#คุณภามคะขา 1
#คุณภามคะขา 1
ตึกสีขาวสี่ชั้นที่เต็มไปด้วยเหล่านักศึกษา บ้างนั่งจับกลุ่มที่ม้านั่งใต้ตึกเรียน บ้างเดินขึ้นลงบันได บ้างยืนรอลิฟต์ต่างจากฉันที่ตอนนี้หอบกระเป๋าวิ่งขึ้นบันไดอย่างเร่งรีบ วันนี้มีเรียนตอนสิบโมงเช้าและตอนนี้เก้าโมงห้าสิบหก ภาวนาให้ฉันวิ่งไปถึงห้องเรียนก่อนอาจารย์จะเข้าห้องสอนทีเถอะ ฉันไม่มีคะแนนจะให้อาจารย์หักแล้วนะ!
“09.59 ทำลายสถิตินะบอกเลย” เสียงกวน ๆ ดังจากสายฟ้าเพื่อนสนิทในกลุ่มด้วยกันที่เอ่ยแซวมา แน่นอนว่าฉันไม่ใช่ผู้หญิงที่เหนียมอายตรงกันข้ามเมื่อเพื่อนเอ่ยประโยคนั้นจบฉันเดินเข้าใกล้มันพร้อมกับกระเป๋าที่ถูกยกฟาดคนที่เอ่ยกวนประสาทตั้งแต่เช้าของวัน
“โอ๊ย!”
“แกก็ไปแซวมล โดนตีจนน่วมไม่มีหรอกสำนึก” แก้วเพื่อนในกลุ่มอีกคนเอ่ยอย่างระอาเพราะนี่เป็นเหตุการณ์ที่เพื่อนในกลุ่มต่างคุ้นชินกันเป็นอย่างดี
“มันเคยบอกว่าไม่ตีแล้วนอนไม่หลับ” ฉันตอบเพื่อนก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ เผิงที่วันนี้ยังคงนั่งมองฉันและสายฟ้าตีกันเงียบ ๆ เช่นเคย
ยังไม่ทันได้พูดคุยกับเพื่อนมากไปกว่านี้ อาจารย์ประจำวิชาก็เดินเข้ามาพร้อมกับสายตาพิฆาตที่กวาดมองทั่วห้อง กระทั่งฉันและอาจารย์เราสบตากันปิ๊ง ๆ นั่นแหละ อาจารย์ถึงได้เดินไปที่โต๊ะพร้อมกับเริ่มบรรยายคลาสเรียนของวันนี้
ด้วยความที่ปีสามของคณะเรามีวิชาเรียนเพียงแค่สี่วิชาเฉลี่ยแล้วเรียนวิชาละวันเห็นจะได้ แต่ถึงแม้วิชาเรียนจะน้อยแต่งานที่อาจารย์สั่งนั้นไม่ได้น้อยตามเลยสักนิด อีกอย่างสาขาที่เรียนมีนิสิตไม่เยอะเลยทำให้รู้จักกันทั่วถึงทั้งชั้นปี มีเรื่องช่วยกันเต็มที่แต่ตอนที่เรื่องเงียบก็ต่างคนต่างอยู่ ตลกดีเหมือนกัน ความสัมพันธ์แบบเอื้อยอ้ายมาก
“หิวข้าวไปกินข้าวที่โรงอาหารกันไหมหรือจะกลับกันเลย” แก้วถามระหว่างที่นั่งรอเพื่อนรวบรวมงานไปส่งอาจารย์ ถามว่าตอนนี้ฉันหิวไหม ก็ไม่เท่าไหร่แต่ถ้ากลับไปคงไปนั่งเหงานอนเหงาคนเดียวแน่ ๆ ถ้าเป็นแบบนั้นขอฉันนั่งกินข้าวเปื่อย ๆ อยู่กับเพื่อนดีกว่า
“เอาสิ หารสองนะ” มนัสเพื่อนอีกคนเอ่ยตอบพร้อมกับเสนอสถานที่ หารสองคือชื่อย่อที่พวกเราใช้เรียกโรงอาหารแห่งที่สองของมหาลัย ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับตึกเรียนนี่แหละ ใกล้กับแปลงต้นไม้ของเราชาวคณะด้วย ส่วนโรงอาหารหนึ่งเราไม่ค่อยไปกินที่นั่นเท่าไหร่เพราะคนเยอะแล้วอีกอย่างอยู่คนละฝั่งกับตึกเรียนของพวกเราเลยก็ว่าได้
“ได้เลย เดี๋ยวตามไปขอกลับไปเอาของที่รถก่อน” บอกเพื่อนพร้อมกับเก็บของใส่กระเป๋าสะพายของตัวเอง สงสัยใช่ไหมล่ะว่าฉันเรียนอะไร ที่จริงฉันเรียนคณะเกษตรสาขาพืชสวน อย่างเท่เลยใช่ไหมล่ะ ชมว่าเท่หน่อยนะเพราะที่บ้านหัวจะปวดกับสาขาที่ฉันเรียนตั้งแต่ม.6 จนถึงตอนนี้ปีสามแม่ยังคงหัวจะปวดกับฉันอยู่เลย เอาแต่ถามว่าคิดดีแล้วใช่ไหม? แต่คือเรียนมาสามปีแล้วอะแม่ยังต้องถามอีกเหรอ ฉันเองก็งง
“ได้ ให้สั่งอะไรให้ไหม?”
“ไม่ ๆ เดี๋ยวไปเดินดูเอง” ฉันสะพายกระเป๋าขึ้นหลังก่อนจะรีบออกจากห้องเรียนเพื่อกลับไปเอาของที่รถ ของที่ว่าเป็นรองเท้าที่ขมิ้นฝากซื้อ กระทั่งเดินกลับมาถึงที่รถฉันหยิบกล่องรองเท้าของเพื่อนไว้ติดมือมา จากนั้นก็ตั้งใจจะเดินกลับมาหาเพื่อนที่โรงอาหารสอง
ระหว่างกลับมาที่โรงอาหาร เพราะความซุ่มซ่ามหรือเพราะฝนที่เพิ่งหยุดตกในช่วงรุ่งสางถึงทำให้พื้นมีน้ำขัง ฉันที่พยายามย่องเบากลับลื่นคราบตะไคร่บนพื้นจนเกิดทางยาว กล่องรองเท้าในมือกระเด็นออกห่างพร้อมกับร่างฉันที่ค่อย ๆ ล้มลงบนพื้น ศีรษะโขกเข้ากับประตูรถคันหรูที่จอดอยู่ใกล้ ๆ เสียงดังปึก! ดังติดต่อกันสองครั้ง ครั้งแรกศีรษะโขกเข้ากับบานประตูรถเต็มแรง เสียงปึก! ที่สองเกิดจากกระเป๋าฟาดเข้ากับตัวรถ ใจฉันฝ่อลงทันทีเมื่อได้ยินเสียงซิปขูดเข้ากับตัวรถ เสียงหวีดหวิวนั่นทำให้ฉันแทบหลั่งน้ำตา
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนตัวฉันเองยังตกใจ ภายในใจภาวนาอย่าให้มีใครเห็นเลยนะ ฉันลุกขึ้นเองได้ ถ้ามีคนเห็นฉันคงรู้สึกอายมาก...
“เป็นอะไรไหมครับ?” ฆ่าฉันเถอะ!! ทำไมตอนที่เกิดเหตุการณ์น่าขายหน้าแบบนี้ถึงต้องมีผู้หวังดีเห็นด้วยนะ
“มะ ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณค่ะ” เอ่ยขอบคุณคนใจดีที่เข้ามาช่วยพยุงอย่างทุลักทุเล เพราะมัวแต่อายกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นฉันไม่กล้ามองคนใจดีเลยสักนิด แต่สายตาฉันมองต่ำกระทั่งเจอหลักฐานชิ้นสำคัญว่าฉันเพิ่งทำเรื่องใหญ่ให้พ่อปวดหัวเพิ่มอีกแล้ว
รอยบุบและรอยขีดข่วนบนรถคันละเกือบหกล้าน
“ฮื่อ!!! ตายแน่ แม่ตีแน่เลย” บ่นกับตัวเองเสียงงอแง มือจดชื่อเบอร์โทรติดต่อและสาเหตุที่ต้องให้ข้อมูลติดต่อกับอีกฝ่าย เขียนเสร็จก็ถ่ายรูปรอยประติมากรรมที่ฉันเพิ่งรังสรรค์ขึ้นมาไว้จากนั้นก็แนบกระดาษนั้นลงบนหน้ารถโดยใช้ที่ปัดน้ำฝนรถคันหรูทับไว้
“ขอโทษนะคะ เราไม่ได้หนีนะติดต่อมานะคะเราจะรับผิดชอบประติมากรรมนี้เอง แต่ตอนนี้เพื่อนรออยู่...” เอ่ยบอกรถคันหรูนี้เสียงแผ่วก่อนจะรีบเก็บของมาไว้ในอ้อมกอด เมื่อหันมาเจอคนใจดีที่เมื่อได้สบตาก็เห็นว่าเขานั้นสวมหน้ากากอนามัยไว้อยู่ ดวงตาที่มองมานั้นจะบอกว่าเขาขำฉันอยู่ก็น่าจะใช่ คงไม่เคยเจอคนบ้า ๆ บอ ๆ แบบนั้นสินะ
“เอ่อ ขอบคุณที่ช่วยไว้นะคะ” ฉันยกมือไหว้อีกฝ่าย ยังไม่รู้หรอกนะว่าอายุเท่ากัน มากกว่าหรือน้อยกว่าแต่ขอไหว้คนตรงหน้าไว้ก่อน
“ครับ ไม่เจ็บตรงไหนใช่ไหม?” คนใจดีเอ่ยถามต่อพร้อมกับมองอย่างไม่สบายใจ
“ไม่เจ็บค่ะขอบคุณมาก ๆ เลยค่ะ เอ่อ คือขอตัวก่อนนะคะ ขอบคุณอีกครั้งค่ะ” ฉันรีบบอกอีกฝ่ายก่อนจะเดินกะเผลก ๆ ออกจากตรงนั้น มือก็ล้วงโทรศัพท์ตัวเองออกมากดโทรหาที่พึ่งของฉันในตอนนี้ หวังว่าอีกฝ่ายจะรับสายนะ ระหว่างยกโทรศัพท์แนบหูก็มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งเดินผ่านออกมาจากโรงอาหารสอง ฉันทำได้แค่หลบเท่านั้นไม่ได้สนใจหรือใส่ใจมองมากนัก
(ไง นึกยังไงโทรหาตอนนี้) ปลายสายเอ่ยถามพร้อมกับเสียงที่ดังแทรกเข้ามาเรื่อย ๆ
“พี่คุณครับ ช่วยน้องด้วย” คุณครับ คือชื่อของพี่ชายเพียงคนเดียวของฉันเอง และตอนนี้ที่พึ่งเดียวที่ช่วยให้พ่อจะไม่ดุแล้วแม่จะไม่ปวดหัวคือฉันต้องพึ่งพี่ชายคนเก่งของฉันเท่านั้น
(คะขา เป็นอะไรบอกพี่ ไม่สบายหรือเปล่า) สงสัยอีกล่ะสิ ว่าคะขาอะไรนั่นคือใคร นั่นแหละชื่อของฉัน คะขา ชื่ออย่างหวานตรงข้ามกับฉันที่เป็นอยู่มาก ๆ เลยล่ะ
“เปล่าค่ะ พี่คุณหนูทำรถของใครก็ไม่รู้เป็นรอยแล้วก็บุบด้วย แบบว่า...”
(ฮะ? ยังไงนะขับรถชนเขาเหรอหรือยัง? คะขาพี่ไม่เล่นนะรีบบอกมา เจ็บตรงไหนไหม?) พี่คุณเปลี่ยนน้ำเสียงฉับพลันพร้อมกับความรัวเร็วในประโยคแสนจะเป็นห่วงนั่น
“หนูล้มแล้วหัวโขกรถใครก็ไม่รู้ แล้วกระเป๋าก็กระเด็นไปโดนรถจนเป็นรอย...”
(แล้วเจ็บตรงไหนไหม?)
“ไม่ ไม่เจ็บค่ะ”
(เขาเรียกค่าเสียหายเท่าไหร่ พี่จะโอนไปให้)
“ยังไม่รู้เลย เจ้าของรถไม่อยู่แต่ให้เบอร์ติดต่อไว้แล้วค่ะ คือ ถ้าเขาเรียกไม่เยอะหนูพอมีเงินอยู่แต่ว่า คือถ้าไม่พอ...”
(พี่จะออกให้ จะเอาเท่าไหร่ค่อยบอกพี่)
“ขอบคุณค่ะ”
(ดูแลตัวเองดี ๆ คะขา อย่าซนขนาดนั้น)
“หนูไม่ได้ซนสักหน่อย” รีบเถียงกลับไปทันทีเมื่อพี่ชายตัวเองบอกว่าซน เหตุการณ์ครั้งนี้ฉันไม่ได้ซนนะเพียงแค่ฉันซุ่มซ่ามต่างหากเล่า
(ให้จริง เอาละถ้าไม่มีอะไรพี่ขอวางก่อนนะ ขอไปตีกับซินแสก่อนแม่ง จะไปเรียนซินแสแล้วไม่ไหวจะตีกับซินแส)
“ค่ะพี่ สู้นะ”
(อือ สู้ เจอกัน)
“เจอกันค่ะ”
“เฮ้ย! ไปทำอะไรมา ทำไมเป็นแบบนี้” เสียงร้องของกลุ่มเพื่อนฉันดังขึ้นพร้อมกับสายฟ้าที่วิ่งเข้ามาดูฉันที่กำลังเดินเข้าใกล้โต๊ะที่มีกลุ่มเพื่อนนั่งอยู่
“ล้มน่ะสิ” ตอบเพื่อนเสียงเบา ระหว่างที่เพื่อนช่วยพยุงให้ไปนั่งที่เก้าอี้ท่ามกลางสายตาสงสัยระคนเป็นห่วงของเพื่อนคนที่เหลือ
“ทำไมถึงล้มได้?” แก้วถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน มือยื่นมาจับแขนพลิกดูคล้ายสำรวจหารอยแผลหรือจุดที่บาดเจ็บ
“ไม่มีแผลหรอก” บอกกับเพื่อนพร้อมเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง เพราะไม่อยากให้เพื่อนกังวลไปมากกว่านี้เลยเปลี่ยนเรื่องคุยและทำราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ภายในใจลึก ๆ หวังว่าเจ้าของรถจะเห็นกระดาษแผ่นนั้นและติดต่อกลับมา ฉันเองก็ไม่สบายใจจริง ๆ ที่ทำให้รถของเขาเป็นรอยถึงแม้จะไม่ตั้งใจก็ตาม
ช่วงเย็นของวันฉันกลับมานั่งทำรายงานที่ห้องตัวเองพร้อมกับลอบมองโทรศัพท์บ่อย ๆ ตลอดทั้งวันเจ้าของรถก็ยังไม่ติดต่อกลับมาหรือเขาไม่เห็นกระดาษที่ฉันเขียนไว้กันนะ