ตึ่งตึงตึ้ง~ ตึ่งตึงตึ้ง~
>> ชิน
ฉันขมวดคิ้วเมื่อเห็นชื่อที่โชว์หราอยู่บนหน้าจอมือถือ ก่อนจะกลอกตาไปมาอย่างเหนื่อยใจกดรับสายอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ฮะโหล”
(มาพบฉันที่หน้าศูนย์อาหาร)
“ฮะ?” ฉันรู้สึกงงที่อยู่ดีๆ ชินก็บอกให้ไปหา แล้วศูนย์อาหารไหน? ใช่ในมหาวิทยาลัยของฉันหรือเปล่า? แต่ความสงสัยก็กระจ่างกับประโยคต่อมาของชิน
(ฉันมาเจอยัยนั่น แต่อยากคุยกับเธอก่อน)
ยัยนั่น... คงหมายถึงหวายสินะ
“อืมๆ ฉันจะรีบไป” ฉันวางโทรศัพท์แล้วหันไปบอกเจนนี่ที่นั่งเลคเชอร์อยู่ข้างๆ “นี่เจนนี่ฉันไปห้องน้ำแป๊บนะ”
“อ๋อ อืมๆ”
แล้วฉันก็รีบหลบออกมาจากห้องเรียนทันที พอเดินเข้ามาใกล้ศูนย์อาหารก็เห็นรถสปอร์ตสีขาวสะดุดสายตาจอดอยู่พร้อมกับร่างสูงโปร่งของผู้ชายที่นับว่าโดดเด่นที่สุดคนหนึ่ง
หมอนั่นคือชิน มือกีตาร์ฝีมือฉกาจของวงโซแบดซึ่งเพิ่งจะประกาศลาวงการไปหมาดๆ ฉันเองก็ไม่รู้เหตุผลและก็ไม่คิดอยากจะรู้ด้วย เป็นไปได้ฉันอยากอยู่ห่างหมอนี่ให้มากที่สุด เขาน่ะร้ายยิ่งกว่าปีศาจอีก
“เฮ้” ฉันร้องทักเมื่อชินยังไม่รู้สึกตัวถึงการมาของฉัน
“มาแล้วเหรอ”
หมอนั่นหันมามองพร้อมกับสายตาว่างเปล่าไร้อารมณ์
“มีอะไร ถึงเรียกฉันออกมาเนี่ย”
“เธอไปเยี่ยมไมค์บ้างหรือเปล่า”
“ไปเกือบทุกอาทิตย์ทำไมเหรอ”
“เปล่า ฉันแค่อยากแน่ใจว่าเธอยังไม่ลืมเรื่องที่เราตกลงกันไว้”
“ฉันไม่ลืมหรอกน่า” ฉันมองหน้าชินอย่างรำคาญ ก่อนจะพ่นลมหายใจพรืด “นี่... ทำไมนายต้องอยากทำร้ายแฟรงก์กับหวายขนาดนั้นด้วย”
ชินนัยน์ตาลุกวาว ฉันไม่น่าถามออกไปเลย บ้าเอ๊ย!! ได้แต่สบถตัวเองอยู่ในใจ
“ฉันไม่จำเป็นต้องบอกเหตุผล เธอมีหน้าที่ทำตามคำสั่งของฉันก็พอ!”
เหอะ! ฉันแอบทำปากล้อเลียนชินในใจ อะโด่ว คนที่ถูกรถชนคือไมค์ และคนที่ควรได้รับค่าเสียหายก็คือไมค์ หมอนี่เป็นใคร? ก็แค่เพื่อนของไมค์ไม่ใช่เหรอ? แล้วเขามีสิทธิ์อะไรมาวางอำนาจออกคำสั่งกับฉัน ฮึ่ย! ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ แต่พอสบสายตาวาวโรจน์ของเขาทีไรฉันก็สั่นกลัวทุกที เชอะ ทำไมนายต้องมีอิทธิพลต่อความคิดของฉันขนาดนี้ด้วยนะ ชิน!
“เจ้าค่ะ! เชิญบัญชามาได้เลย” ฉันย่นหน้าประชดหมอนั่นอย่างหมั่นไส้ระคนโมโห
“ฉันต้องการให้เธอจัดการขั้นเด็ดขาดซะ”
คำพูดของชินทำให้ฉันต้องเลิกคิ้วสูงอย่างไม่เข้าใจ “ขั้นเด็ดขาด?”
“ใช่! ฉันอาจจะพูดแรงไปหน่อยนะ แต่เธอต้องทำ”
“อะไร?” ฉันชักหวั่นใจกับคำว่าแรงของชินซะแล้วสิ ที่ผ่านมายังไม่แรงพออีกเหรอไง!
“นอนกับแฟรงก์!”
“กรี๊ด! นายจะบ้าเหรอ ฉันก็มีศักดิ์ศรีนะ” ฉันกะพริบตามองหน้าชินอย่างไม่อยากเชื่อ กัดริมฝีปากแน่น ขณะเดียวกันก็รู้สึกโกรธขึ้งและเจ็บใจอยู่ในที ทำไมฉันต้องตกเป็นเบี้ยล่างยอมทำตามทุกคำสั่งของเขาด้วย มันไม่คุ้มและไร้สาระสิ้นดี
“ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ได้ให้เธอมีอะไรกับมันจริงๆ ซะหน่อยหรือเธออยากมีก็ได้นะ แบบนั้นก็จะได้สมจริงไง”
กรี๊ดเหอะ ยังมีหน้ามายิ้มอีก รอยยิ้มเลวๆ และไร้สำนึกแบบนั้นเอาไปให้พ้นๆ สายตาฉันเถอะขอร้อง
ฉันล่ะอยากเอามือข่วนหน้าหล่อๆ ของชินให้เป็นรอยซะจริง แง่ง!
“หมายความว่ายังไง” ถึงเขาจะพูดงั้นก็เถอะแต่ฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
“เธอนี่มันใสซื่อจังเลยนะเบส... ฉันจะให้เช็กมาช่วยระหว่างนั้นก็ล่อหมอนั่นให้ได้ซะก่อนล่ะ”
“นี่ชิน นายคงไม่ได้กำลังจะบอกให้ฉันหลอกผู้ชายเข้าโรงแรมหรอกนะ” ฉันทั้งอึ้งและทึ่งแล้วก็ยังโกรธจนไม่รู้จะสรรเสริญไอ้ผู้ชายหล่อร้ายตรงหน้านี้ยังไงดี
“ไม่ต้องโรงแรมหรอก คอนโดเธอดีที่สุด”
“!”
“อ่อ... ยัยนั่นมาแล้ว เธอรีบไปซะฉันไม่อยากให้หวายระแคะระคายเรื่องเธอ”
ฉันสบถลมหายใจอย่างโมโห เมื่อเหลือบมองไปด้านหลังชินก็เห็นหวายเดินหน้าตั้งมาแต่ไกล สงสัยจังว่าหมอนี่รู้ได้ไงว่ายัยนั่นกำลังมา ฉันลากสายตากลับมาจ้องใบหน้าเรียบเฉยของชินเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะพ่นลมหายใจใส่หน้าเขาแล้วหมุนตัวเดินห่างออกมาก่อนที่หวายจะมองเห็นหน้าฉัน
วันต่อมา...
เวลาเที่ยง ณ ศูนย์อาหารของมหาวิทยาลัย Ex
“ไง”
“เช็ก... นายทำฉันตกใจ” ฉันอุทานชื่อหมอนั่นออกมาก่อนจะเขม่นสายตาใส่เขาอย่างหงุดหงิดที่จู่ๆ ก็โผล่พรวดเข้ามาทักอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง
“โถๆ ขวัญอ่อนจังเลยนะสาวน้อย”
“เฮ้นี่” ฉันร้องเสียงสูงเมื่อหมอนั่นเอานิ้วมาพันผมฉันเล่น พร้อมกับปัดมือเขาออกไปอย่างหงุดหงิด ไอ้บ้านี่! เจอกันแต่ล่ะทีมีแต่ทำให้ฉันยุ่งยากใจตลอด
“อะไร...” มันยิ้มร้าย “ฉันก็แค่เล่นให้สมบทบาทผู้ชายโรคจิตที่มันหลงรักเธอเท่านั้นแหละ”
ดูหน้าเช็กตอนนี้สิน่าขยะแขยงที่สุดเลย หลังจากขมวดคิ้วได้ไม่นานฉันก็เข้าใจกับการกระทำของเช็กในเวลาต่อมา
“เฮ้ย! ทำอะไรน่ะ” เสียงแข็งดังขึ้นจากด้านหลัง ฉันหันขวับไปมองทันทีก่อนที่หัวใจจะเต้นระรัว
“แฟรงก์!”
หมอนั่นเดินอาดๆ เข้ามาใกล้แล้วผลักเช็กออกไปอย่างไม่ยั้งแรง ร่างสูงเดินมาบังตัวฉันเอาไว้แล้วจ้องหน้าเช็กเขม็ง
“อ้อ! ไอ้หน้าหล่อที่ร้านนมปั่นวันนั้นนี่เอง ยังไม่เลิกยุ่งกับแฟนชาวบ้านอีกเรอะ” ฉันรู้ว่าเช็กกำลังเล่นละคร แต่ไม่รู้สิ ฉันกลับรู้สึกว่าทุกคำพูดและความรู้สึกของเขามันสื่อออกมาจากก้นบึ้งของจิตใจที่เต็มไปด้วยความกระอักแค้นที่มีต่อแฟรงก์ แววตาของเช็กดูเจ็บปวดและเคืองโกรธในทุกชั่วขณะเวลาที่จ้องมองหน้าของแฟรงก์
“แกพูดแบบนี้จงใจหาเรื่องฉันใช่ไหม” แฟรงก์เปลี่ยนท่าทีกะทันหัน นัยน์ตาของเขาไหววูบเหมือนว่าเช็กไปจี้จุดใจดำเข้าก็ไม่ปาน
“เปล๊า ฉันก็แค่เตือนพวกที่ชอบยุ่งของของคนอื่นน่ะ”
ผลัวะ!!!
“ว้าย!!” ฉันร้องลั่นพร้อมๆ กับที่ผู้คนในบริเวณนี้ลุกฮือและถอยห่างอย่างตกใจเมื่อแฟรงก์ปล่อยหมัดเข้าที่หน้าเช็กอย่างหมดความอดทน น่าแปลก! ทั้งที่เขาไม่ใช่คนที่จะโดนยั่วโมโหได้ง่ายๆ นี่นา ก็วันก่อนที่ร้านนมปั่นยังเห็นใจเย็นอยู่เลย... หรือว่าเช็กจะไปแหย่โดนต่อมใจดำเข้าเต็มๆ
“อย่าคิดว่าฉันจะปล่อยให้นายต่อยได้ฝ่ายเดียว”
ผลัวะ!
“ว้าย!”
คราวนี้เช็กเอาคืนบ้าง อาจเป็นเพราะว่าแฟรงก์อารมณ์ขึ้นทำให้ขาดสติเขาจึงหลบหมัดของเช็กไม่ทันทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังหลบได้สบาย หมอนั่นพุ่งเข้าใส่เช็กอีกรอบแต่ทว่าฉันรีบเข้าไปคว้าหมัดของเขาเอาไว้ก่อนและใช้แขนอีกข้างดันหน้าอกเช็กออกห่าง กันไม่ให้ทั้งคู่แลกหมัดกันอีก
ฉันไม่อยากให้เรื่องมันใหญ่โตนักหรอกนะคนอื่นที่อยู่บริเวณนี้ก็ไม่มีท่าทีว่าจะช่วยห้ามกันสักนิดนอกจากยืนดูอย่างสนอกสนใจและวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา และคงไม่แคล้วหัวข้อ ต่อยตีแย่งผู้หญิง
“หยุด พอได้แล้วทั้งคู่เลย” ฉันมองแฟรงก์กับเช็กด้วยแววตาแข็งกร้าวสลับกันไปมา
“หลีกไป” แฟรงก์ยังไม่ยอมหยุด เขาตะคอกฉันพร้อมกับสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมของฉัน ส่วนเช็กเองก็พยายามจะเข้ามาตีกับแฟรงก์ให้ได้จนร่างกายของฉันจะถูกผู้ชายสองคนเบียดติดกันอยู่แล้ว
“ถอยไปนะเบส ฉันต้องดวลกับหมอนี่ให้มันรู้แพ้รู้ชนะไปเลย” เช็กร้องเสียงกร้าว
“จะบ้าเหรอ” ฉันจ้องหน้าเขาสองคนอย่างอยากจะระเบิด ให้ตายสิ! คิดจะมาวัดกันด้วยกำลังเนี่ยนะ ปัญญาอ่อนสุดๆ
“อย่างแกน่ะเหรอจะดวลกับฉันอีกร้อยปีก็ยังไม่ได้เลย”
ไอ้แฟรงก์! แกจะปากดีไปถึงไหนฮะ
ปึก!
เส้นอารมณ์เช็กขาดผึง
นี่พวกนายกะยำกันเละเป็นโจ๊กตรงนี้เลยใช่ไหม
“หยุด!” ฉันร้องเสียงดังลั่นจนหน้าหล่อเลวและหน้าหล่อร้ายทั้งสองนิ่งงันไปตามๆ กัน “พวกนาย ไม่อายคนอื่นบ้างเหรอไง!”
เท่านั้นแหละ... เหมือนว่าทั้งคู่เพิ่งจะรู้ตัวว่ากำลังถูกไทยมุงอยู่ แฟรงก์สบถลมหายใจแล้วถอยห่างออกไปก่อนอย่างมีสติ จากนั้นเช็กจึงก้าวถอยไปหนึ่งก้าวแต่ไม่วายกระตุกข้อมือฉันตามไปด้วย
“โอ๊ย!” ไอ้บ้านี่มันแสดงละครได้ตลอดเวลาจริงๆ
“เฮ้ ปล่อยเบสนะ” แฟรงก์จ้องหน้าเช็กเขม็ง หัวใจฉันไหววูบอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกเหมือนกำลังถูกแย่งจริงๆ
“เรื่องไร ฉันจะคุยกับหวานใจ นายคนนอกไสหัวไปซะ”
ไสหัว!! แรงไปไหม?
“แก!”
“แฟรงก์” ฉันพยายามห้ามทัพด้วยการเรียกชื่อหมอนั่นเสียงดัง แฟรงก์ชะงักแล้วตวัดสายตาดุๆ มามองหน้าฉัน “นายออกไปก่อนนะ ไว้ฉันโทรหา”
ฉันไล่ต้อนแฟรงก์ทางสายตา หมอนั่นหรี่ตาจ้องหน้าฉันเหมือนคนไม่เข้าใจหรือบางทีเขาอาจไม่ไว้ใจให้ฉันอยู่ใกล้เช็กก็ได้ ก็หมอนั่นเข้าใจว่าเช็กเป็นไอ้โรคจิตชอบใช้ความรุนแรงกับฉันน่ะสิ
“...แน่ใจนะเบส ฉันจะจัดการกับมันตอนนี้เลยก็ได้แค่เธอบอกมา”
ฉันรีบส่ายหน้าแม้จะรู้สึกซึ้งใจกับน้ำใจของแฟรงก์แต่ฉันก็ปล่อยให้มันเกิดขึ้นไม่ได้
“ฉันไม่เป็นไร เช็กนายรีบพาฉันไปที่อื่นเดี๋ยวนี้”
“แล้วเจอกันพวก” เช็กเหยียดยิ้มอย่างผู้ชนะแล้วลากฉันออกห่างแฟรงก์ จนในที่สุดเราทั้งคู่ก็อยู่กันตามลำพังในที่ลับสายตาคน
“ตกลงนายมีธุระอะไรกับฉัน” ฉันจ้องหน้าเช็กอย่างเหลืออดหลังจากทำข้อมือฉันบวมแดงและก็ร้าวเข้าไปถึงกระดูก ไอ้บ้านี่!! หรือมันจะชอบความรุนแรงจริงๆ
นัยน์ตาคมกริบเหล่มองฉันชั่วครู่ก่อนจะเลื่อนไปมองท้องฟ้าเหมือนกำลังครุ่นคิดบางอย่างแล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงยียวนกวนบาทา “ต้องมีธุระด้วยเหรอไง หึๆ”
ฉันอดจุปากอย่างหงุดหงิดไม่ได้ก่อนจะหันขวับมองครึ่งหน้าของเช็กด้วยใจที่คุกรุ่น
“นี่! อย่ามากวนประสาทฉันนะ”
หมอนั่นละสายตาจากบนฟ้าชำเลืองมองฉันหน่อยๆ ก่อนจะหันไปมองทางอื่น “อยากรู้ไหมว่าทำไมฉันถึงโกรธแค้นแฟรงก์?”
คำพูดนั้นทำให้ฉันมองหน้าเช็กอย่างสงสัยเขาไม่ได้หันกลับมาสบตาฉันแต่พูดออกมาโดยไม่สนว่าฉันอยากฟังหรือไม่
“ที่จริงแล้วจะบอกว่าไม่เกี่ยวก็ได้ หรือจะบอกเกี่ยวมันก็เกี่ยวน่ะนะ...”
เอ่อ... สรุปว่าเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวกันแน่?
“อย่างที่เธอรู้ว่าหมอนั่นเป็นแฟนกับหวาย”
มาถึงตรงนี้ฉันนิ่งฟังอย่างใจจดใจจ่อ อยากรู้ว่าเช็กกำลังจะพูดอะไรกันแน่
“พี่สาวฉันคบกับไมค์มานาน อยู่มาวันหนึ่งยัยหวายก็เข้ามาแย่งเอาไมค์ไปจากพี่สาวฉัน ทั้งที่ตัวเองก็ยังไม่เลิกกับแฟรงก์”
“หมายความว่ายัยหวายคบผู้ชายพร้อมกันสองคนงั้นเหรอ?”
เช็กแค่หันกลับมามองฉันเงียบๆ แววตาราบเรียบของหมอนั่นทำให้ฉันกลืนน้ำลายแทบไม่ลง ไม่อยากจะเชื่อ... จะมีผู้หญิงคนไหนใจกล้าหน้าด้านคบผู้ชายพร้อมกันสองคนล่ะ ท่าทางยัยนั่นก็ไม่ใช่คนมั่วผู้ชายสักหน่อย ฉันเริ่มสับสนและไม่เข้าใจความคิดมนุษย์มากขึ้นทุกที
“เพราะไอเฟลพี่สาวฉันตัดใจจากไมค์ไม่ได้ เธอจึงทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ไมค์กลับมา...” เช็กหยุดพูดถึงตรงนี้แล้วจ้องหน้าฉันนิ่งเหมือนมีบางสิ่งที่ไม่ควรพูด หมอนั่นสบถลมหายใจแล้วเล่าต่อ “หึ! แต่จู่ๆ ยัยนั่นก็ทิ้งไมค์อย่างไม่มีเหตุผล จนมันเสียใจร้องไห้ซมซานไปให้รถของเธอชนเข้ายังไงล่ะ”
“...!!!” สุดท้ายก็มาลงที่ฉันและก็แฟรงก์อยู่ดี
รู้สึกเหมือนเราสองคนเป็นจำเลยที่ไร้ความผิดเลยแฮะ ฟังจากเรื่องที่เช็กเล่ามา คนที่เป็นแกนหลักของเรื่องราวมีแค่ไมค์ ไอเฟล และก็ยัยหวายเท่านั้นหนิ! แล้วเหตุใดเรื่องมันถึงได้ลุกลามไปถึงชิน ฉัน และก็แฟรงก์ได้
“ชินโกรธมากที่ไมค์กลายเป็นเจ้าชายนิทรา หมอนั่นจึงคิดจะล้างแค้นทุกคนที่เกี่ยวข้อง แต่รู้อะไรไหม?”
“อะไร?” ฉันจ้องหน้าเช็กอย่างหวั่นใจพิกล
“ถึงชินไม่ทำ ฉันก็ไม่ปล่อยไอ้คนที่มันทำให้พี่สาวฉันช้ำใจลอยนวลหรอก”
“...!!!”
“อีกไม่กี่อาทิตย์ชินจะล่อหวายไปถ่าย MV ที่ทะเล ให้เธอเตรียมตัวด้วย”
“ฉันต้องไปด้วยเหรอ?”
“เปล่า... ให้เธอเตรียมตัวสร้างสถานการณ์ต่างหาก ทำยังไงก็ได้ให้มันนอนกับเธอและก็ถ่ายรูปแสดงหลักฐานให้หวายดู มันสองคนจะได้มองหน้ากันไม่ติด!”
เป็นอีกครั้งที่ฉันพูดและคิดอะไรโต้ตอบไม่ออกเลย ในหัวมันขาวโพลนไปหมด หัวใจเช็กทำด้วยอะไรนะ ถึงคิดที่จะทำลายความสัมพันธ์ของคนอื่นได้อย่างไร้จิตสำนึกแบบนี้ ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเขากับชินเสียใจเรื่องของไมค์กับไอเฟลมากแค่ไหน แต่ก็ไม่เห็นต้องโกรธแค้นกันขนาดนี้เลยนี่นา สองคนนั้นก็ใช่ว่าจะตายจากไปด้วยเงื้อมมือของหวายหรือแฟรงก์สักหน่อย
เฮ้อ... ก็เพราะฉันไม่เข้าใจไง ถึงต้องมากลุ้มอยู่แบบนี้
ตึ่งตึงตึ้ง~ ตึ่งตึงตึ้ง~
>> แฟรงก์
ฉันเลิกคิ้วมองชื่อที่โชว์หราอยู่บนหน้าจอหัวใจสั่น หมอนั่นโทรมา ใช่สิ! ก่อนหน้านี้ฉันบอกว่าจะโทรหาเขานี่นา นี่ก็ผ่านไปเกือบสามชั่วโมงแล้ว เมื่อเห็นว่าฉันไม่โทรหาเขาเลยโทรตามงั้นเหรอ ทำไมต้องเอาใจใส่และสนใจฉันด้วยนะ นายไม่ควรทำตัวเป็นคนดีเลยแฟรงก์ มันทำให้ฉันลำบากใจที่จะจัดการกับนายรู้ตัวไหม
“ฮะโหล”
(เป็นไงบ้าง) นั่นคือคำถามแรกของแฟรงก์ น้ำเสียงเขาดูร้อนรนและเต็มเปี่ยมไปด้วยความห่วงใย
“สบายดี...” ฉันพูดพร้อมกับยิ้มเนือยๆ ใส่โทรศัพท์มือถือ
(แต่เสียงเธอมันสวนทางกับคำพูดนะ หมอนั่นมันทำอะไรเธอหรือเปล่า)
“เอ่อ...” ฉันเหลือบมองข้อมือที่บวมแดงจากฝีมือของเช็กแล้วต้องทอดถอนใจ เรื่องนี้คงไม่สมจริงถ้าเขาไม่ลงไม้ลงมือกับฉันจริงๆ “ไม่หรอก แค่ข้อมือแดงหน่อยๆ เอง”
ฉันบอกไปตามความจริง ถ้ามันจะทำให้แฟรงก์เข้าใจผิดว่าเช็กทำร้ายฉันจริงๆ มันก็เป็นเรื่องช่วยไม่ได้
(ไอ้เวรนั่น)
“แฟรงก์ ฉันรู้สึกเหนื่อยนิดหน่อยน่ะ แค่นี้ก่อนนะ”
(แน่ใจนะว่ามันไม่ได้ทำมากกว่าบีบข้อมือเธอน่ะ) น้ำเสียงแฟรงก์ดูกังวลและเป็นห่วงฉันมาก มันยิ่งทำให้ฉันรู้สึกอ่อนล้ามากขึ้น ยิ่งเขาดีเท่าไหร่ฉันก็รู้สึกผิดมากเท่านั้น
“อื้ม แน่ใจสิ”
(ออกมาเจอกันหน่อย) อะไรของเขานะ ฉันเพิ่งบอกไปหยกๆ ว่าเหนื่อยอยากพัก
“แต่ว่า...”
(ฉันจะสอนว่ายน้ำ)
“ฮะ?” น้ำเสียงที่เปลี่ยนไปของแฟรงก์ทำฉันอึ้งและแปลกใจไปตามๆ กัน
(ครั้งที่แล้วฉันเกือบทำเธอจมน้ำ จะปล่อยไว้มันก็คาใจน่ะ) หรือว่านายยังรู้สึกผิดกับเรื่องนั้นอยู่?
“แต่ว่าฉัน”
(มาเถอะน่า ฉันไม่เคยง้อใครเลยนะจะบอกให้)
งะง้อ!!!
(ฮะโหล... ฮะโหลๆ)
“ฮะ... อ้อ! เอ่อ ตอนนี้นายอยู่ไหนเหรอ” ฉันละล่ำละลักถามออกไปเมื่อได้สติ
(กำลังจะออกจากห้องแล้วเธอล่ะ อยู่ไหนฉันจะไปรับ)
“อยู่คอนโด”
(งั้นอีกยี่สิบนาทีเจอกัน)
“อืม” ฉันวางสายจากแฟรงก์ด้วยหัวใจที่รู้สึกหน่วงๆ จะบอกว่าดีใจก็ไม่ใช่เสียใจก็ไม่เชิง
ฉันควรรู้สึกยังไงกับนายดีนะแฟรงก์
@ สระว่ายน้ำ ลูปาร์ค
ตึงตึ่งตึ้ง~ ตึ่งตึงตี้ง~
>> เจนนี่
ระหว่างที่ฉันกำลังเปลี่ยนชุดว่ายน้ำอยู่นั้นโทรศัพท์ก็มีสายเข้าและเป็นเพื่อนรักของฉันเอง
“ว่าไงเจนนี่”
(เบส เฮียบอกว่าให้เธอมาเอารถได้เลย) เจนนี่ตะโกนบอกมาตามสาย
มันคือรถคันที่ฉันขับชนไมค์เมื่อหลายวันก่อน กันชนหน้าหลุด และก็มีรอยขูดขีดนิดหน่อยฉันจึงเอาเข้าอู่ของบ้านยัยเจนนี่ เพราะราคาเป็นกันเองและยังสามารถปกปิดเรื่องที่ฉันเกิดอุบัติเหตุจากทางครอบครัวได้อีก ถ้าพ่อกับแม่รู้เรื่องเข้ามีหวังฉันถูกเรียกรถคืนและดีไม่ดีอาจจะต้องถูกสั่งให้ย้ายข้าวของกลับไปอยู่ที่บ้านเพื่อความปลอดภัยอีก
พวกท่านไม่เห็นด้วยที่ฉันแยกตัวออกมาอยู่คนเดียวเท่าไหร่นัก ก็คงเป็นห่วงนั่นแหละ
หลังจากที่รถชนฉันก็เอารถไปเข้าอู่และต้องนั่งรถเมล์ไม่ก็แท็กซี่ไปเรียนบ่อยๆ บางครั้งก็มีสารถีอย่างแฟรงก์คอยตามรับตามส่ง จะว่าไปหมอนั่นก็ไม่รู้นี่นาว่าฉันเองก็มีรถขับ
“ไว้พรุ่งนี้ฉันจะไปเอานะ”
(เฮ้! ไม่ได้ๆ ตอนนี้รถลูกค้าแน่นเอี๊ยดเลย เธอรีบมาเอารถเธอออกไปเร็วๆ เลยเฮียสั่ง)
“เอ่อ... ฮะๆ ขอตั๊นหน้าเฮียแกสักทีได้ไหม” ฉันแกล้งหัวเราะแฮะๆ แต่ใจจริงอยากต่อยหน้าเฮียของเจนนี่ใจแทบขาด ทำอย่างกับว่าฉันเอารถไปซ่อมฟรีงั้นล่ะ
(ด่วนนะ) เจนนี่ไม่ลืมสำทับมาอีกรอบ
“อืมๆ ตอนเย็นแล้วกัน เคมะ”
(จ้ะ แค่นี้นะ จ่ายสดงดเซ็นด้วยนะเฮียบอก)
“ย่ะ!”
ฉันส่ายหน้าไปมากับโทรศัพท์มือถือหลังจากวางสายไปแล้วก่อนจะรีบเปลี่ยนชุดว่ายน้ำ วันนี้ฉันเตรียมชุดว่ายน้ำมาเอง เป็นเสื้อตัวยาวและกางเกงขาสั้นดูเรียบร้อย ไม่เปรี้ยวจี๊ดเข็ดฟันเหมือนวันก่อนแล้วฉันก็ไม่ลืมทากันแดดก่อนออกไปรายงานตัวกับแฟรงก์ข้างนอกด้วย
ตึก!
“อุ้ย!”
นั่นไม่ใช่เสียงฉัน แต่เป็นเสียงของคนที่เพิ่งเดินกระทบไหล่กับฉันตรงประตูทางออก ประตูก็ตั้งกว้างนะ แต่กลับมาเดินชนฉันได้ยังไงเนี่ย ฉันเหลือบมองยัยผู้หญิงคนนั้นอย่างไม่เข้าใจก่อนจะต้องเบิกตากว้างเมื่อสบสายตากลมโตหวานแหววชวนหลงใหลคู่นั้น
“อ้าว... ขอโทษด้วยนะพอดีฉันไม่ทันมองน่ะ” เธอยิ้มให้ฉันก่อนจะเชิดหน้าเดินนำออกไปด้วยท่าทางกรีดกราย
นั่นมัน... ยัยผู้หญิงที่เคยเจอกับแฟรงก์เมื่อวันก่อนหนิ
ฉันเดินตามก้นยัยผู้หญิงน่ารักแต่กรีดกรายราวกับดารานางแบบ เห็นแล้วหมั่นไส้ชะมัด และก็ไม่ได้อยากเดินตามด้วยแต่บังเอิญว่าฉันจะไปหาแฟรงก์และยัยนั่นก็ท่าทางว่าจะไปหาแฟรงก์เช่นเดียวกัน
“อ้าวมิลล์ มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย?” เสียงแฟรงก์ดูสดใสอย่างเห็นได้ชัด จากที่นอนเอกเขนกอยู่ตอนแรกก็เปลี่ยนเป็นนั่งหลังตรง ท่าทางยินดีปรีดาที่เห็นยัยมิลล์อะไรนั่น
เชอะ ชื่อมิลล์หรอกเหรอ ฉันเพิ่งจะนึกได้
เอะ... เดี๋ยวนะ ฉันเพ่งมองสองคนนั่นชัดๆ อีกทีหนึ่ง อย่าบอกนะว่าแฟรงก์นัดยัยนั่นมาด้วย
“ได้สักพักแล้วล่ะ มิลล์ดีใจมากๆ เลยแหละที่แฟรงก์โทรชวนมาว่ายน้ำ” ยัยมิลล์กรีดยิ้มหวานแล้วทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้ตัวข้างๆ กับแฟรงก์
ฉันแอบกระตุกมุมปากอย่างไม่พอใจก่อนจะแกล้งทำเป็นไม่สนใจเดินผ่านสองคนนั่นมานั่งที่เก้าอี้อีกตัวซึ่งมีโต๊ะกลมกั้นกลางจากคนทั้งคู่
ฉันไม่ได้สังเกตเลยว่ามีสายตาของแฟรงก์มองตามอยู่ ต่อเมื่อเสียงของหมอนั่นดังขึ้นฉันถึงได้รู้ตัว “ฉันชอบแบบบิกินีมากกว่านะ” หมอนั่นพูดพร้อมกับยิ้มกรุ้มกริ่ม เล่นเอาฉันหน้าแดงเป็นแถบ
“บ้า!” ฉันทำหน้ามุ่ยใส่เขาก่อนจะเชิดหน้าหลบสายตาแพรวพราวของแฟรงก์หัวใจสั่น
“ใครเหรอแฟรงก์ ไม่เห็นแนะนำให้รู้จักบ้างเลย” ยัยมิลล์ทำหน้าออเซาะและแสดงท่าทีว่าสนใจฉันซะเต็มประดา ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังเชิดใส่ฉันอยู่เลยแท้ๆ
“อ๋อ...”
แฟรงก์เองก็เพิ่งจะนึกได้ ให้มันได้อย่างนี้สิ “นี่เบสเป็นเพื่อนที่มอ เบสส่วนนี่มิลล์เพื่อนเก่าน่ะ”
“ยินดีที่ได้รู้จักนะเบส ฉันเป็นทั้งเพื่อนเก่าและก็แฟนเก่าของแฟรงก์น่ะ”
“อ๋อเช่นกันค่ะ ไม่อยากเชื่อเลยนะว่านายจะชวนฉันมาเป็นไม้กันหมา”
ยัยมิลล์หน้านิ่วขึ้นมาทันที ฉันจึงรีบแก้คำให้
“...เอ๊ยเป็นพยานในการพบปะกันของนายกับแฟนเก่า!” ฉันเหยียดยิ้มเย้ยเหลือบมองเสี้ยวหน้าของแฟรงก์ที่เคร่งเครียดขึ้นถนัดตาหลังจากได้ฟังคำพูดเสียดสีของฉันไป
“มันไม่ใช่อย่างที่เธอว่าหรอกเบส พยงพยานอะไร”
“อ้าว! จะไปรู้เหรอ” ฉันยักไหล่อย่างไม่รู้ไม่ชี้แม้ว่าสีหน้าแฟรงก์จะร้อนใจแค่ไหนก็ตาม “เอ... สงสัยจังว่าหวายรู้หรือเปล่า”
“เบส!”
“หวาย? อย่าบอกนะว่าเป็นผู้หญิงคนใหม่ของนายน่ะแฟรงก์” ยัยมิลล์เสียงเข้มขึ้นมาทันตาเห็น
“นี่เบสหยุดพูดได้ไหม และก็ห้ามพูดถึงหวายอีก”
“แฟรงก์หวายเป็นใครเหรอ?” ทว่ามิลล์ก็ยังซักไม่เลิกจนแฟรงก์ถอนหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด
“เป็น... เป็นคนรู้ใจ”
“เอ๋...” ไม่ใช่แค่มิลล์เท่านั้นที่งง ฉันเองก็งงเหมือนกัน เป็นแฟนก็บอกไปเลยสิว่าเป็นแฟนทำไมต้องยั้งคำเอาไว้แค่นั้นด้วยล่ะ หรือว่าหมอนี่ต้องการจะให้ความหวังมิลล์ ถ่านไฟเก่ายังไม่มอดสินะ
“เฮ้อ... บอกเขาไปเลยสิแฟรงก์ว่านายกับหวายกำลังคบกัน”
“เบส!” แฟรงก์เรียกชื่อฉันเสียงแข็งพร้อมกับจ้องหน้าฉันนิ่งเหมือนกำลังสั่งห้ามไม่ให้พูดถึงหวายอีก ไม่ก็กำลังขู่ให้ฉันหุบปากไปเลย
“หุหุ ไม่เห็นต้องโมโหขนาดนี้เลยนี่นา งั้นฉันไม่กวนแล้วนะ พวกนายคุยกันไปเถอะฉันขอตัวไปว่ายน้ำเล่นก่อน”
“เดี๋ยวสิ”
ฉันไม่สนใจเสียงเรียกของแฟรงก์ลุกขึ้นยืนแล้วเดินมาที่สระน้ำ ค่อยไต่ลงบันไดช้าๆ จนเท้าแตะพื้นสระก็เริ่มแหวกว่ายเล่นตามประสาคนว่ายน้ำไม่เก่ง
“แฟรงก์รอมิลล์ด้วย”
ฉันได้ยินเสียงดังแว่วๆ มาแต่ไกลแต่ไม่นานก็เกิดเสียงดังตูมขึ้นพร้อมกับกลุ่มน้ำที่กระเซ็น ผิวน้ำกระเพื่อมไปมากระทบกับร่างกายเป็นระลอกคลื่นเล็กๆ
พรวด!!!
“ว้าย!!!”
ฉันร้องลั่นเมื่อจู่ๆ หมอนั่นโผล่ขึ้นมาจากผิวน้ำตรงหน้าฉันพอดิบพอดี อารามตกใจทำให้ฉันก้าวถอยหลังไปอย่างไม่ทันคิด พื้นสระดันลื่นอีก ฉันจึงทำท่าตาลีตาเหลือกเหมือนจะหงายท้องใส่หน้าแฟรงก์อยู่มะลำมะล่อ
“เฮ้ย! ระวัง”
หมับ!!
เขาสอดแขนมาคล้องลำตัวฉันใต้น้ำเอาไว้อย่างรวดเร็วและแรงพอที่จะดึงฉันไปซบแหมะอยู่กลางหน้าอกแข็งแกร่งของเขา
“แฟรงก์...” ฉันเรียกชื่อหมอนั่นเสียงอ่อน ใบหน้าร้อนวูบ
“แฟรงก์” เสียงแหลมสูงของมิลล์ดังแหวกอากาศขึ้นมาทำให้ฉันกับแฟรงก์รีบผละออกจากกันอย่างรวดเร็ว เหลือบมองโน่นนี่อย่างทำอะไรไม่ถูกกันทั้งสองฝ่าย
“ฉันว่าฉันกลับก่อนดีกว่า” ฉันพูดอ้อมแอ้มหลังจากที่ยัยมิลล์ลงมาในสระแล้วกอดแขนแฟรงก์แน่นอย่างแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของทั้งที่เป็นแค่แฟนเก่าแท้ๆ
“เดี๋ยวสิเบส ฉันยังไม่ได้สอนเธอว่ายน้ำเลยนะ”
ฉันหันกลับไปยิ้มให้แฟรงก์ “ไม่เป็นไร นายก็ไม่ได้ตั้งใจจะสอนฉันว่ายน้ำตั้งแต่แรกอยู่แล้วนี่”
ฉันเหลือบมองยัยมิลล์นั่นครู่หนึ่งก่อนจะดึงสายตากลับมาแล้วเดินกลับขึ้นข้างบน
“เบส”
“แฟรงก์... แฟรงก์...”
“โทษนะมิลล์แต่ฉันเป็นคนพาเบสมาฉันก็ต้องไปส่ง”
ฉันได้ยินเสียงสนทนาของพวกเขาแต่ก็ไม่ได้คิดจะสนใจ ตรงข้ามฉันกลับเดินลิ่วๆ ไปที่ห้องแต่งตัวแต่ยังไม่ถึงธรณีประตูด้วยซ้ำมือหนาของใครบางคนก็คว้าหมับเข้าที่ข้อมือของฉัน
“แฟรงก์...”
“จะกลับแล้วเหรอ? ไม่พอใจอะไรหรือเปล่า”
“เปล่าหนิ ฉันไม่ได้เป็นไรสักหน่อย” ฉันจ้องหน้าแฟรงก์นิ่ง ทำไมฉันจะต้องไม่พอใจเขาด้วยล่ะ มีสิทธิ์เหรอ?
“แต่เราเพิ่งมาเองนะ ยังไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ อย่าลืมสิว่าฉันชวนเธอมาเรียนว่ายน้ำ”
“แฟรงก์โทษที ฉันเพิ่งนึกได้ว่ามีธุระ” ฉันพยายามหาเหตุผลมาอธิบายเพื่อให้แฟรงก์ยอมรับได้ เขาเลิกคิ้วขึ้นจ้องหน้าฉันเหมือนกับไม่เชื่อ
“ธุระ?”
“ใช่... ฉันต้องไปเอารถ” ฉันลังเลที่จะบอก ไม่รู้สิ กลัวๆ พิกลว่าถ้าเขารู้เรื่องรถแล้วอาจระแคะระคายเรื่องที่ฉันแกล้งมาตีสนิทกับเขาก็ได้
“รถ? เธอมีรถด้วยเหรอ”
“เอ่อ... อืม มันเกเรนิดหน่อยน่ะฉันเลยเอาไปเข้าอู่”
“แล้วทำไมต้องเป็นตอนนี้?” หมอนั่นซักไซ้ฉันเหมือนเด็กที่แอบเอาของไปซ่อนก็ไม่ปาน
“ก็เขาโทรมาบอกให้ไปเอาตอนนี้น่ะสิ เจ้าของอู่น่ะ” ฉันรีบบอกเมื่อแฟรงก์ทำหน้าสงสัย หลังจากนั้นหมอนั่นก็คลายสีหน้าลงแล้วพูดออกมาเสียงอ่อน
“ก็ได้ งั้นฉันจะไปส่งเธอเอารถเอง”
“เอ๊ย! ไม่ต้องหรอก นายอยู่ต่อกับมิลล์เถอะ ท่าทางยัยนั่นรอคอยที่จะพบหน้านายมากเลยนะ”
“แล้วฉันจะแน่ใจได้ยังไงว่าเธอจะไม่คาบเรื่องนี้ไปบอกหวาย?”
แฟรงก์หรี่ตาคมๆ ลง เพ่งมองฉันอย่างจับผิด ฉันอึ้งไปชั่วอึดใจ นี่นายห่วงเรื่องนี้เองหรอกเหรอ
“ฉันไม่ใช่คนปากโป้งสักหน่อย อีกอย่างฉันไม่รู้จักกับหวายนายก็น่าจะรู้หนิ เธอไม่ฟังฉันหรอก”
“เหอะ ใช่สิ ใครจะไปเชื่อคนเฟอะฟะอย่างเธอ จริงไหม” หมอนั่นเหยียดยิ้มท้ายประโยค หน็อย มันน่าหยิกให้ตัวเขียวนัก
“ย่ะ ถ้านายอยากสอนฉันไว้น้ำก็เอาไว้วันหลังแล้วกัน วันนี้ฉันไม่มีอารมณ์”
ฉันพูดเสร็จก็สะบัดมือแฟรงก์ออก เดินเข้ามาในห้องแต่งตัว โดยไม่หันกลับไปมองหน้าเขาอีก