ปัง…
คาร์เทียร์ปิดประตูคอนโดมิเนียมลง เดินทอดน่องไปเปิดตู้เย็นหยิบขวดน้ำออกมาเทลงแก้วแล้วยกขึ้นมาดื่มพรวดเดียวจนหมด
น้ำเย็นๆไม่ได้ช่วยทำให้ความร้อนบนใบหน้าจางหาย แก้วในมือถูกวางลง ภาพเหตุการณ์ตอนถูกคิระจูบยังคงฉายซ้ำๆในหัว
นั่นมันจูบแรกของเธอเชียวนะ…
เธอยกมือขึ้นมาแตะริมฝีปากที่ถูกคิระจูบมาหมาดๆ ความเจ็บแปลบจากรอยแผลถูกกัดตอกย้ำความจริงที่เกิดขึ้น
“หึ้ย! ตาแก่มาเฟียหงำเหงือกคิระ! กล้าดียังไงมาขโมยจูบแรกของคาร์เทียร์…” นอกจากขโมยจูบแรกไปแล้วยังกัดปากเธอจนเป็นรอยแผลถึงสองจุด
ก่อนหน้านี้ที่เขาขับรถมาส่งไม่มีบทสนทนาเกิดขึ้นตลอดถึงคอนโดเธอ ผิดกับตอนแรกที่มารับโดยสิ้นเชิง เธอพยายามพูดมากเพื่อสร้างความรำคาญให้คิระ ขากลับคงสบายหูเขามากเลยแหละ
เธอหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาอันดาที่เป็นเพื่อนสนิท
“ยัยอันดา! ฉันมีเรื่องจะบอก”
(ได้ข่าวว่าไปลองชุดแต่งงาน เป็นยังไงๆ)
“เอาตั้งแต่ต้นเลยนะ แกต้องตั้งใจฟังดีๆนะ”
(อ่าๆ ฟังอยู่ รีบเล่าเร็วฉันตื่นเต้นรอแล้วเนี่ย) อันดาตอบกลับมาด้วยท่าทางตื่นเต้น
“วันนี้ฉันกับเขาไปลองชุดแต่งงานด้วยกัน เขามารับฉันถึงคอนโด พอถึงที่ลองชุดแต่งงานเขาเดินเข้ามาหาฉันในห้องลองชุด และแกรู้ไหมว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น…”
(แกเงียบทำไมเทียร์ รีบเล่าเร็วอยากรู้แล้วเนี่ย)
เธอเงียบลงไปสักพักทำให้อันดาที่รอฟังอย่างตื่นเต้นพูดให้เธอเล่าต่อจนจบ ขอสารภาพว่าเธอไม่มีความกล้าเล่าช็อตเด็ดที่เกิดขึ้นให้อันดาฟัง แต่ถึงยังไงก็ต้องเล่า เก็บไว้คนเดียวมันน่าอึดอัดเปล่าๆ
“ฉะ…ฉันสะดุดกระโปรงชุดเจ้าสาวจน…จนเผลอไปจุ๊บเขา”
(โอ้มายก๊อดดด จะ…จริงจัง?!)
“จริง ตะ…แต่มันเป็นแค่อุบัติเหตุ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะจุ๊บปากเขา…”
(แล้วเขามีรีแอคยังไงหลังจากนั้น?)
“นิ่ง แต่ก็ไม่แปลกหรอก เขาคงจูบกับผู้หญิงมาหลายคนแล้ว แค่ฉันจุ๊บปากคงเล็กน้อยสำหรับเขา”
(ก็อาจจะจริงของแก)
“แต่จุดพีคมันไม่ได้อยู่ตรงที่ฉันจุ๊บปากเขาน่ะสิ”
(ยังมีอันที่พีคๆอีกเหรอ?)
“อือ เขาบอกว่าฉันปีนเกลียวและจะสั่งสอน แต่วิธีการสั่งสอนของเขา…” เธอยกมือขึ้นมาสัมผัสริมฝีปากที่คิระมอบจูบแสนป่าเถื่อนเป็นการสั่งสอน โทษฐานที่ไปปีนเกลียว
“ขะ…เขาจูบฉัน”
(จะ…จูบเลยเหรอ) อันดาถึงกับยกมือขึ้นทาบอกของตัวเองโดยอัตโนมัติเมื่อได้ฟังคาร์เทียร์บอกแบบนั้น
“ใช่ ขโมยจูบแรกฉันไปไม่พอ ยังมากัดปากฉันอีกด้วย”
(กัดปากด้วยเหรอ เขานี่ซาดิสม์อยู่เหมือนกันนะ แต่แกไม่ต้องกังวลไปหรอก ยังไงหลังแต่งงานกับเขาก็ต้องมีเซ็กซ์กันอยู่แล้ว)
“อันดา!” เธอแห้วเสียงใส่อันดาด้วยความเขินอาย
(ฮ่าๆๆ ฉันพูดผิดตรงไหน หรือแกจะบอกว่าถึงแต่งงานกันแล้วก็จะไม่ยอมมีเซ็กซ์กับเขา?)
“กะ…ก็” นั่นสินะ ที่อันดาพูดมามันก็ถูก
(ถึงแกกับเขาแต่งงานกันเพราะหน้าที่ แต่ต้องมีสักวันที่เรื่องนี้จะเกิดขึ้นเชื่อฉันสิ ทางที่ดี… แกไปศึกษาไว้ดีกว่านะ)
“ฉันโทรมาเพื่อเล่าเหตุการณ์ตอนลองชุดแต่งงานให้แกฟัง ไม่ได้โทรมาขอคำปรึกษาเรื่องเซ็กซ์”
(ก็แค่บอก ตอนลงสนามจริงจะได้ทำเป็น)
“ไม่คุยกับแกเล่า แค่นี้นะจะไปหาอะไรกินแล้ว”
(เขินแล้วชอบชิ่ง โอเคๆ ฉันก็จะไปทำงานต่อแล้ว ไว้วันหยุดฉันค่อยเจอกัน)
“โอเค” เธอวางสายจากอันดาแล้วเปิดตู้เย็นอีกครั้ง ดูว่ามีอะไรที่พอทำเป็นอาหารเย็นได้ไหม
ติ้ง…
เธอเปิดโทรศัพท์เพื่ออ่านข้อความที่พี่ชายส่งมาเมื่อครู่
พี่คาร์มิน : พี่สั่งอาหารเย็นไปให้ กินเยอะๆ
พี่ชายเธอน่ารักที่สุดในสามโลกเลย เธอยิ้มขณะพิมพ์ตอบกลับพี่คาร์มิน เย็นนี้คงไม่ต้องเสียเวลาทำอาหารกินเอง เพราะพี่ชายรู้ใจสั่งอาหารมาให้แล้ว
รางวัลพี่ชายดีเด่นแห่งปีต้องเข้าแล้ว…
•••
เธอเปิดซีรีส์ที่กำลังมาแรงในตอนนี้ดูผ่านNetflixบนโทรทัศน์ ตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่มเศษๆ ยังไม่ถึงเวลานอนจึงหาอะไรดู ฉากพระเอกและนางเอกจูบกันกระตุ้นภาพเหตุการณ์ในห้องลองชุดแต่งงานเมื่อตอนกลางวันให้ฉายขึ้นมาในหัว
พยายามไม่นึกถึง แต่ซีรีส์ที่กำลังดูอยู่ดันมีฉากจูบ เธอเอนศีรษะพิงหัวเตียงแล้วถอนหายใจหนักๆ ยังคงรับรู้ถึงความรู้สึกตอนถูกคิระจูบได้ไม่ลืมเลือน
เสียจูบแรกให้ตาแก่คิระไปขนาดนั้นใครจะไปลืมได้ลง!
‘ถึงแกกับเขาแต่งงานกันเพราะหน้าที่ แต่ต้องมีสักวันที่เรื่องนี้จะเกิดขึ้นเชื่อฉันสิ ทางที่ดี… แกไปศึกษาเอาไว้ดีจะกว่านะ’
จู่ๆคำพูดของอันดาที่เคยพูดกับเธอก่อนหน้านี้ก็ฉายเข้ามาในหัวเช่นกัน ลองจินตนาการถึงช่วงเวลานั้นของตนและคิระเล่นๆ แต่ดันหัวใจเต้นแรงขึ้นมาจริง
คิระคงชอบผู้หญิงจัดจ้านและร้อนแรงในเรื่องบนเตียงซึ่งผิดกับเธอที่ไม่เคยมาก่อน ถ้าเขาและเธอมีเซ็กซ์กันขึ้นมาในสักวัน ไม่อยากคิดภาพเลยว่ามันจะออกมาเป็นยังไง
ครืด ครืด
เสียงโทรศัพท์ช่วยดึงเธอออกมาจากภวังค์ความคิด แม่เธอโทรมา
“คะแม่”
(วันนี้ลองชุดแต่งงานเป็นไงบ้างลูก)
“ผ่านไปด้วยดีค่ะ”
(แค่นั้นเองเหรอ?)
เธอเม้มริมฝีปากเข้าหากัน ถ้าบอกว่าได้จูบกับว่าที่สามีแม่เธอคงอึ้งแน่นอน
“ใช่ค่ะ แม่ว่าเทียร์กับเขาเหมาะสมกันไหม”
(เหมาะสมสิ เหมาะสมมากๆ หลายคนบอกว่าเทียร์กับคิระเหมาะสมกันเหมือนกิ่งทองใบหยกเลยนะ แม่กับพ่อก็คิดเหมือนกัน)
เท่าที่เธอได้ยินมาก็ประมาณที่แม่พูด สวยหล่อเหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก
“เทียร์ไม่อยากแต่งงานกับเขาเลยค่ะแม่ แต่ก็รู้ว่าเทียร์ปฏิเสธเรื่องนี้ไม่ได้ มันคือหน้าที่ที่ติดตัวเทียร์มาตั้งแต่ยังไม่เกิดเลยด้วยซ้ำ”
(แม่เข้าใจความรู้สึกเทียร์นะ พ่อ พี่คาร์มิน พี่สะใภ้ของเทียร์ก็ต่างเข้าใจ แต่การสัญญาของสองตระกูลไม่ใช่เรื่องเล่นๆ พวกเราเลี่ยงเรื่องนี้ไปไม่ได้)
“เทียร์รู้ค่ะ พรุ่งนี้คุณแม่อยู่บ้านไหม เทียร์จะไปหา”
(อยู่ค่ะ มาหาแม่ได้)
“งั้นเทียร์ไปหานะคะ อยากกอดแม่”
(คิก… มาเลย แม่ก็อยากกอดเทียร์เหมือนกัน)
“พรุ่งนี้เจอกันค่ะคุณแม่”
(อย่านอนดึกมากละ”)
“ช่วงนี้เทียร์นอนเร็วนะ”
(ขอให้นอนเร็วทุกวัน กำลังดูหนังอยู่เหรอ?)
“ใช่ค่ะ”
(งั้นแม่ไม่กวนเทียร์แล้ว โทรมาหาเพราะคิดถึงลูกสาว ฝันดีนะ)
“ฝันดีค่ะคุณแม่” เธอวางสายจากแม่แล้วหันมาดูซีรีส์ต่อ
•••
วันต่อมา
ณ บ้านมาเฟีย
“คุณแม่~” พอมาถึงบ้านเธอก็พุ่งตัวเข้าไปกอดแม่ด้วยความคิดถึง
“คิดถึงคุณแม่จังง”
“แม่ก็คิดถึงเทียร์” นาร์มินกอดลูกสาวด้วยความคิดถึง ปกติสองแม่ลูกจะเจอกันบ่อย แต่ช่วงนี้นาร์มินต้องบินตามสามีไปดูงานที่ต่างประเทศบ่อยๆ เลยทำให้ไม่ค่อยว่างเจอลูกสาวเท่าไรนัก
“แม่ทำของหวานไว้ให้เทียร์ด้วย ของโปรดเทียร์เลย”
“ทับทิมกรอบใช่ไหมคะ!”
“ลูกสาวมาหาทั้งทีแม่ก็ต้องทำทับทิมกรอบไว้ให้อยู่แล้วสิ” คาร์เทียร์ชอบกินทับทิมกรอบมาก ช่วงก่อนย้ายออกไปอยู่คนเดียวที่คอนโดชอบอ้อนขอให้ทำให้กินอยู่เป็นประจำ กินบ่อยมากจนบ่นว่าตัวเองน้ำหนักขึ้น ทำให้ต้องหยุดกินไปสักพัก
“เป็นแม่ที่รู้ใจเทียร์มากที่สุดเลย”
“ไหนรางวัลแม่ที่รู้ใจ?” นาร์มินพูดพร้อมกับยื่นแก้มไปให้ลูกสาว
ฟอดด
คารเทียร์รู้งานหอมแก้มคนเป็นแม่ไปฟอดใหญ่ ก่อนจะเดินคล้องแขนแม่ไปกินทับทิมกรอบ
“คุณพ่อล่ะคะ” เอ่ยถามพร้อมกับตักทับทิมกรอบเข้าปาก
“ในห้องทำงาน แต่อีกสักพักก็คงลงมาแล้วเพราะคิระจะมาหา”
กึก
ช้อนที่เพิ่งตักทับทิมกรอบขึ้นมาชะงักเอาไว้ที่ริมฝีปากเมื่อได้ยินชื่อคิระออกมาจากปากของคุณแม่
“เมื่อกี้คุณแม่ว่าอะไรนะคะ ใครจะมาหาคุณพ่อ”
“แม่ลืมบอกเทียร์เลยว่าวันนี้คิระจะมาคุยเรื่องธุรกิจกับพ่อ”
“คุณพ่อจะทำธุรกิจกับคิระเหรอคะ”
“แค่เป็นพาร์ทเนอร์ชั่วคราวกันน่ะ ว่าแต่เมื่อกี้ลูกเรียกคิระว่าอะไรนะ?
“คิระไงคะ” เธอตอบกลับแม่พร้อมกับตักทับทิมกรอบเข้าปาก
“ทำไมไปเรียกพี่เขาแบบนั้น คิระเขาอายุมากกว่าเทียร์ตั้งหกปี แถมยังอายุมากกว่าพี่ชายเราอีกนะ”
“ก็…” อย่าบอกนะว่าแม่จะให้เธอเรียกคิระว่า…
‘พี่คิระ’
“เทียร์กับเขาไม่ได้สนิทกันขนาดนั้นนิคะ”
“จะสนิทหรือว่าไม่สนิทก็ไม่ควรเรียกแบบนั้น คิระอายุมากกว่าเทียร์ถึงหกปี เพราะฉะนั้นต่อไปต้องเรียกคิระว่าพี่”
นึกแล้วเชียวว่าแม่ต้องบอกให้เธอเรียกตาแก่คิระว่า ‘พี่คิระ’ แค่ลองซ้อมเรียกในใจยังรู้สึกแปลกๆเลย
“เข้าใจไหม” นาร์มินเห็นลูกสาวทำหูทวนลมจึงย้ำเสียงเข้ม
“ค่า เข้าใจแล้ว”
“อย่ารับปากลอยๆ ทำให้ได้ด้วย”
“เทียร์จะพยายามค่ะ” ว่าแล้วก็เดินถือถ้วยทับทิมกรอบเดินฮัมเพลงออกไป
นาร์มินมองตามลูกสาวแล้วถอนลมหายใจออกมาเบาๆพร้อมกับส่ายหน้าไปมา ท่าทางแบบนี้คงยากที่จะทำตาม เธอรู้จักนิสัยลูกสายตัวเองดี
“พี่คิระเหรอ? แปลกๆไงไม่รู้ เรียกคิระถือว่าประนีประนอมสุดๆแล้ว ดีนะไม่เรียกตาแก่คิระ…” เธอหยุดชะงักลงอัตโนมัติเมื่อสายตาปะทะเข้ากับคนที่ตนกำลังพูดถึงอยู่เมื่อครู่
คิระ… เขากำลังยืนอยู่ต่อหน้าเธอ
เธอยิ้มแห้ง ก่อนจะเอ่ยทักทายเขาที่ยืนมองเธอด้วยแววตาไร้อารมณ์
“สะ..สวัสดีค่ะ พี่คิระ…”