05
ระยะทำใจ
“ฮึก...” เอิงเอยฟุบหน้าลงกับหมอนใบใหญ่หลังจากวิ่งเข้ามาในห้องนอน หยาดน้ำตาอุ่นร้อนไหลออกมาอย่างสุดจะกลั้นกับเรื่องราวที่รับรู้ ที่ผ่านมาเป็นเธอคนเดียวที่คาดหวังที่คิดไปเองว่ามังกรนั้นจะรักเธอมากกว่าน้องสาวที่เธอไม่เคยคิดอยากจะเป็น ไม่เคยคิดเลยว่าการผิดหวังหรือที่เรียกกันว่าอกหักมันจะเจ็บปวดมากขนาดนี้
...คงเป็นเพราะเธอคาดหวังมากเกินไป รักคนอื่นจนลืมรักตัวเองทั้งที่ควรจะรู้ตั้งแต่แรกว่าเป็นได้แค่น้องสาวไม่มีทางเป็นเจ้าของหัวใจ ผู้หญิงคนนั้นทั้งสวยทั้งโตเป็นผู้ใหญ่และอ่อนหวานซึ่งแตกต่างจากเธออย่างสิ้นเชิงที่เป็นเพียงแค่เด็กในสายตาเขาไม่ได้สวยอ่อนหวานอย่างเธอคนนั้น
“ถึงเวลาเลิกคิดไปเองได้แล้วนะ...ใครจะมาคิดอะไรจริงจังกับผู้หญิงอย่างเธอล่ะเอิงเอย” ต่อไปนี้เธอจะกลับมารักตัวเองให้มากและจะพยายามออกห่างจากเขาให้ได้มากที่สุดถึงแม้มันจะเป็นเรื่องที่ยากแต่ก็เพื่อตัวเธอเอง ร่างเล็กนอนร้องไห้อยู่นานจนกระทั่งผล็อยหลับไปในที่สุดด้วยใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา
วันต่อมา...
ครืด~ ครืด~
“อื้อ...” เปลือกตาบอบช้ำค่อย ๆ เปิดออกมาทักทายเช้าวันใหม่ด้วยความยากลำบากเมื่อได้ยินเสียงสั่นเรียกเข้าของโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าสะพายดังขึ้น
“ฮัลโหล...” เสียงแหบแห้งเอ่ยออกมาเมื่อกดรับสายซึ่งคนที่โทรเข้ามาก็คือใบพริกเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของเธอ
(เอยนี่เธอไม่สบายเหรอทำไมเสียงเป็นแบบนั้น?) จากที่ว่าจะโทรถามถึงสาเหตุที่เพื่อนรักไม่มาเรียนแต่เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่แหบแห้งผิดปกติก็อดจะเป็นห่วงไม่ได้
“ฉันรู้สึกไม่สบายนิดหน่อย วันนี้คงไปเรียนไม่ไหวนะฉันฝากเธอลาให้ฉันด้วย” ศีรษะที่ปวดตุบ ๆ กับความเปลี่ยนแปลงของร่างกายทำให้เธอรู้ตัวเองว่าไม่ไหวแน่หากจะไปเรียนในวันนี้สาเหตุก็คงเป็นเพราะร้องไห้หนักเกินไป
(ได้ ๆ แล้วนี่กินข้าวกินยาหรือยัง)
“อืม...ฉันเพิ่งตื่นน่ะ เดี๋ยวโทรสั่งเอาก็ได้”
(ถ้างั้นลุกไปล้างหน้าให้สดชื่นเถอะถ้าไม่ไหวก็ยังไม่ต้องอาบน้ำนะเดี๋ยวจะช็อกเอา แล้วก็อย่าลืมกินข้าวกินยาด้วยนะเรียนเสร็จฉันจะเข้าไปหา)
“โอเค ขอบใจมากนะที่เป็นห่วง” สองสาวพูดคุยกันอีกเล็กน้อยก่อนที่อีกฝ่ายจะวางสายไป เอิงเอยขยับตัวลุกขึ้นช้า ๆ ด้วยอาการเวียนหัวเธอนั่งนิ่งเพื่อให้อาการคงที่ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นโดยไม่ลืมที่จะเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อยืดธรรมดากับกางเกงขาสั้นธรรมดาแบบที่ใส่อยู่บ้าน
หลังจากเสร็จธุระในห้องน้ำเธอก็ค่อย ๆ เดินออกมาก่อนจะหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่บนเตียงขึ้นมาสั่งอาหารแต่ในระหว่างนั้นก็มีสายเรียกเข้าปรากฏขึ้นมา พี่มังกร...
เธอเลือกที่จะไม่กดรับสายโดยปล่อยให้มันดังอยู่แบบนั้นก่อนจะมองลอดออกไปทางหน้าต่างผ่านช่องผ้าม่านเล็ก ๆ ที่มองเห็นบ้านข้าง ๆ ก็เห็นร่างสูงของมังกรอยู่ในชุดนักศึกษายืนอยู่ตรงประตูรั้วที่เชื่อมกันในมือถือโทรศัพท์แนบหูอยู่ก็รู้ทันทีว่าเขากำลังโทรหาเธออยู่ เสียงสั่นครืดคราดดังขึ้นต่อเนื่องกันสามครั้งติดก่อนที่เขาจะยืนคุยโทรศัพท์แล้วเดินกลับไปขึ้นรถแล้วขับออกไปในที่สุด
ร่างสูงเดินออกมาจากบ้านในช่วงเช้าของวันต่อมาแต่ก็ต้องขมวดคิ้วแปลกใจเมื่อไม่เห็นร่างเล็กของหญิงสาวข้างบ้านมารออย่างทุกครั้งนั่นทำให้เขาเดินไปหาเธอก่อนจะหยุดยืนตรงประตูรั้วเพราะบ้านไม้สองชั้นร่มรื่นนั้นปิดเงียบราวกับไม่มีคนอยู่เขาจึงหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงออกมากดโทรหาเธอทันทีแต่กลับไม่มีคนรับสาย เขากดโทรซ้ำอยู่สองสามครั้งในขณะที่สายตามองขึ้นไปยังชั้นสองของบ้านหญิงสาว
ครืด~ ครืด~
ครั้งที่สี่ที่เขากำลังจะกดโทรออกก็มีสายเด้งขึ้นมาก่อนทำให้เขาต้องกดรับสายจากแฟนสาวแทน
“ครับ”
(คุณถึงไหนแล้วคะตอนนี้ขิงรออยู่หน้าล็อบบี้นะ)
“กำลังออกจากบ้านครับ”
(โอเคค่ะ ขิงรออยู่นะ)
“ครับ” พูดจบมือหนาก็กดวางสายไปก่อนจะมองขึ้นไปที่เดิมอีกครั้งเพื่อความมั่นใจว่าเอิงเอยนั้นออกไปแล้วจึงหันกลับแล้วเดินไปขึ้นรถก่อนจะสตาร์ตแล้วขับออกไปมุ่งตรงไปยังคอนโดของน้ำขิงที่เขาต้องไปรับเธอไปเรียนพร้อมกัน แม้จะแปลกใจที่เอิงเอยนั้นไม่ได้โทรมาบอกเขาก่อนถ้าหากว่าเธอจะออกไปก่อนหรือว่าจะลืมเอาโทรศัพท์ไป ร่างสูงคิดไปคิดมาอยู่อย่างนั้นหรือว่าเธอจะอึดอัดที่เขาไปยุ่งกับชีวิตเธอมากเกินไป เขาสลัดความคิดนั้นออกจากหัวเมื่อรถเคลื่อนเข้ามาจอดหน้าคอนโดของน้ำขิงก่อนที่เธอจะขึ้นรถเขาจึงขับออกไปทันที
“ขอบคุณที่มาส่งนะคะเดี๋ยววันนี้เรียนเสร็จขิงไปหาที่คณะนะ” น้ำขิงเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มซึ่งมังกรเองก็พยักหน้าพร้อมกับยิ้มให้ก่อนจะขับรถออกไปเมื่อเธอลงจากรถไปแล้ว
“ไงวะ ไปส่งสุดที่รักมาทำไมหน้าเป็นงั้น” ทันทีที่เดินเข้ามายังโต๊ะประจำเสียงของเสือที่นั่งอยู่ก็ดังขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าของเพื่อนรัก
"ไม่มีไร" เขาตอบเสียงนิ่งก่อนจะหย่อนสะโพกลงนั่งโดยไม่ลืมที่จะหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาดูแต่ก็ไร้การแจ้งเตือนใด ๆ ทำให้เขาถอนหายใจออกมาเพราะปกติแล้วจะมีข้อความจากเอิงเอยส่งหาเขาตลอดไม่ว่าจะเป็นช่วงเช้ากลางวันหรือก่อนนอนแต่นี่เธอกลับหายไปมันก็ทำให้เขาอดเป็นห่วงไม่ได้
หลายชั่วโมงต่อมา
เอิงเอยที่เพิ่งตื่นขึ้นมาในช่วงเย็นก็ลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตาก่อนจะเดินลงไปชั้นล่างเพราะเห็นข้อความจากใบพริกว่ากำลังจะมาถึง
กริ้ง! กริ้ง!
รอไม่นานเสียงกดกริ่งหน้าประตูรั้วก็ดังขึ้นดวงตากลมโตมองออกไปเมื่อเห็นว่าเป็นเพื่อนสาวก็ไม่รอช้าที่จะเดินไปเปิดให้ก่อนที่ทั้งคู่จะพากันเดินเข้ามาในบ้านโดยในมือถือถุงกับข้าวและยามาด้วย
"เป็นยังไงบ้างหน้าเธอดูซีดมากเลยนะไปหาหมอไหม" ใบพริกวางของในมือลงบนโต๊ะรับประทานอาหารก่อนจะเอ่ยถามออกมาด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นใบหน้าซีดเซียวของเพื่อนรัก
"ไม่เป็นไร ฉันดีขึ้นแล้วแหละแค่ยังปวดหัวอยู่นิดหน่อย" เพราะเธอเป็นคนที่ไม่ถูกกับโรงพยาบาลก็ว่าได้ถ้าหากไม่เป็นอะไรที่ร่างกายยังพอไหวเธอก็ไม่คิดจะไปเหยียบนอกจากซื้อยาตามร้านขายยาแทน
"เธอนี่นะ นี่ฉันซื้อกับข้าวมาฝากนะของที่เธอชอบทั้งนั้นเลย"
"ขอบคุณนะที่อุตส่าห์เป็นห่วงฉัน" เอิงเอยยิ้มให้กับใบพริกด้วยรอยยิ้มที่ซาบซึ้งมาจากใจกับความเป็นห่วงและมีน้ำใจของเพื่อนรัก
"พูดอะไรแบบนั้นล่ะ เธอเป็นเพื่อนฉันนะแล้วยิ่งอยู่ตัวคนเดียวแบบนี้ถ้าเป็นอะไรไปใครจะรู้เนี่ย บอกให้ไปอยู่กับฉันก่อนก็ไม่ไป" ถึงแม้จะรู้ว่าเพื่อนรักมีบ้านข้าง ๆ ที่ดูแลและดีกับเอิงเอยมากแต่ก็อย่างว่าผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อยู่ในบ้านหลังใหญ่เพียงลำพังมันก็อาจจะมีอันตรายเข้ามาเมื่อไรก็ได้ แม้เธอจะเอ่ยชวนไปอยู่ด้วยกี่ครั้งแต่เอิงเอยก็ปฏิเสธจนเธอไม่อยากตื๊อให้เพื่อนอึดอัดใจ
"ไม่มีอะไรหรอกน่า ฉันไม่อยากรบกวนเธออีกอย่างฉันชินกับการอยู่คนเดียวไปแล้วน่ะ"
"เฮ้อ~ เอาเถอะฉันจะไม่เซ้าซี้เธอแล้ว แล้วนี่ไปทำอะไรมาถึงไม่สบายได้เนี่ยเมื่อวานยังดี ๆ อยู่เลย แล้วขอบตาเธอมันดูช้ำ ๆ นะเหมือนคนร้องไห้" ใบพริกเลิกคิ้วถามอย่างสงสัยเพราะเมื่อวานเอิงเอยก็ยังดูปกติไม่มีทีท่าว่าจะไม่สบายเลย ไหนจะขอบตาที่บวมช้ำราวกับคนที่ผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักนั่นอีก
"สงสัยอากาศมันเปลี่ยนแปลงน่ะร่างกายฉันคงปรับตัวไม่ทัน ฉันนอนเยอะด้วยตาเลยบวม ๆ ช้ำ ๆ แบบนี้แหละไม่ได้เป็นอะไรหรอก"
"งั้นเหรอ? อืม...ฉันจะไม่ซักถามอะไรเธอมากแต่ตอนนี้เธอต้องกินข้าวก่อนนะจะได้กินยาเดี๋ยวฉันกินเป็นเพื่อนเลยแล้วกัน"
"ฮ่า ๆ โอเค~" เมื่อได้พูดคุยได้หัวเราะออกมาแบบนี้มันก็ทำให้เธอคลายความเศร้าลงได้บ้างแม้จะไม่นานก็ยังดีกว่ามัวนั่งคิดอะไรที่ทำให้ตัวเองเป็นทุกข์