ภายในห้องทำงาน เคลลี่แอบมองหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะเยื้องเขาเป็นระยะ ท่าทีการแสดงออกของเธอต่อเขานั้นไม่ได้มีอะไรพิเศษ แต่ไม่รู้ทำไมการที่ได้เห็นหน้าเธอทุกวันมันกลับทำให้เขารู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้นมาได้มาก ไม่ใช่แค่ใบใบหน้าที่เหมือนกับคนรักของตัวเอง แต่เคลลี่กลับมีความรู้สึกบางอย่างที่วนเวียนอยู่ภายใน ทำให้มั่นใจว่าเธอคือตะวัน
“คุณมองหนูทำไมคะ มีงานอะไรจะให้หนูทำหรือเปล่า” ดุจตะวันเอ่ยทัก เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมาแล้วพบว่าชายหนุ่มเอาแต่จ้องหน้าเธออย่างไม่กระพริบตา
“อ่อ พอดีฉันอยากจะให้เธอช่วยตรวจทานเอกสารพวกนี้ให้หน่อย ดูว่ามีคำผิด หรือคำไหนที่ตกหล่นหรือเปล่าน่ะ” เพื่อเป็นการแก้เขิน เขาเลยยื่นเอกสารตรงหน้าให้เธอมาเอาไปตรวจ ทั้งที่เอกสารพวกนี้ได้ตรวจครบถ้วนแล้วทุกแผ่น
“ได้ค่ะ เดี๋ยวหนูดูให้นะคะ” ดุจตะวันเดินไปหยิบเอกสารจากโต๊ะของเคลลี่ แล้วพลันสายตาก็เหลือบไปเห็นรูปถ่ายที่วางอยู่บนโต๊ะ รูปหญิงสาวที่ใส่ชุดนักศึกษาและมีใบหน้าเหมือนกับเธอราวกับฝาแฝด
“คุณคะ ผู้หญิงที่อยู่ในรูปเป็นใครเหรอคะ” เคลลี่หันมองไปตามดวงตาคู่สวยที่ยังจ้องอยู่ที่ภาพถ่าย
“เธอชื่อตะวัน เป็นคนรักของฉันเอง” ดุจตะวันหันมามองหน้าเขาด้วยความแปลกใจ ผู้หญิงที่อยู่ในรูปนี้น่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธอ แต่ผู้ชายคนนี้น่าจะแก่กว่าเธอเป็น 20 ปี เขามีแฟนเด็กขนาดนี้เลยเหรอ
“โห..แฟนคุณท่าทางจะอายุน้อยกว่าคุณหลายปีเลยนะคะ แสดงว่าคุณต้องเป็นคนดีมากแน่ ๆ เธอถึงยอมตกลงเป็นแฟนกับคุณ” คนตัวเล็กพูดเจื้อยแจ้วไปอย่างที่ใจนึกคิด แต่กลับทำให้เคลลี่หน้าเศร้าสลดลง
“เปล่าหรอก ตะวันอายุน้อยกว่าฉันแค่ 2 ปีเท่านั้น นี่เป็นรูปใบสุดท้ายของเธอที่ฉันถ่ายให้ ถ้าเธอยังอยู่ ตอนนี้ก็คงจะอายุ 41 ปีแล้วล่ะ” พอได้ยินคำตอบ ดุจตะวันก็หน้าถอดสี เมื่อพึ่งรู้ตัวว่าพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไป
“หนูขอโทษนะคะคุณ หนูไม่รู้ว่าเธอ เธอ” คำพูดต่อท้ายนั้นดุจตะวันไม่กล้าพูดออกมา เพราะเกรงว่าจะไปทำให้ชายหนุ่มตรงหน้าเศร้าลงไปยิ่งกว่าเดิม
“ไม่ต้องขอโทษหรอก ทุกอย่างมันเป็นเพราะฉันเองทั้งนั้น ที่ทำให้เธอจากไป” เคลลี่ยังเอาแต่จดจ้องอยู่ที่ภาพถ่ายใบนั้น ความรู้สึกผิดมากมายถาโถมอยู่ในความคิด ถ้าหากวันนั้นเขากลับมาเร็วกว่านี้ ตะวันก็คงจะไม่ต้องออกไปข้างนอกจนเกิดอุบัติเหตุ
“คุณ ไม่ร้องไห้นะคะ เธอจากไปแค่ตัว แต่เธอก็ยังอยู่ในหัวใจคุณจนถึงทุกวันนี้ หนูเชื่อว่าเธอรับรู้ได้ แล้วเธอคงไม่โกรธคุณแน่นอนค่ะ” นิ้วมือเรียวเล็กถือวิสาสะเอื้อมไปปาดน้ำตาที่คลออยู่ให้กับคนตัวโตอย่างแผ่วเบา
เคลลี่หันหน้ากลับมามองดุจตะวันที่ส่งยิ้มเล็ก ๆ มาให้ เขาไม่เคยคิดจะหาใครมาแทนที่ตะวัน แต่กับผู้หญิงคนนี้กลับมีความรู้สึกพิเศษอย่างประหลาด
“ที่คุณเอ็นดูหนู เพราะหนูหน้าเหมือนเธอ แถมชื่อก็ยังคล้ายกันอีกใช่ไหมคะ” มาถึงตอนนี้ดุจตะวันเริ่มจะเข้าใจ ว่าทำไมเคลลี่ถึงได้เรียกชื่อเธออย่างคุ้นเคยเหมือนรู้จักกันมานาน
“ซัน คือฉันไม่ได้คิดอย่างนั้นนะ” เคลลี่พยายามอธิบาย เขาไม่ได้เอ็นดูเธอแค่เพราะหน้าเหมือนตะวัน แต่เขาคิดว่าเธอคือตะวันต่างหาก
“คุณไม่ต้องอธิบายหรอกค่ะ ถ้าเกิดหน้าใบหน้าของหนูมันทำให้คุณรู้สึกดีขึ้นได้บ้าง หนูก็ดีใจนะคะ อย่างน้อย ๆ คุณจะได้ไม่ต้องจมอยู่ในความทุกข์ ไม่อย่างนั้นคนรักของคุณเธอคงจะเสียใจมากแน่ ๆ ที่เป็นต้นเหตุทำให้คุณเศร้าอยู่แบบนี้”
ยิ่งคนตรงหน้าพูด เคลลี่ก็ยิ่งรู้สึกผิดอยู่ในใจ ไม่ว่าจะเป็นเมื่อ 21 ปีที่แล้ว ที่เป็นตะวัน หรือว่าตอนนี้ที่เป็นดุจตะวัน ทั้งสองคนก็ยังเลือกที่จะทำให้เขาสบายใจ
เคลลี่มองใบหน้าของหญิงสาวที่ยังคงส่งยิ้มให้ แล้วความคิดบางอย่างก็วิ่งเข้ามาในหัว หากว่าเธอคือตะวันจริง ๆ การกระตุ้นเธอด้วยเรื่องราวในอดีตอาจจะทำให้เธอจำอะไรได้บ้างก็ได้ ถึงแม้มันจะดูเป็นความคิดที่โง่งมงาย แต่เขาก็อยากจะลองดูสักครั้ง
“ซัน อยากไปเที่ยวที่ไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า” ดุจตะวันมองหน้าเขาด้วยความสงสัยเล็กน้อย ที่จู่ ๆ เขาก็ถามเธอขึ้นมา
“มีนะคุณ มีอยู่ที่หนึ่ง แต่หนูไม่รู้ว่ามันคือที่ไหน” แต่คำตอบของเธอก็ทำเอาเคลลี่เลิกคิ้วด้วยความสงสัย
“ไม่รู้ แล้วทำไมถึงอยากไปเที่ยวที่นั่นล่ะ” โดยปกติคนเราจะต้องรู้ว่าสถานที่ไหนอยู่ที่ไหนถึงได้อยากไป แต่กับดุจตะวันเธอดันบอกว่าอยากไปทั้งที่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน
“ก็หนูฝันเห็นบ่อย ๆ น่ะสิ มันสวยมากเลยนะคุณ ตอนกลางวันก็มีทะเลหมอก อากาศก็สดชื่น ดอกไม้ใบหญ้าพลิ้วไปตามลม ส่วนตอนกลางคืนท้องฟ้าก็โปร่ง มองเห็นดาวเต็มไปหมด เหมือนกับอยู่ในทะเลดาวเลยล่ะ ที่จริงก็คุ้นอยู่นะ แต่หนูพยายามนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน”
คำตอบของดุจตะวันเหมือนเพิ่มความหวังที่อยู่ภายในใจของเคลลี่ให้มากขึ้น สถานที่ที่เธอบอก มันเหมือนกับที่ที่เคยพาตะวันไปไม่มีผิด ..ดอยเสมอดาว..
“ฉันรู้จักอยู่ที่หนึ่งนะ เหมือนกับที่ซันบอกเลย แต่ไม่แน่ใจว่าจะใช่ที่เดียวกันหรือเปล่า ไปเอาเก้าอี้มานั่งใกล้ ๆ สิ เดี๋ยวฉันเปิดให้ดู” เมื่อได้ยินแบบนั้นดุจตะวันก็รีบไปเอาเก้าอี้ของตัวเองมานั่งข้าง ๆ เคลลี่ทันที สีหน้าของเธอดูตื่นเต้นมากระหว่างที่กำลังรอเขาเปิดหน้าอินเตอร์เน็ต
เคลลี่แอบมองคนตัวเล็กที่กำลังใจจดใจจ่อจ้องมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ตาไม่กระพริบ เห็นแล้วก็ทำเอาเขาอดจะตื่นเต้นตามเธอไม่ได้
“ที่นี่ไงที่ฉันบอก เหมือนที่ซันเคยเห็นในฝันหรือเปล่า” เคลลี่กดหน้าจออินเตอร์เน็ตมาหยุดที่เพจแหล่งท่องเที่ยวเพจหนึ่ง ดุจตะวันยันตัวลุกขึ้นแล้วโน้มมาข้างหน้าเพื่อมองดูให้ชัด ๆ โดยไม่ทันสังเกตว่าตัวของเธอเบียดอยู่กับต้นแขนของเขา ซึ่งมันทำให้คนตัวโตนั้นใจเต้นระส่ำแทบไม่เป็นจังหวะ
“ไม่ใช่แค่เหมือนนะคุณ แต่มันใช่เลย ที่นี่แหละ หนูฝันเห็นที่นี่แทบจะทุกคืนเลย อ่อ แล้วถ้าคุณเลื่อนภาพไปเรื่อย ๆ มันจะมีเต็นท์สีขาวสำหรับนักท่องเที่ยวเรียงอยู่ฝั่งนี้ คุณลองเลื่อนไปดูเร็ว” เคลลี่รีบทำตามที่เธอบอกอย่างรวดเร็ว หัวใจที่เต้นเร็วแรงอยู่แล้ว ตอนนี้กลับเพิ่มระดับมากขึ้นไปอีก มันไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญแน่ ๆ
“โป๊ะเชะ! มีจริง ๆ ด้วยอะคุณ เป็นที่นี่จริง ๆ ด้วย ว่าแต่ที่ไหนเหรอคะ อุ้ย ขอโทษค่ะ” ดุจตะวันอุทานออกมาเบา ๆ เมื่อหันมาจะถามเคลลี่ว่าภาพที่เห็นอยู่ในจอนั้นคือที่ไหน แล้วก็พึ่งสังเกตว่าตัวเองนั้นเบียดอยู่กับแขนล่ำ ๆ ของเขา รอยยิ้มละมุนคลี่อยู่บนใบหน้าคมอย่างไม่ถือสา
“ที่เห็นในรูปนั้นคือดอยเสมอดาว อยู่จังหวัดน่าน”
“หูย..ทำไมอยู่ไกลจังเลยอะ แบบนี้หนูก็อดไปพอดีสิ” ท่าทางเสียดายของเธอยิ่งทำให้เคลลี่เอ็นดูมากขึ้นไปอีก ไม่ว่าจะทำอะไรเธอก็ดูน่ารักน่าเอ็นดูไปเสียทุกอย่าง
“อยากไปไหม ฉันพาซันไปได้นะ ไปเมื่อไหร่ก็ได้” นัยน์ตาคู่สวยเปล่งประกายระยิบระยับหันมามองเขา แต่เพียงครู่เดียวก็สลดลง
“ไม่ได้หรอกคุณ ผู้ชายผู้หญิงไปกันสองต่อสองมันจะดูไม่ดี แถมยังเป็นประธานบริษัทกับเด็กฝึกงานอีก เอาไว้หนูเก็บเงินไปเองก็ได้ แต่ยังไงก็ขอบคุณมากเลยนะคะที่ทำให้หนูรู้ว่า ที่ที่สวยขนาดนี้มีอยู่จริง” แม้จะรู้สึกผิดหวังอยู่ในใจ แต่เคลลี่ก็ทำได้เพียงพยักหน้าแล้วก็ยิ้มให้กับเธอ
////////////////////