ณิชาตื่นขึ้นมาอีกครั้งพระอาทิตย์ก็เคลื่อนตัวไปอยู่ตรงศรีษะแล้ว สองวันติดๆกันที่เธอตื่นเสียสายโด่ง ผิดจากที่เคยอย่างน่าอาย หญิงสาวพลิกตัวนอนหงายก็พบว่าเสื้อผ้าถูกถอดออกจนหมดเกลี้ยง ดีที่มีผ้าห่มคลุมปิดอยู่ตลอดเรือนร่างของเธอ เขาไม่เคยผิดคำพูดของตัวเองเลยสักครั้ง
หากบอกว่าเช้าก็คือเช้าอย่างที่เขาบอก
หญิงสาวหน้าแดงซ่านเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเขาคงทิ้งซากพวกเครื่องป้องกันเอาไว้เกลื่อนพื้นดังเดิม จึงรีบลุกขึ้นเก็บของเหล่านั้นไปทิ้ง แต่ที่พื้นกลับว่างเปล่า ปราศจากเศษชิ้นส่วนของเขาแม้แต่เพียงชิ้นเดียว ที่มีก็เพียงแต่เสื้อผ้าของเธอที่ตกอยู่รอบๆเตียงนอนนั่น
เขาคงเก็บมันไปทิ้งเองแล้ว
ณิชาคิดหาคำตอบ ก่อนพาตัวเองเข้าไปชำระล้างตัวอาบน้ำล้างหน้าเปลี่ยนชุดเพื่อออกไปยังด้านนอก
“อะไรกันแม่คุณ นอนกินบ้านกินเมืองขนาดนี้เชียว”
เสียงทักนั่นมาจากคุณอารยา มารดาของธีร์ ณิชายิ้มรับบางๆยกมือทำความเคารพหญิงสูงวัยพร้อมกล่าวทักทาย
“สวัสดีค่ะคุณ...อารยา”
ไม่ลืมว่าต้องทักทายหญิงสูงวัยตรงหน้าที่ยังสวยสง่าอยู่มากด้วยชื่อจริงของท่านเท่านั้น แม้จะแต่งงานกับบุตรชายของอีกฝ่าย แต่รู้กันเป็นการภายในว่าเพราะเหตุใด
และคุณอารยาไม่ชอบใจนักหากเธอเรียกท่านว่า ‘คุณแม่’ ท่านไม่เต็มใจจะมีเธอเป็นลูกอีกคนนั่นเอง
“บ้านช่องนี่เช็ดถูกันบ้างไหม ทำไมรกสกปรกแบบนี้”
ณิชาก้มหน้าไม่ได้ตอบว่าอะไร เพราะงานเลี้ยงเมื่อคืนที่คงเลิกเสียดึก เด็กคนรับใช้บางส่วนเข้านอนกันไปบ้างแล้ว แม้จะเก็บของกันในตอนเช้าแต่ยังไม่เรียบร้อยดี จึงเห็นความไม่เป็นระเบียบ เศษขยะกระจัดกระจายอยู่เป็นบางส่วนตรงพื้นที่ที่ยังไม่ได้เข้าไปจัดการ
คุณอารยาอยู่สำรวจบ้านพร้อมใช้สายตาจ้องจับผิดเธออีกเกือบชั่วโมงค่อยกลับไป ณิชาอยู่ช่วยเด็กๆเก็บของจนเรียบร้อยดี จึงขึ้นไปอาบน้ำใหม่อีกรอบแต่งตัวเรียบร้อยแล้วออกไปหาเพื่อนที่สนิทที่สุดของเธอในเวลาต่อมา
“ไงจ๊ะคุณนายณิช วันนี้แวะมาร้านเราได้”
เสียงทักทายของปารมี เพื่อนสนิทร้องทักมาจากเคาน์เตอร์ด้านใน ก่อนที่เจ้าตัวจะก้มลงสั่งงานกับเด็กในร้านแล้วลิ่วๆออกมากอดรัดร่างบอบบางของณิชาเบาๆอย่างทุกทีที่เจอหน้ากัน
ณิชายิ้มแล้วแย้งคำของปารมีก่อนหน้า
“คุณนายอะไรเล่าปา”
“อ้าว เป็นถึงภรรยาคุณธีร์ ผู้บริหารระดับบิ๊กบึ้มไม่เรียกคุณนาย งั้นให้ปาเรียกว่าอะไรดีจ๊ะ”
ไม่ได้ตอบอะไรเพื่อน ปารมีพาไปนั่งที่โต๊ะวีไอพีด้านใน เรียบร้อยแล้วก็ว่า
“นี่ๆมีของมาฝากหนูณิชด้วยนะ”
ว่าแล้วเดินวุ่นวายกลับไปหยิบถุงกระดาษใบหนึ่งมาส่งให้ ณิชารับมาเปิดดู พอเห็นของด้านในแล้วพลันหน้าแดงแปร้ดด้วยความอายเมื่อของฝากที่ปารมีว่านั้นเป็นชุดนอนวาบหวิวแบบที่เธอไม่มีทางใส่มันแน่
“เก็บไว้ใส่ให้คุณธีร์ละลายไปเลยไง”
ณิชาฝืนยิ้มก่อนหลบตาเพื่อน ปารมีเลยพลอยเงียบเสียงลง ถามอย่างเป็นห่วง
“ทำไมทำหน้าแบบนั้นหนูณิช”
“เปล่า...ไม่มีอะไร”
“คุณธีร์ไม่ได้ตบตีหนูณิชใช่ไหม”
“บ้า เขาจะมาตีเราทำไม”
“อ้าว ก็ที่หนูณิชเคยบอกว่าต้องแต่งงานกับคุณธีร์ก็เพราะเขาสร้างเงื่อนไขขึ้นมา เพื่อให้ช่วยบริหารเครือศิวาไล แล้วไหนยังเรื่องเก่าอีกเรื่องที่ว่าพ่อเคยไปโกงหุ้นในส่วนของคุณพ่อของคุณธีร์ที่ลงทุนร่วมกันนั่นอีก”
ณิชาพยักหน้าตามในเมื่อที่อีกฝ่ายพูดมานั้นเป็นความจริงทุกคำ เคยเล่าให้ปารมีฟังเมื่อตอนที่เธอรู้ตัวแล้วว่าต้องแต่งงานกับธีร์โดยไม่มีหนทางปฏิเสธได้ ปารมีเอียงคอมองเพื่อนแล้วชมจากใจ
“หนูณิชน่ารักขนาดนี้ คุณธีร์ใจร้ายได้ลงคอหรือ ปาเห็นว่าเขาก็ดูรักหนูณิชดีนี่”
ใช่ดูเหมือนว่ารัก แต่ความจริงแล้วธีร์ไม่ได้รักเธอ
นอกจากจะเป็นผู้บริหารและนักลงทุนตัวฉกาจแล้ว เขายังเป็นนักแสดงที่ตีบทแตกกระจุยด้วย หากต้องปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณะชนคู่กับเธอเขาจะทำให้ดูเหมือนว่ารักภรรยาอย่างเธออย่างสุดจิตสุดใจเพื่อสยบข่าวลือที่ว่าเป็นการแต่งงานจอมปลอมหวังผลให้หุ้นในกิจการราคาถีบตัวสูงขึ้น ณิชาถอนหายใจเฮือกบอกเสียงอ่อนล้า
“ณิชได้แต่รอว่าเมื่อไรจะถึงกำหนดที่เขาตั้งเอาไว้ไวไว”
ปารมีขมวดคิ้วมุ่น ร้องถามเสียงหลง “กำหนดหย่าน่ะหรือ”
ณิชาพยักหน้ายิ้มขมขื่น
“คุณธีร์ใจร้ายชะมัดเลย ถ้าหย่ากับหนูณิชจริงๆน่ะ แต่งงานกันแล้วนะไม่ใช่แค่แต่งแต่ในนามเสียหน่อย” ปารมีพอรู้เรื่องของณิชามาบ้างเรื่องเข้าหอ เคยเอ่ยปากแซ็วช่วงหลังแต่งงานใหม่ๆ สองสาวคบหากันมานานทำไมจะดูกันเองไม่ออก ในเมื่อเพื่อนปฏิเสธได้ไม่เต็มปากว่าไม่ได้เข้าหอกับธีร์ก็คงใช่แล้วว่าเป็นสามีภรรยาอย่างถูกต้องตามนิตินัยและพฤตินัย
“ถึงแต่งแต่ในนาม หนูณิชก็เสียหายอยู่ดี หย่าแล้วเป็นแม่ม่าย เป็นผู้หญิงมีตำหนิ หมดอนาคตกันน่ะสิ”
ณิชาส่ายหน้า บอกปัด “ช่างเถอะน่า”
แล้วก็เงียบกันไปครู่ใหญ่ จู่ๆก็มีเสียงเรียกชื่อของณิชาดังขึ้น
“หนูณิช”
เสียงทักจากคนมาใหม่ ณิชายังไม่ทันหันกลับไปมอง ปารมีก็โน้มหน้าเข้ามากระซิบ
“แต่เราว่ามีอยู่คนที่ยังรอหนูณิชอยู่ ถ้าหย่ากับคุณธีร์เมื่อไรพี่แกฮูเลแน่”
ณิชาหันไปมองถึงได้เห็นว่าเป็นดนัย ชายหนุ่มที่เคยขอคบเธอเป็นแฟน พอตกลงคบกันได้แค่เดือนเดียว ธีร์ก็เข้ามาป่วนให้ต้องเลิกรากันไป เพราะต้องแต่งงานและไปภรรยาของเขาตามเงื่อนไขที่ธีร์บอก จำได้ว่าพอดนัยรู้เรื่องเขาเสนอตัวเข้ามาช่วยบริหารงานในเครือศิวาไลแทน แต่คุณกำพลไม่นิยมในตัวของดนัยนัก แม้ดนัยจะร่ำรวยไม่แพ้กับธีร์แต่ภาษีของธีร์นั้นมีมากกว่าอีกฝ่ายเป็นไหนไหน
“พี่หนึ่ง”
ณิชาสูดลมหายใจเข้าให้ลึกสุดปอด เมื่อนึกไปถึงอีกเหตุผล ธีร์ไม่ได้เพียงแค่ต้องการตลบหลังครอบครัวของเธอเพียงเท่านั้น แต่เขากับดนัยยังเคยบาดหมางกันมาก่อน เรื่องนี้ดนัยบอกกับเธอในวันแต่งงาน
รู้แต่ว่านักบริหารและนักลงทุนอย่างธีร์ ลงแรงเพียงน้อยนิดแล้วนั่งรอผลกำไรตอบแทนที่เรียกได้ว่าคุ้มสุดคุ้มอย่างที่เขามักกระทำอยู่เสมอ
“หนูณิชมากับใครคะ”
สองสาวเงียบเสียงลงไม่มีใครตอบ ดนัยมองแล้วเป็นคนตอบคำถามของตัวเองเสียเลย
“คนเดียวหรือคะ”
สีหน้าของดนัยดูแปลกใจกับคำตอบของตัวเอง เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ณิชาจะออกไปไหนมาไหนได้ตามลำพัง ทุกครั้งที่เจอกัน ดนัยพบว่าต้องมีธีร์ตามมาด้วยเสมอ
ณิชาตอบรับด้วยรอยยิ้มให้ดนัย “ค่ะ ณิชมาคนเดียว”
“อ้อ คุณธีร์ไปเชียงใหม่นี่นะ” ดนัยบอกเมื่อนึกขึ้นได้ เขารู้ตารางของศัตรูทุกย่างก้าว ไม่ว่าอีกฝ่ายจะขยับทำอะไร ไปที่ไหนก็รู้เสียหมด ที่ต้องตามดูก็เพื่อจะได้รู้เรื่องของณิชาด้วย
หญิงสาวตอบรับออกมาคำเดียว “ค่ะ”
ชายหนุ่มนั่งลงที่เก้าอี้ตัวข้างๆหญิงสาวที่ยังคงตราตรึงในใจของเขา พูดเหมือนชวนคุย “เห็นว่าไปดูที่ตกลงซื้อขายกันเรียบร้อยแล้วด้วย นี่พ่อหนูณิชจะขายทุกอย่างให้คุณธีร์เลยหรือไง แม้แต่ที่นั่นก็ด้วย” ดนัยว่าไปแบบนั้น แล้วทำท่าทีสงสัยก่อนว่าต่อ “เอ...หรือคุณธีร์จงใจซื้อทุกอย่างที่เป็นตระกูลหนูณิชกันแน่”
ได้ยินอย่างนั้นแล้วณิชาเงียบไปในทันที บิดาของเธอขายที่ที่เชียงใหม่อย่างนั้นหรือ เหตุใดจึงไม่มีใครบอกกล่าวเธอเลยสักคน พลันในใจของหญิงสาวที่เคยเป็นคนสงบนิ่งเหมือนน้ำเย็นๆในบึงใหญ่ บัดนี้เดือดปุดๆราวกับน้ำในหม้อต้มบนกองไฟ เมื่อรับรู้ในสิ่งที่ดนัยบอกออกมา ถามเสียงพยายามไม่ให้สั่นนัก
“หมายความว่ายังไงคะพี่หนึ่ง”
ดนัยมองดวงหน้าที่ขาวซีดด้วยสายตาสาสะใจปนสงสารอยู่เกินครึ่ง แล้วเปิดปากบอกออกไปด้วยท่าทีราวกับรู้สึกผิดเสียเต็มประดา นี่แสดงว่าณิชาไม่รู้เรื่องนี้เลยสินะ ไม่เสียแรงเลยจริงๆที่ยกเอาเรื่องนี้ขึ้นมาพูด
ณิชาจอดรถลงแล้วที่ใต้ร่มไม้ใหญ่ในรั้วบ้านริมน้ำที่ปทุมธานี เธอไม่ได้กลับไปที่บ้านของธีร์เพราะหลังจากที่คุยกับปารมีและดนัยได้ครู่ใหญ่ ก็ได้รับสายจากเด็กๆในบ้านนี้ว่าสดศรีเป็นลมหมดสติไป
หญิงสาวเปิดประตูรถ คว้าเอากระเป๋าลงมาด้วย เดินตรงไปยังเบื้องหน้าที่เป็นบ้านไม้กึ่งปูนสองชั้น เจอหน้าเด็กรับใช้คนหนึ่งในบ้านที่เดินออกมารับ เลยถามเสียงร้อนรนออกไป
“แม่ศรีละคะ”
“นอนพักอยู่ในห้องแล้วค่ะคุณหนูณิช”
ณิชาถอดรองเท้าวางที่ตรงหน้าประตูก่อนผลักเข้าไปเบาๆตรงไปยังห้องนอนของผู้เป็นอาที่ตนเองนับถือเสมือนมารดาที่ให้กำเนิด เรียกท่านเสียงสั่นเล็กน้อยด้วยความเป็นห่วงและกังวลอย่างที่สุด
“แม่ศรีขา”
หญิงวัยกลางคนที่นอนนิ่งอยู่ ยกศรีษะขึ้นมาแค่พ้นหมอนหนุน ถามแหบๆ “หนูณิชหรือลูก”
“ค่ะแม่ศรี หนูณิชเอง เป็นยังไงบ้างคะ”
พอเห็นว่าใครมา ท่านก็เปล่งเสียงให้ดูสดชื่นขึ้น “ไม่เป็นอะไรสักหน่อย”
“โกหกณิชอีกแล้ว”
“ไหนมาใกล้ๆแม่ซิ”
ณิชาเข้าไปคุกเข่าข้างเตียงขยับไปใกล้คนที่นอนพักบนนั้นยิ้มให้ท่าน นางสดศรียกมือขึ้นลูบแก้มนุ่มของเธอ จ้องเข้าไปในดวงตาโศก ถามด้วยกระแสเสียงเป็นห่วงปานกัน
“ผอมลงอีกหรือลูก”
“ไม่กี่โลหรอกค่ะ ทำยังไงได้ล่ะคะกับข้าวที่นั่นไม่อร่อยเหมือนบ้านเรานี่นา”
นางสดศรียกมือลูบแก้มนวลที่เคยเปล่งปลั่งซ้ำๆด้วยแววตาที่มัวหมองลง “อีกนานแค่ไหนกัน”
“อีกครึ่งปีค่ะแม่ศรี”
“ทนไหวไหมลูก”
“สบายมากค่ะ หนูณิชหย่ากับเขาแล้วจะได้เงินก้อนใหญ่มาอีกก้อนด้วยนะคะ หนูณิชว่าจะเอาไปเปิดร้านขายอาหาร แม่ศรีว่าดีไหม”
หญิงสูงวัยกว่ามองหน้าหลานแท้ๆของตนผ่านม่านน้ำตา นางสงสารหญิงสาวจับใจ ณิชากำพร้ามารดาตั้งแต่ยังเด็กอยู่มาก สมัยเป็นพี่สะใภ้ของนางเอง สดศรีเป็นน้องสาวของกำพล แม้จะเป็นน้องสาวแต่ต่างบิดากันกับนายกำพล
นางเองผูกสมัครรักใคร่ดีกับสมัย แม่แท้ๆของณิชา สมัยเสียเลือดมากขณะคลอดณิชาแต่รอดมาได้ แล้วป่วยกระเสาะกระแสะจากนั้นเรื่อยมา ไม่นานสมัยจากโลกนี้ไปด้วยอาการเจ็บป่วยเรื้อรังหลายโรค จากไปโดยที่ยังไม่ทันได้กล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูอยู่ชมบุตรสาวที่เติบโตมาอย่างที่เรียกว่าเป็นเด็กดีและประสบความสำเร็จเกือบทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การทำงาน สถานะทางสังคม เห็นมีอยู่เรื่องเดียวที่ทำให้ต้องช้ำอกช้ำใจก็คงเป็นเรื่องของครอบครัวนี่เองละมัง
นางเลี้ยงดูณิชามาตั้งแต่นั้นเพราะกำพล บิดาของณิชาไม่ได้มีภรรยาแค่สมัยเพียงคนเดียว ยังพอเป็นพ่อที่มีความรับผิดชอบบ้างส่งเงินค่าเลี้ยงดูให้บุตรสาวที่ถูกลืมอย่างณิชา
กำพลมีภรรยาตกแต่งเพียงคนเดียวคือสมัย ส่วนที่เหลือเป็นเพียงบ้านเล็กเท่านั้น หลังจากที่สมัยเสียชีวิตได้ไม่นาน กำพลแต่งงานใหม่อีกครั้งกับแม่ม่ายสามีร้าง ทั้งยังไปมีลูกกับทางนั้นอีกสองคน ที่กำพลพาออกงานอยู่เสมอ แต่ไม่เห็นจะให้ทางนั้นมารับภาระอันแสนทุเรศทุรังนี้ นางสดศรีอดไม่ได้พูดกระทบเอาบ้าง
“ลูกสาวตัวก็มี ทำไมไม่ให้แต่งไป มาเอาลูกสาวแม่ไปทำย่ำยีให้เสียเกียรติทำไมกัน”
ได้ยินแบบนี้แล้วหญิงสาวได้แต่ยิ้มอ่อนโยน ยิ้มปลอบใจที่ไม่ใช่ปลอบใครอื่น แต่เป็นรอยยิ้มที่ปลอบตนเองพร้อมกับบอกออกไปด้วยเสียงนุ่มนวลละมุนหูในแบบของเธอ
“แม่ศรีอย่าพูดแบบนี้ค่ะ”
“ทำไมแม่จะพูดไม่ได้”
“คุณพ่อก็เป็นพ่อของหนูณิชเหมือนกันนี่คะ ได้ช่วยคุณพ่อ ก็เหมือนหนูณิชได้ตอบแทนบุญคุณของท่านด้วย”
“อย่าให้แม่พูดเลย แล้วที่เราไปทำงานในบริษัทให้เขาฟรีๆนั่นยังไม่เป็นบุญคุณกันอีกหรือไง ช่วยเขาโกงบัญชีจนมันเจ๊ง ฉิบหายวายวอดแล้วก็เอาลูกแม่ไปประเคนให้ไอ้คนไม่มีหัวใจแบบนายคนนั่นน่ะ”
“พอแล้วค่ะแม่ศรี เดี๋ยวก็เป็นลมอีกหรอก”
ณิชายั้งคนที่นับถือเสมอมารดาแท้ๆพร้อมยิ้มปลอบโยนให้ท่าน เธอเองก็เจ็บปวดไม่ใช่น้อย แต่ต้องฝืนยิ้มทำเหมือนว่าไม่เป็นอะไรกับเรื่องในอดีตที่ท่านโมโหแล้วพูดระบายออกมา แม้เป็นความจริงแล้วอย่างไร เธอเต็มใจช่วยบิดา อะไรที่ตอบแทนบุญคุณได้ เธอช่วยได้ก็ช่วยเท่านั้นเอง ไม่ได้นึกถึงตัวเองเท่าไรนักหรอก
“หย่าขาดจากนายนั่น ก็ตัดขาดจากพ่อเราเสียนะ ไม่ต้องไปช่วยอะไรกันอีก” นางสดศรีบอกอย่างแค้นเคืองด้วยนิสัยไม่ใช่คนยอมคนแบบหลานสาวที่รักยิ่งชีพ แม้จะเป็นน้องสาวแต่ก็โกรธเคืองคนเป็นพี่นักที่ทำกับบุตรสาวถึงขนาดนี้
กำพลใช้จังหวะที่นางสดศรีนอนหมดสติรักษาตัวจากอาการเจ็บป่วยด้วยโรคประจำตัวอยู่นานร่วมเดือน มาหลอกหว่านล้อมณิชาให้ตกลงแต่งงานกับนายทุนหน้าเลือดนั่น หญิงสาวที่นางรักช่างบอบบางและมองโลกในแง่ดีมีหรือจะตามเล่ห์ของพวกนั้นทัน คิดแล้วให้แค้นใจยิ่งนัก
“พักผ่อนนะคะ คืนนี้หนูณิชนอนกับแม่ศรีด้วยได้ไหม แม่ศรีจะให้หนูณิชนอนตรงไหนคะ ข้างๆหรือให้นอนตรงพื้นดี”
ได้ยินว่าณิชาจะมานอนกับท่าน ก็ถามประชดไปถึงผู้เป็นสามีที่ไม่เคยให้ณิชาไปค้างอ้างแรมที่ไหนเลยแม้แต่ที่นี่ “แล้วไม่ต้องกลับไปรับใช้ ถูบ้าน ทำกับข้าวให้นายคนนั้นหรือไง”
“คุณธีร์ไปต่างจังหวัดค่ะ”
บอกด้วยรอยยิ้มที่ชักจะขื่นๆแล้วคลี่ผ้าห่มห่มให้ หวังใจจะให้ท่านนอนพักผ่อนเสียก่อน
“ณิชไปเตรียมของว่างให้นะคะ แม่ศรีนอนพักสักงีบ บ่ายเราไปนั่งจิบเอิร์ลเกรย์กันดีไหม”
“แม่ไม่ใช่เด็กนะ จะได้เอาของกินมาล่อแม่น่ะ”
“ณิชรู้ค่ะ ใครจะเอาของกินมาหลอกล่อแม่ศรีกัน นอนเร็วเร้ว หลับตาด้วย ไม่งั้นณิชตีนะ”
“เดี๋ยวเถอะ” นางสดศรีแกล้งเอ็ดคืนให้บ้างที่หลานสาวหยอกเย้านางเหมือนเด็กๆ เรียกเสียงหัวเราะใสๆที่ไม่ได้ยินมานานดังเบาๆในห้องนอนนั้น พลอยให้สุขใจไปด้วยกันทั้งคู่
แกล้งหลับตาจนได้ยินเสียงปิดประตูลงแล้วนั่นจึงค่อยลืมตาขึ้นใหม่อีกครั้งแล้วพลิกตะแคงตัวมองผ่านหน้าต่างกระจกใสออกไปยังด้านนอก ในใจนึกกังวลกับหญิงสาวที่เลี้ยงมาเองกับมือด้วยความรู้สึกเวทนาในความอาภัพจับหัวใจ หากแลกได้นางขอแลกกับตนเองเพื่อให้ณิชาพานพบประสบแต่สิ่งดีดีในชีวิต หาได้เจอแต่เสือสิงกระทิงดุอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้เลย
ณิชาเดินช้าๆไปยังห้องครัวที่มีคนเก่าแก่คอยอยู่ดูนางสดศรีสองคน คือป้าแหม่มและหลานสาวของแกที่ชื่อบี ทั้งหมดช่วยกันเตรียมอาหารเย็นให้นางสดศรี ไปพร้อมกับเตรียมชาและคุกกี้ถึงเวลายกไปรอที่ระเบียงอย่างที่บอก บรรยากาศอบอุ่น สดชื่นสบายใจกลับมาสู่บ้านหลังย่อมอีกครั้ง
คืนนั้นหญิงสาวที่ห่างบ้านไปกว่าครึ่งปีหลับลงอย่างรวดเร็วด้วยความอ่อนเพลีย เมื่อแม่ศรีไม่ยอมให้นอนด้วย เลยได้พักผ่อนยังห้องของตนเองยาวตลอดคืน เช้ารุ่งขึ้นก็ตื่นแต่เช้ามืดเพราะเสียงนกและไก่ขัน ทำให้ยิ้มเปี่ยมสุขออกมาได้เมื่ออยู่ในสถานที่ที่คุ้นชิน ลุกออกมาสูดอากาศแสนบริสุทธิ์ แล้วผละเข้าห้องน้ำจัดแจงล้างหน้าแปรงฟันจนเรียบร้อยค่อยออกมาเตรียมอาหารไว้รอใส่บาตรพระที่ห้องครัว พบว่านางสดศรีนั่งเตรียมข้าวของมือเป็นระวิงทีเดียว จึงทักด้วยเสียงไม่ใคร่ชอบใจนัก
“แม่ศรีทำไมไม่นอนพักคะ”
“นอนมากแม่เวียนหัว”
ถอนใจเฮือกแล้วทำท่าจะเข้าไปแย่งงานท่าน “มาค่ะ ณิชทำเอง”
“ไม่ต้องลูก นี่ถุงสุดท้ายแล้ว”
“งั้นณิชตักกับข้าวให้แม่ศรีนะคะ”
นางสดศรียิ้มพยักหน้าให้ แล้วคุยเจื้อยแจ้วกันไปตามประสา ครู่ใหญ่แว่วเสียงรถจอดที่หน้าบ้าน ทั้งหมดพากันชะเง้อคอมอง เนื่องจากไม่ค่อยมีแขกมาเยือนบ้านนี้เท่าไรนัก
“ใครมาแต่เช้า”