ข่าวลือที่โรงแรมและบริษัทในเครือกำลังจะถึงจุดจบแพร่สะพัดไปทั่วเพราะวันนี้ภูริตประกาศเลื่อนจ่ายเงินเดือนพนักงานออกไปสามวันแล้ว ทุกคนจึงพากันบ่นอย่างหัวเสียกันถ้วนหน้า
“ตั้งแต่ทำงานมาพี่ยังไม่เคยได้รับเงินเดือนช้าขนาดนี้เลยนะเนี่ย” ชุติมากระซิบบอกลูกน้องในแผนก ณัชชาจึงเสริมขึ้นอีกคน
“นั่นน่ะสิคะ หนูนัดจ่ายค่างวดรถไว้ก็ยังไม่ได้จ่ายเลย”
“แปลกจัง ลูกค้าเยอะขนาดนี้จะขาดทุนได้ยังไง” วาโยพึมพำแผ่วเบาด้วยอีกคน
“ก็คุณภูริตเขาไม่ได้มีธุรกิจโรงแรมนี่อย่างเดียวน่ะสิ เขาอาจจะต้องเอาเงินไปหมุนกับบริษัทในเครือด้วย” ชุติมาเป็นคนตอบคำถามนั้นตามประสาคนทำงานมาก่อน วาโยจึงหันไปเอ่ยถามเพลงขวัญที่เพิ่งกลับลงมาหลังจากที่ส่งแขกขึ้นห้องพักไป
“เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าขวัญ ได้ยินคุณภูริตเขาบ่นอะไรให้ฟังไหม”
“ยัยขวัญจะไปรู้อะไร ถึงจะอยู่บ้านหลังเดียวกันแต่ก็เป็นแค่หลานนอกไส้ไม่ใช่หรือไง” ณัชชากระแทกเสียงใส่ทำให้ชุติมาต้องปรามไว้เพราะไม่อยากให้เกิดบรรยากาศมาคุในการทำงาน
“พูดอะไรแบบนั้นน่ะณัชชา”
“หนูพูดเรื่องจริงค่ะพี่ชุ พี่เคยเห็นคุณภูริตเขาพูดกับยัยขวัญบ้างไหม ขนาดมาทำงาน ยังไม่บอกให้ใครรู้เลยว่ายัยนี่เป็นหลาน” หญิงสาวเบ้ปากใส่ สายตาจับจ้องไปที่หน้าคอมพิวเตอร์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดแล้วลอบถอนหายใจออกมาอีกครั้ง “เห้อ...พูดถึงเงินเดือน ไม่รู้ว่าจะออกวันไหนนะพี่ ฉันจะกินแกลบอยู่แล้วเนี่ย”
“แกกินเป็นคนเดียวที่ไหนล่ะ คนทำงานเขาก็อยากได้เงินกันทั้งนั้นแหละ”
“จับกลุ่มคุยกันเหมือนไม่มีงานทำเลยเนอะ” เสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับเจ้าตัวที่เดินเข้ามาร่วมวงทำให้ชุติมาต้องรีบเก็บคำพูดไว้ ปรับสีหน้าให้ยิ้มแย้มหันไปทักทายคนมาใหม่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“คุณพิมพ์ สวัสดีค่ะ มีอะไรให้ชุช่วยไหมคะ”
“คุณพ่อให้ลงมารับแขก เธอรู้หรือเปล่าว่าคนไหนคือคุณราเมศร์”
“เอ่อ...พี่เองก็ยังไม่เคยเจอหรอกค่ะ พี่ลาไปหลายวันเพิ่งจะกลับมาทำงานวันนี้เองค่ะคุณพิมพ์” ชุติมายิ้มตอบด้วยสีหน้าเจื่อน ๆ
“ให้มันได้อย่างนี้สิ”
“คุณราเมศร์คือคนที่มาวันก่อนหรือเปล่าขวัญ ที่พี่ศิระให้ขวัญพาเขาขึ้นไปพบคุณภูริตน่ะ” วาโยหันไปถามเพลงขวัญอีกครั้ง ทำให้หญิงสาวสะดุ้งนิด ๆ เพราะมัวแต่เหม่อคิดถึงคำพูดของนุชรี
“ว่าไงนะ”
“จะไปถามยัยนี่ทำไม มันไม่รู้จักใครหรอก” พิมพ์พลอยเหลือบมองด้วยสีหน้าหน่าย ๆ และในจังหวะนั้นเองที่สายตาเหลือบไปสะดุดเข้ากับร่างสูงที่กำลังเดินข้ามผ่านประตูใหญ่ตรงดิ่งมาที่เคาน์เตอร์ต้อนรับ ชุติมาจึงหันมากระซิบบอกเธอแผ่วเบา
“คนนี้หรือเปล่าคะคุณพิมพ์”
“สวัสดีค่ะ ใช่คุณราเมศร์หรือเปล่าคะ” พิมพ์พลอยไม่สนใจจะตอบคำถามนั้น แต่เธอกลับรีบเดินไปต้อนรับคนมาใหม่ กระพุ่มมือไหว้เขาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับเดินผ่านเธอไปไม่ได้หันไปรับไหว้แต่อย่างใด
“อ่ะนี่”
“คะ!?” เพลงขวัญเบิกตาโตด้วยความตกใจเมื่อราเมศร์เดินมาหยุดตรงหน้าพร้อมกับถุงน้ำหอมที่เธอเอ่ยถามเขาไปเมื่อวันก่อน “อะไรเหรอคะ”
“ก็น้ำหอมที่เธอถามไง รับไปสิฉันซื้อมาให้”
“เอ่อ...ขอบคุณค่ะ” คนตัวเล็กกระพุ่มมือไหว้ รับถุงน้ำหอมมาด้วยความเกรงใจ เห็นดังนั้นพิมพ์พลอยจึงรีบเข้ามาดันเพลงขวัญออกไปทันที
“คุณราเมศร์มาหาคุณพ่อใช่ไหมคะ เชิญค่ะ เดี๋ยวพิมพ์พาไป” หญิงสาวปรายตามองเพลงขวัญอีกครั้งแล้วจึงกันราเมศร์ออกไป ถึงตอนนั้นณัชชาที่นั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์จึงรีบวิ่งออกมาถือวิสาสะเปิดถุงน้ำหอมในมือเพลงขวัญด้วยความอยากรู้
“นี่มันน้ำหอมแบรนด์ดังเลยนะเนี่ย ขวดเป็นแสนเลยนะยัยขวัญ”
“ตายแล้ว นี่ขวัญไปรู้จักเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมเขาถึงใจป้ำซื้อของแบบนี้มาให้เราล่ะ” ชุติมาเอายกมือขึ้นทาบอก พลางหยิบขวดน้ำหอมขึ้นมาตรวจดูให้แน่ใจ “ยี่ห้อดังซะด้วย”
“ของปลอมหรือเปล่า” วาโยเหมือนจะไม่ค่อยชอบใจที่เห็นเพลงขวัญไปสนิทกับผู้ชายคนอื่น เขาจึงไม่เห็นด้วยกับการซื้อของราคาแพงมาให้แบบนี้
“ระดับนั้นจะซื้อของปลอมมาให้สาวได้ยังไงกันล่ะวาโย”
“นี่หมายความว่าคุณราเมศร์นั่นเขาตามจีบแกอยู่เหรอเพลงขวัญ” ณัชชาเค้นถามจนเพลงขวัญเองก็ไม่รู้จะตอบยังไง
“เขาไม่ได้จีบฉันหรอก พอดีว่าวันก่อนฉันถามเขาถึงน้ำหอมที่เขาใช้น่ะ กะว่าจะไปซื้อบ้าง ไม่คิดว่าเขาจะหิ้วมาให้ งั้น...เดี๋ยวฉันเอาไปคืนให้เขาดีกว่า ราคาแพงขนาดนี้ฉันไม่กล้ารับหรอก”
พูดจบ คนตัวเล็กก็วิ่งออกไปจากโรงแรม ตั้งใจจะมองหารถเขาแล้ววางถุงน้ำหอมคืนไว้ที่รถเพราะไม่อยากรับของราคาแพงแบบนี้