10 คิดบัญชีย้อนหลัง

1439 คำ
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารครึกครื้นเป็นพิเศษเพราะลูกสาวคนเล็กกลับบ้าน เพิ่มเติมมาก็คือ คิระ คาร์เทียร์นั่งตักกับข้าวมาวางลงจานข้าวแล้วนำเข้าปาก เคี้ยวกินอย่างเอร็ดอร่อยเพราะเป็นฝีมือของแม่ มาร์คินและนาร์มินมองลูกสาวคนเล็กด้วยความเอ็นดู “กินเก่งจริงๆเด็กคนนี้” นาร์มินหันไปพูดกับสามี “แม่ยังทำกับข้าวอร่อยเหมือนเดิมเลย ว่างๆทำไปให้เทียร์ที่คอนโดบ้างสิคะ อยากกินกับข้าวฝีมือแม่” “วันไหนอยากกินกับข้าวฝีมือแม่โทรมาบอกได้เลย เดี๋ยวแม่ทำไปให้” “แม่พูดแล้วนะคะ” นาร์มินพยักหน้าด้วยรอยยิ้มเอ็นดู ไม่ว่าคาร์เทียร์จะโตแค่ไหนแต่เวลาอยู่กับพ่อแม่ก็คือเด็กน้อยคนหนึ่งดีๆนี่เอง “กับข้าวถูกปากไหมคิระ” นาร์มินหันไปถามคิระที่นั่งเงียบ อาจเพราะไม่ชินที่ต้องนั่งทานข้าวกับครอบครัวว่าที่ภรรยา บวกกับส่วนตัวเป็นคนพูดน้อยด้วย “อร่อยมากครับ” “ดีใจนะที่คิระชอบ” คาร์เทียร์มองของโปรดตัวเองสลับกับว่าที่สามี ริมฝีปากสีระเรื่อคลี่ยิ้ม ก่อนจะใช้ช้อนสำหรับตักกับข้าว ตักของโปรดตัวเองไปวางไว้บนจานข้าวคิระอย่างถือวิสาสะ ทำเอาพ่อกับแม่หันมองหน้ากันอย่่างอึ้งๆ ปกติคาร์เทียร์ไม่ตักของโปรดตัวเองให้คนอื่นง่ายๆ หากแต่คิระกลับยอมแบ่งปัน อึ้งได้ไม่นานก็ยิ้มเอ็นดูในความน่ารักของลูกสาว “กินนี่สิคะ อร่อยมาก” เธอตักแกงเขียวหวานไก่ให้เขา ปกติไม่ตักอาหารให้ใครง่ายๆโดยเฉพาะของโปรดตัวเอง ที่ปฏิบัติกับคิระแบบนี้เพราะต้องการทำดีกับเขาต่อหน้าพ่อแม่ แอบเสียดายเนื้อไก่ที่ตักให้เหมือนกัน ดันตักชิ้นที่ใหญ่ให้เขาซะส่วนสิ… “แพ้เนื้อไก่” กึก เธอหันขวับไปมองพ่อกับแม่ ไม่รู้ว่าคิระแพ้เนื้อไก่ กะจะทำดีกับเขาต่อหน้าพ่อแม่สักหน่อยแต่ดันล้มเหลว มิหนำซ้ำเธอยังเกือบฆ่าเขาทางอ้อมอีกด้วย “ขะ…ขอโทษค่ะ เทียร์ไม่รู้ว่าพี่คิระแพ้เนื้อไก่” ถึงว่าทำไมเขาไม่ตักเมนูที่เป็นเนื้อไก่กินเลย แพ้เนื้อไก่นี่เอง… “ไม่เป็นไร” “เดี๋ยวเทียร์เอาข้าวจานใหม่มาให้” เธอผลุนผลันลุกออกไปตักข้าวจานใหม่มาให้คิระ สาวใช้อาสาแล้วแต่เธออยากทำเอง ไม่ได้อยากทำดีต่อหน้าพ่อแม่แล้ว ที่ทำเพราะรู้สึกผิดมากกว่า “ข้าวจานใหม่ค่ะ” “ขอบใจ” เธอยิ้ม ก่อนจะเดินกลับไปนั่งลงที่เดิม “ขอโทษด้วยนะคิระ ป้าไม่รู้ว่าเราแพ้เนื้อไก่” “ไม่เป็นไรครับ” “พี่คิระกินนี่นะ… แกงส้ม” เธอหันไปตักแกงส้มใส่จานข้าวให้เขา ยกข้อศอกวางตั้งบนโต๊ะอาหาร มองคิระซึ่งกำลังตักแกงส้มที่เธอตักให้เมื่อครู่เข้าปากอย่างเปิดเผย “อร่อยไหมคะ” นั่งรอฟังคำตอบลุ้นจนตัวเกร็ง “อร่อย” “เทียร์ช่วยคุณแม่ปรุงเมนูนี้” คิระมองว่าที่ภรรยาที่กำลังนั่งยิ้มอย่างภาคภูมิใจเพราะคำว่า ‘อร่อย’ ของตน คาร์เทียร์เป็นผู้หญิงที่น่ารักและมีรอยยิ้มที่ดูสดใส บางครั้งอาจจะดื้อและซนไปบ้างตามประสา มองผิวเผินดูเหมือนเธอเทคแคร์ดี ทว่าในความเป็นจริง…เธอทำดีกับเขาเพราะอยู่ต่อหน้าพ่อแม่ตัวเองต่างหาก ••• หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จ คิระนั่งคุยเรื่องแต่งงานกับพ่อแม่คาร์เทียร์ต่อจนถึงสามทุ่ม ในบทสนทนาไม่ได้มีแค่เรื่องแต่งงาน แต่ยังมีเรื่องทั่วไปสอดแทรกเข้ามาให้บทสนทนาไม่ดูน่าเบื่อจนเกินไป คาร์เทียร์ออกมาส่งคิระตามที่คนเป็นพ่อบอก ‘ไปส่งพี่เขาหน่อยนะเทียร์’ “แน่ใจแล้วเหรอว่าจะแต่งงานกับฉัน” ไม่ได้อยู่ต่อหน้าพ่อแม่ จึงไม่มีความจำเป็นต้องแทนตัวเองว่า ‘เทียร์’ หรือแทนเขาว่า ‘พี่คิระ’ “จะทนฉันได้จริงๆเหรอ ไหนบอกว่าฉันเด็กไง” “แถมยังเป็นเด็กที่ชอบปีนเกลียว” เธอหันขวับไปมองคิระ ได้ยินคำว่าปีนเกลียวแล้วนึกถึงเหตุการณ์วันลองชุดแต่งงาน ทำไมต้องนึกถึงด้วยนะ… ยิ่งพยายามลืมก็มีอะไรบางอย่างมากระตุ้นให้นึกถึง ผิดกับเขาที่ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่แปลกหรอกเพราะเขาคงจูบกับผู้หญิงมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว เธอนี่สิ… ไม่เคยเลย “เอาแต่ว่าฉันเป็นเด็กปีนเกลียว ระวังสักวันจะตกหลุมรักเด็กปีนเกลียวคนนี้เข้าให้” “หึ… คงไม่มีวันนั้น” เธอทำปากขมุบขมิบล้อเลียนประโยคนั้นของคิระ รู้ตัวว่าไม่ใช่สเปกผู้หญิงที่เขาชอบ เธอไม่ได้ร้อนแรง ไม่ได้จัดจ้าน และไม่ได้เซ็กซี่เหมือนผู้หญิงที่เขาเคยลากขึ้นเตียงด้วย ใครเห็นคงจะงงเป็นไก่ตาแตกว่าคิระมาแต่งงานกับผู้หญิงแบบเธอได้อย่างไร มีดีแค่เป็นลูกสาวมาเฟียและเกิดบนกองเงินกองทองเท่านั้น ส่วนหน้าตา… ไม่เคยมองว่าตัวเองสวยหรือน่ารัก แต่คนรอบข้างมักบอกว่าเธอสวยและน่ารักในเวลาเดียวกัน “เชิญค่ะ” เธอเปิดประตูรถฝั่งคนขับออกแล้วผายมือให้เขา จังหวะคิระเดินเข้าไปเพื่อก้าวขาเข้าไปนั่งหลังพวงมาลัย เธอปิดประตูรถกลับดังเดิม คิระมองหน้าคาร์เทียร์ที่กวนประสาทตัวเองเล่น “เปิดเองสิคะ แบร่!” เธอแลบลิ้นใส่เขาแล้วรีบชิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปในบ้านอย่างอารมณ์ดีที่ได้แกล้งคิระสำเร็จ วันไหนไม่ได้แกล้งเขาคงนอนไม่หลับ… เขามองตามคาร์เทียร์แล้วส่ายหน้าไปมาพร้อมกับถอนลมหายใจด้วยความเอือมระอา ต้องแต่งงานกับเด็กแสบคนนั้นจริงๆหรือเนี่ย ยังไม่ทันแต่งงานก็เหนื่อยรอแล้ว เอื้อมมือเปิดประตูรถออกแล้วก้าวเข้าไปนั่งหลังพวงมาลัย ก่อนจะสตาร์ตรถแล้วขับออกไปจากบ้านครอบครัวของคาร์เทียร์ ขับออกมาได้สักพักก็รู้สึกถึงความผิดปกติของรถ ทำให้ต้องจอดข้างทางเพื่อดูว่ารถเป็นอะไร ยางแบน… เวรกรรม เป็นฝีมือคาร์เทียร์แน่นอนเขามั่นใจ เพราะก่อนหน้านี้ที่กำลังคุยกับพ่อแม่ของเธอ เธอขอตัวไปเข้าห้องน้ำแล้วหายไปนานมาก ฝีมือเธอล้านเปอร์เซ็นต์ เดินไปหยิบโทรศัพท์ในรถออกมาโทรหาลูกน้องของตัวเองให้มาลากรถไปที่อู่ หลังจากบอกลูกน้องเสร็จแล้วก็ดึงสายตากลับไปมองยางรถที่แบนจนขับต่อไม่ได้ “เด็กแสบ…” บาร์แห่งหนึ่ง… “ยังไม่ทันแต่งงานกันก็โดนว่าที่เมียเด็กเล่นงานแล้วเหรอวะ” รามิลฟังที่เพื่อนสนิทพูดแล้วอดขำไม่ได้ เท่าที่นั่งฟังคิระพูดมาทั้งหมด เด็กคนนั้นก็แสบใช่ย่อย แต่งงานกันไปแล้วคิระคงปวดหัวมากน่าดู “เอาน่า ถือซะว่าคาร์เทียร์เป็นสีสันของชีวิต” รามิลตบไหล่เพื่อนสนิทที่กำลังนั่งยกไวน์ขึ้นจิบ ของเหลวสีสวยไหลผ่านลำคอในยามกลืนครั้งแล้วครั้งเล่า หวังให้สิ่งนี้ช่วยบรรเทาอารมณ์หงุดหงิด “มึงพูดได้สิ มึงไม่ใช่กูสักหน่อย” “เถอะน่า แต่งงานแล้วค่อยคิดบัญชีย้อนหลัง” คิดบัญชีย้อนหลังน่ะแน่นอนอยู่แล้ว ตอนนี้คาร์เทียร์อยากแกล้งเขาวิธีไหนก็ทำไป แต่หลังจากแต่งงานกันแล้ว… อย่าคิดว่าจะมีโอกาสนั้น เตรียมโดนกำราบความแสบได้เลย “แต่จะว่าไปว่าที่เมียเด็กของมึงก็แสบจริงๆนั่นแหละ แถมยังเป็นแม่เหล็กคนละขั้วกับมึง นึกภาพไม่ออกเลยว่ะว่าหลังแต่งงานไปแล้วมึงกับเมียเด็กของมึงจะเป็นยังไงต่อ” “ชีวิตกูก็คงเต็มไปด้วยความวุ่นวาย” ความวุ่นวายที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในชีวิต ขนาดยังไม่แต่งงานกันคาร์เทียร์ยังสร้างเรื่องให้เขาไม่เว้นแต่ละวัน “ถึงบอกไง ให้คิดซะว่าเป็นสีสันของชีวิต” “สีสันหรือความน่ารำคาญของชีวิตกันแน่” รามิลนั่งขำ เขายกไวน์ขึ้นจิบอีกครั้ง สายลมเย็นๆพัดผ่านประสานเสียงดนตรีเบาๆทำให้รู้สึกผ่อนคลาย หากแต่กลับไม่มีอะไรสามารถดับความหงุดหงิดของเขาตอนนี้ลงได้
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม