Chapter 2
สุดรัก...สุดร้าย (1)
ภายในห้องแต่งตัวที่ใหญ่พอ ๆ กับห้องนอน ภริตานั่งอยู่หน้ากระจกเงาบานใหญ่ มองเงาสะท้อนตัวเองในนั้น เห็นดวงหน้าหวาน ๆ ลอยเด่นที่เคลือบด้วยเครื่องสำอาง แบรนด์ดัง ริมฝีปากอิ่มคลี่ยิ้มคล้ายกับยอมรับในความงามนั้น...นั่นคือความจริง...ตลอดหลายปีมานี้ใคร ๆ ก็ทักว่าหล่อนสวยวันสวยคืน หลายคนทาบทามจองตัวผ่านทางภูดิศ อยากเกี่ยวดองกันเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจในอนาคต คุยกันเรื่องหมั้นหมายทั้งที่หล่อนยังไม่บรรลุนิติภาวะด้วยซ้ำ
แน่นอน...หล่อนไม่รู้เขาคิดอะไรในฐานะผู้ปกครอง เพราะในสายตาคนนอก ทุกคนต่างมองว่าหล่อนก็มีสถานะไม่ต่างไปจากลูกสาวบุญธรรมของภูดิศ และเขาอยากยกหล่อนให้ใครหรือไม่ ไม่อาจคาดเดาเพราะเขาไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้ยามต้องเผชิญหน้ากัน
และสายตาของ อนาวิล ที่มองผ่านกระจกเงายิ่งสนับสนุนความคิดของภริตา หล่อนดูสวยเด่นเหมาะแก่การเคียงคู่ไปพร้อมภูดิศในค่ำคืนนี้ ใบหน้าหวานละมุนตรึงตราใจทำให้ชายหนุ่มภาคภูมิใจในฝีมือตัวเองยิ่งนัก...อนาวิล...ช่างแต่งหน้าประจำตัวรมิตา ฝีมือเขาหาคนเทียบยากจนงานรัดแน่น และที่สำคัญ...เขามีคนรู้ใจเป็นเพศเดียวกัน
"เป๊ะเวอร์ วันนี้น้องอุ่นของพี่สวยจริง ๆ"
ชายหนุ่มดีดนิ้วเปาะหลังลงไฮไลท์เก็บรายละเอียดเป็นขั้นตอนสุดท้าย...ขณะที่อนาวิลกำลังง่วนอยู่กับการจัดเก็บอุปกรณ์แต่งหน้า ภริตาก็ยืนหมุนกายไปมาอยู่หน้ากระจกเงา...ใครเล่าจะรู้ หลังความสวยหรูนั้นซ่อนสิ่งใดเอาไว้
นั่นคือภาพสะท้อนที่สังคมมองเห็น หล่อนสวย บ้านรวย อยู่ภายใต้การปกครองของผู้ชายแสนเพอร์เฟคเช่นภูดิศ มีชีวิตอย่างสุขสบายในฐานะคุณหนูแห่งบ้านชัชวาลมงคล มีคนรับใช้รายล้อมจนแทบไม่ต้องหยิบจับอะไร ชีวิตสุขสันต์ปานอยู่ในวิมานชั้นฟ้าจนคนนอกได้แต่เฝ้ามองอย่าอิจฉา...แต่... คุณหนูแห่งบ้านชัชวาลมงคลกลับรู้สึกขาดหายซึ่งบางสิ่งบางอย่าง หล่อนไม่รู้สิ่งนั้นคืออะไร รู้เพียงแค่ว่ายามอยู่เพียงลำพัง บางครั้งความเศร้าก็เข้ามาเยือน
เขาว่าคนเรามักไม่พอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่...ภริตา
ยอมรับกับคำกล่าวหานั้น หล่อนโหยหาอ้อมกอดที่มองไม่เห็น อ้อมกอดที่ภูดิศให้หล่อนไม่ได้ นั่นละ...คือความทุกข์ที่มาพร้อมความสุข ราวกับมันกลัวว่าหล่อนจะมีความสุขมากไป ก็เลยตามติดเป็นเงาตามตัว
ที่ชั้นล่าง...ดูเหมือนว่าภูดิศจะลงมาก่อนไม่นานนัก เขายืนรออยู่ตรงทางขึ้นบันได แววตาหยิ่งผยองจับจ้องไปยังคนที่เพิ่งเดินลงมา ภายใต้สีหน้าราบเรียบ เขามองคนที่มีอายุห่างกันถึงยี่สิบปีอย่างพึงพอใจ...หล่อนทำให้ท้องไส้เขาปั่นป่วน ใบหน้าสวยโดดเด่นที่มองดูเหมือนไม่ได้ฉาบเครื่องสำอาง ความเป็นธรรมชาติที่ไม่อาจละสายตามาได้ นั่นคงต้องยกความดีความชอบให้อนาวิล
ส่วนภริตานั้นไม่รู้หรอก สายตาหยิ่งผยองคู่นั้นกำลังมองหล่อนอย่างชื่นชม เพราะเขาเล่นซ่อนเอาไว้เสียจนมิดชิด ยากที่ใครจะเห็น
"ขอโทษนะคะที่ให้รอ"
ภริตารู้สึกผิดเล็กน้อย เพราะตลอดสิบเจ็ดปีมานี้ หล่อนถูกสอนจนจำฝังใจ เวลาทุกนาทีมีค่า เมื่อนัดใครอย่าปล่อยให้คน ๆ นั้นต้องคอยนาน นี่คือหนึ่งในกฎระเบียบที่เขายัดเยียดให้ปฏิบัติตาม
"ไปกันเถอะ"
เขามองนาฬิกาแล้วพูดแค่นั้น หันหลังเดินนำหน้าไปการอยู่กันของหล่อนและเขาเหมือนมีช่องว่างระหว่างวัยขวางกั้น เขาช่างประหยัดคำพูดจนเข้าไม่ถึงในตัวตน ตลอดสองสามปีมานี้ ภริตาเริ่มรู้สึกว่าช่องว่างนั้นขยายมากขึ้น หล่อนเคยคิดว่าเป็นเพราะตัวเองโตขึ้น ความคิดอ่านเริ่มนอกกรอบ ก็เลยเริ่มอึดอัดใจกับความเข้มงวดที่บีบให้หล่อนเดินอยู่ในกรอบมาโดยตลอด
ที่หน้าบ้าน ลินคอล์นจอดเทียบรออยู่ แววตากลมโตมองแผ่นหลังกว้างของคนตัวโตข้างหน้า ความผึ่งผายทำให้สัมผัสได้ถึงความหยิ่งผยองจากร่างกายและท่วงท่า...แน่นอน...เขาหยิ่งผยองเพราะยืนหยัดมาเพียงลำพัง ใคร ๆ ก็บอกว่าเขาร้าย เขาเลือดเย็น ทำธุรกิจโดยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม แม้กระทั่งญาติพี่น้อง เขาก็ยังมองว่าเป็นศัตรู
สิ่งที่ผู้ชายคนนี้เคยบอก หล่อนคือคนในครอบครัวเพียงคนเดียวที่เขาไว้ใจ...และนั่น...หล่อนควรภาคภูมิใจกับมัน ในฐานะคนสำคัญแห่งบ้านชัชวาลมงคล
เป็นแค่เด็กที่เขาเก็บมาเลี้ยง ต้องเดินตามหลังเขาอย่างซื่อสัตย์ ทำได้เพียงแค่นั้น หล่อนมองไม่เห็น ตรงไหน
คือความน่าภาคภูมิใจ
ตลอดเวลาที่นั่งเงียบ ๆ มาในรถ สมองของภริตาคิดถึงแต่เรื่องนี้จริง ๆ
++++++
ในช่วงเวลาคลาคล่ำ ลินคอล์นแล่นมาจอดเทียบที่หน้าล้อบบี้โรงแรมแห่งหนึ่ง จากการออกแบบและตกแต่งตั้งแต่หน้าประตูทางเข้าจนถึงตัวอาคาร บ่งบอกในตัวของมันเองว่าหรูหราแค่ไหน ไม่ต่างจากการแบ่งแยกระดับชนชั้น คนที่ไม่เดือดร้อนเรื่องการเงินเท่านั้น ถึงจะได้เหยียบย่างเข้ามาภายในพื้นที่โรงแรมหรูแห่งนี้
ภริตาตกอยู่ในภวังค์อีกแล้ว กับความจริงที่เป็นหนามตำใจ เจ็บทุกครั้งเมื่อญาติ ๆ ของภูดิศคอยแต่จะตอกย้ำเรื่องกำพืดที่แท้จริง...หากภูดิศไม่เจอหล่อน หากเขาไม่เลี้ยงหล่อนเอาไว้ น้ำหน้าอย่างหล่อนก็คงจะไม่มีโอกาสได้มาเผยอหน้าในงานเลี้ยงของคนรวยแบบนี้แน่นอน
นั่นทำให้มุมปากอิ่มยกยิ้มราวกับเย้ยเยาะให้กับตัวเอง ขณะเดียวกันก็พาตัวเองลงจากรถ เพราะภูดิศลงไปยืนรอก่อนหน้านั้นแล้ว
เขากางข้อศอกออกข้างหนึ่ง กวาดตามองไปรอบ ๆ
อย่างระแวดระวัง...การปรากฎกายของเขากับภริตา คนสองคนที่สังคมรับรู้ถึงสถานะ ย่อมเป็นที่สนใจของคนส่วนใหญ่ อีกสักพักกล้องทุกตัวก็คงจะโฟกัสมาที่เขาและหล่อนตั้งแต่เดินเข้าบริเวณพื้นที่จัดงาน
ภาษากายบอกภริตาให้รู้ว่าต้องทำเช่นไร ท่อนแขนเรียวสอดคล้องเกี่ยวกับท่อนแขนแกร่งที่กางรอ ปั้นหน้ายิ้มเข้าไว้แม้จะเบื่อแค่ไหน นั่นคือมารยาททางสังคมที่ภูดิศ สอนหล่อนมาตั้งแต่รู้ความ
“คนในงานมีทั้งเสือสิงห์กระทิงแรด รู้จักที่จะเว้นไว้ซึ่งระยะห่างอย่างเหมาะสม ทุกการเข้าหา ล้วนมีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง เธอควรพูดในสิ่งที่พูดได้เท่านั้น”
เขาเอียงหน้ามากระซิบในสิ่งที่หล่อนรู้อยู่แล้ว...ภริตาพยักหน้ายิ้มรับ ตลอดสิบเจ็ดปีมานี้ หล่อนเป็นเด็กดีของเขาเสมอ เชื่อฟังและว่านอนสอนง่าย และใคร ๆ ก็รู้ เขาเอ็นดูหล่อนมากกว่าลูกหลานแท้ ๆ เสียอีก ไม่แปลกที่ญาติ ของเขาจะหมั่นไส้และพานไม่ชอบภริตา บางคนถึงขั้นเกลียดขี้หน้าด้วยซ้ำ
กล้องทุกตัวเล็งมายังคนสองคนที่เดินเกี่ยวแขนกันมาด้วยสีหน้าชื่นมื่น เสียงรัวชัตเตอร์มาพร้อมแสงแฟลชที่สว่างวาบไปทั่ว ทั้งสองยืนให้ช่างภาพถ่ายรูปพอหอมปากหอมคอ...หลังจากนี้ก็จะเป็นข่าวในแวดวงสังคม ภูดิศนักธุรกิจหนุ่มหมื่นล้านกับเด็กในปกครองควงคู่กันมาร่วมงานแต่งของคนในแวดวง หลาย ๆ คนล้วนเข้าใจไปแบบนั้น เขาเป็นผู้ปกครองภริตา ก็ไม่ต่างอะไรกับความสัมพันธ์ในแบบคุณพ่อยังหนุ่มกับลูกสาวที่กำลังอยู่ในวัยสะพรั่ง นั่นคือสิ่งที่ภูดิศไม่ชอบใจเอามาก ๆ
เขาไม่ชอบในสิ่งที่สังคมยัดเยียด เขาคิดว่าเขาเป็นแค่ผู้ปกครองของภริตา ไม่ได้เลี้ยงหล่อนมาในฐานะลูกสาว และที่สำคัญเขายังโสดและอายุแค่สามสิบเจ็ด จะให้มีลูกโตเป็นสาวในวัยเพียงเท่านี้ได้อย่างไรกัน
บรรยากาศในงานเลี้ยงเป็นไปอย่างชื่นมื่น อบอวลด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของผู้มาร่วมงาน และออร่าของภริตาล้วนสะดุดตาสะดุดใจผู้ชายหลายคน มีเพียงไม่กี่คนที่กล้าฝ่าด่านภูดิศเข้ามาทักทาย อาศัยบารมีบิดามารดามาชวนภริตาไปเต้นรำ
ภริตาซึ่งอยู่ในกรอบอันเคร่งครัดมาตลอดมีหรือจะกล้าตัดสินใจ แววตากลมโตดำขลับสบกับแววตาคู่คมอย่าง
กล้า ๆ กลัว ๆ
“คุณอา...เอ่อ...”
ไปเถอะ อย่าเสียมารยาท...หล่อนอ่านคำพูดจากการพยักหน้าของเขาและแววตาที่ส่งกลับมา และแม้จะไม่เต็มใจไปเต้นรำกับผู้ชายแปลกหน้า แต่ก็จำต้องไปเพราะภูดิศอนุญาตแล้ว หล่อนคิดแค่ว่านี่คือมารยาทการแสดง ออกทางสังคม เขากำลังสอนให้หล่อนเรียนรู้เพื่อการอยู่รอด ที่สำคัญ...หล่อนกำลังทำตัวเป็นเด็กดี ด้วยการเชื่อฟังเขา
ตรงกลางฟลอร์ ท่ามกลางเสียงเพลงขับกล่อม แววตาเข้มหยิ่งผยองเอาแต่จับจ้องไปยังสองหนุ่มสาวที่กำลังวาดลีลาพลิ้วไหวไปกับจังหวะชวนฝัน ยิ่งจับจ้องแววตาคมกล้ายิ่งสั่นไหว เขาเผลอกัดริมฝีปากจนเจ็บชา เกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่ ภูดิศเฝ้าถามตัวเอง ความรู้สึกนี้...แบบนี้...เขาไม่เคยเป็น
มือนั้น...เขามองมือใหญ่ที่ทาบอยู่ตรงเอวคอดกิ่ว เขายิ่งมองทะลุเข้าไป ผิวกายเนียนละเอียดซ่อนอยู่ใต้ชุดราตรีสีเทาอ่อน อกอิ่มที่แทบจะแนบสนิทกับอกแกร่งของชายคนนั้น ริมฝีปากของหล่อน...ใบหน้าของหล่อนที่อยู่ห่างจากอีกฝ่ายแค่ระยะหายใจรด รอยยิ้มและตาสองตาที่สบประสาน...เขาแทบอยากจะบ้า ในหัวอื้ออึงเหมือนมีคนกำลังตะโกนก้อง ท้องไส้ปั่นป่วนหายใจติดขัด เขาเป็นอะไร ทำไมจึงสั่นไปทั้งกายและใจเช่นนี้
คงจะมีแต่คนบ้าที่กล้าทำแบบนี้ กล้าที่จะเดินมาจูงมือคนของเขาไปเต้นรำ กล้าที่จะกอดและสัมผัสผิวเนื้อนุ่ม และหมอนั่นก็แสนบ้าบิ่นและท้าทาย...บ้าไปแล้ว ยิ่งคิดลมหายใจยิ่งแรงขึ้น
“ไม่จูบกันไปเสียเลยล่ะ!”
เขาเข่นเสียงรอดฟัน ยังคงมองตามการเคลื่อนไหว และคิดอย่างประชดประชัน ทั้งที่เป็นคนอนุญาตเอง ยามนี้เขากลับนั่งหวงหล่อนจนเป้นบ้าเป็นหลัง