังไม่ทันได้สู้รบอยู่แล้วเล่า
"เจ้าก็อย่าเคร่งครัดกับเขานักเลย เขายังเด็กนัก ยังมีเวลาอีกมากที่จะเรียนรู้"
"ข้าแค่ไม่อยากให้เขาถูกตามใจจนเสียนิสัยเท่านั้น"
ภาพครอบครัวที่มีความสุขเช่นนี้ ต่างเป็นภาพที่คุ้นชินเสียแล้วในตำหนักของหานอ๋อง จะมีน้อยคนนักที่ทราบว่าแท้ที่จริงแล้ว บุตรชายผู้นี้หาใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของเขาแต่อย่างใด หลังจากที่เขาได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือนางในครานั้น ก็นำนางกลับมาและตกแต่งให้นางขึ้นเป็นชายารองของตนเอง นั่นก็เพื่อเป็นการปกปิดให้ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่านางกำลังตั้งครรภ์บุตรของผู้อื่นอยู่
ชีวิตความเป็นอยู่ของหวงลี่ผิงในตำหนักแห่งนี้ถือว่าเป็นไปในทางที่ดี เพราะนอกจากนางที่เป็นชายารองของเขาแล้ว ตำหนักแห่งนี้ก็หาได้มีสตรีอื่น แม้แต่สาวใช้อุ่นเตียงก็ไม่มี
ความสัมพันธ์ของเขาและนางนั้นดูเหมือนว่าจะมีไว้เพื่อตบตาของผู้อื่นเพียงเท่านั้น แต่เพราะความใกล้ชิดสนิทสนมนี้ ถูกสะสมมานานหลายปี จึงทำให้หัวใจที่เป็นดั่งหินผาของหานหรงอี้จึงถูกสั่นคลอนได้อย่างไม่แปลกเท่าใดนัก
"พระองค์จะประทับที่ตำหนักนี้หรือเพคะ"
หวงลี่ผิงแสดงสีหน้าหวาดระแวงออกมา หลังจากที่ได้เห็นว่าหานหรงอี้ได้มาอยู่ภายในห้องของนาง
"คนเป็นสามีภรรยากันจะอยู่ห่างกันนานได้อย่างไรอีกอย่างเจ้าอย่าได้ลืมว่าตำหนักของข้ามีเพียงเจ้าที่เป็นชายาเพียงคนเดียว" หานอ๋องกล่าวเสร็จก็ทอดมองไปที่ใบหน้ากระวนกระวายของนาง พร้อมกับลอบยิ้มออกมา และทำทีเป็นไม่สนใจท่าทีนั้น
"เจ้าอย่าทำเหมือนนี่เป็นครั้งแรก ที่พวกเราทำเช่นนี้ ในเมื่อนี่ก็หลายครั้งแล้วที่พวกเราทำทีเป็นนอนร่วมเตียงกัน ข้าจะนอนอยู่ที่เก้าอี้ตัวนั้นอย่างเช่นที่เคยทำส่วนเจ้าก็นอนที่เตียงเถิด"
"เพคะ"
ถึงแม้ว่าหานหรงอี้จะรู้สึกพึงใจในตัวนาง แต่ก็ไม่เคยมีสักครั้งที่เขาจะแสดงออกหรือหักหาญน้ำใจหญิงสาว ในขณะที่ทั้งคู่กำลังจะทอดตัวลงนอน เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กชายก็ได้ดังขึ้นหน้าประตู
"เสด็จพ่อเสด็จแม่เข้าบรรทมหรือยังพ่ะย่ะค่ะ"
ทั้งคู่มองหน้ากันก่อนที่หานหรงอี้จะตอบรับคำถามนั้นออกไป
"ยังเลย หมิงเอ๋อร์มีอะไรหรือ ถึงได้มาหาพ่อกับแม่ดึกดื่นถึงเพียงนี้"
หานอ๋องเดินออกไปเปิดประตูให้กับบุตรชาย ก็ได้พบกับสีหน้าที่ดูเศร้าสร้อยเขาจึงได้ก้มลงช้อนตัวเจ้าตัวเล็กขึ้นมาอุ้มไว้ พร้อมกับถามความที่เกิดขึ้น
"ลูกนอนไม่หลับพ่ะย่ะค่ะลูกขอมานอนกับเสด็จพ่อและเสด็จแม่ได้หรือไม่"
หานหมิงห้าวแสดงสีหน้าน่าสงสารพร้อมกับทอดมองไปที่บิดามารดาอย่างต้องการความเห็นใจ
"ได้สิ" หานอ๋องเอ่ยออกมาอย่างไม่ต้องคิด ใบหน้าของเขาแสดงออกถึงความพอใจอย่างชัดเจน หากว่าไม่อาศัยโอกาสนี้ เกรงว่าเขาและนางคงไม่มีโอกาสได้นอนร่วมเตียงกันแม้สักครั้ง แต่เพราะเป็นเช่นนี้ เขาจึงได้ใช้ชีวิตอยู่กับนางคล้ายกับเป็นครอบครัวเดียวกัน
"เสด็จพ่อใจดีที่สุด"
หานหรงอี้อุ้มบุตรชายแนบอก พร้อมกับเดินตรงเข้ามาภายในห้องบรรทม หวงลี่ผิงได้แต่ส่ายศีรษะ นางแสดงออกถึงสีหน้า กระอักกระอ่วนออกมา เมื่อคิดได้ว่าคืนนี้ นางและเขาคงต้องนอนร่วมเตียงกันจริงๆ เสียแล้ว
"โตแล้วก็ยังอยากจะมาอ้อนเสด็จพ่ออีก"
หานหมิงห้าวแสดงสีหน้าสลดออกมาเมื่อถูกตำหนิ
"เจ้าก็อย่าตำหนิลูกเลย"
หวงลี่ผิงไม่กล่าวความใดอีก เพราะถึงนางพูดไปก็คงจะสู้หานหรงอี้หรือหานอ๋องไม่ได้อยู่ดี หวงลี่ผิง ขยับกายเข้าไปด้านใน เพื่อให้หานหรงอี้นำบุตรชายและตนเองขึ้นมานอนบนเตียง หานหรงอี้ดูแลกล่อมบุตรชายเข้านอนด้วยตนเองโดยที่มีสายตาของหวงลี่ผิงกำลังทอดมองการกระทำที่อ่อนโยนของเขาอยู่
หานหมิงห้าวอยู่ในอ้อมกอดของบิดาก็รู้สึกอบอุ่น ในขณะที่เขากำลังจะปิดเปลือกตาลงหานหรงอี้ก็ได้เอ่ยขึ้นว่า
"หมิงเอ๋อร์ อีกเจ็ดวันพ่อจะพาเจ้าเดินทางไปท่องเที่ยวที่แคว้นต้าหยาง เจ้าอยากไปหรือไม่"
แววตาที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นถูกเปิดขึ้น
"ลูกอยากไปพ่ะย่ะค่ะ
หวงลี่ผิงแสดงสีหน้าหนักใจออกมา นางไม่เห็นด้วยที่จะนำบุตรชายไปด้วยในครั้งนี้ เพราะใบหน้าของเขานั้นมีความคล้ายคลึงกันกับบิดาของเขาอยู่ถึงเจ็ดส่วนหากเป็นเช่นนั้น นางจะไม่ถูกสงสัยเอาหรือ หานหรงอี้เองเมื่อได้เห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลของนาง เขาก็ได้แต่ยกยิ้มขึ้น สายตาของเขาทอดมองไปที่นางด้วยความอบอุ่นคล้ายกับจะบอกว่า 'เชื่อใจข้า'