Chapter 3
ความลับ (1)
สิบเจ็ดปีก่อนหน้า...
วิชัยยืนอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่ง บ้านไม้หลังนั้นกำลังถูกลามเลียจากฤทธิ์ของเปลวเพลิง แววตาตื่นตกใจเพ่งมองเข้าไปในนั้น...ที่ตรงนั้น...ไฟร้อนกำลังแผดเผาอย่างบ้าคลั่ง เขารู้สึกแสบร้อนไปตามใบหน้าและลำตัว ท่ามกลางเสียงเผาไหม้และทำลายล้าง ใจเขาเต้นแรงเพราะความตื่นกลัว ท่ามกลางคำถาม...ใครจุดไฟเผาบ้านหลังนี้
เขาเตรียมจะพรวดพราดเข้าไปตามเจ้านายในบ้านหลังนั้น หากแต่ว่าก็ถูกรั้งเอาไว้ด้วยชายในชุดซาฟารี
"คุณรออยู่ตรงนี้นั่นแหละ เดี๋ยวพวกผมเข้าไปดูท่านประธานเอง"
"ให้ผมเข้าไปดีกว่า เพราะคุณภูมิกำลังต้องการความช่วยเหลือ!"
"มันอันตรายเกินไปสำหรับคุณ!"
หนึ่งในนั้นชี้แจง เขาคือผู้เสียสละที่จะฝ่าเปลวเพลิงเข้าไป ยามนี้ไฟร้อนค่อยๆ กัดกินเนื้อไม้เข้าไปเรื่อยๆ ทุกคน
ต่างร้อนรน ห่วงเจ้านายไม่ต่างกัน
"ท่านประธาน!"
ยังไม่ทันดาหน้ากันเข้าไป ร่างสูงในชุดดำก็ก้าวเดินเร็ว ๆ ออกมา...ในวินาทีเฉียดฉิวที่ภูดิศเดินพ้นออกมาจากตรงนั้น เศษไม้ที่ไหม้ไฟก็ร่วงครืนตามหลัง มันเฉียดร่างชายหนุ่มแค่เพียงนิดเดียวเท่านั้น
ภูดิศหันไปมอง...ถือว่าเขายังโชคดีที่ออกมาทัน สองแขนกระชับร่างเล็ก ๆ ในอ้อมกอดจนแน่น
ทุกคนต่างผ่อนลมหายใจโล่งอก เมื่อเห็นเจ้านายหนุ่มกลับออกมาในสภาพเดิมครบสามสิบสอง สายตาทุกคู่โฟกัสไปที่หน้าหล่อ ๆ กลัวจะเสียโฉมเพราะเปลวเพลิงเสียแล้ว
"อุแว้ ๆ"
เพราะเสียงทารกร้อง ทุกคนจึงเพิ่งสังเกตเห็น นายของตนไม่ได้ออกมาเพียงลำพัง แต่ในอ้อมกอดนั้นยังโอบอุ้มร่างน้อย ๆ ที่กำลังแผดเสียงร้องไม่หยุด เดาเอาว่าน่าจะเพิ่งคลอดออกมาได้ไม่นาน
"คุณภูมิ! เกิดอะไรขึ้นครับ"
วิชัยมีสีหน้าเลิ่กลั่ก เขาไม่รู้ว่าเจ้านายอุ้มลูกใครมา
และกำลังจะทำอะไรต่อไป หากแต่ภูดิศไม่ตอบ เขาพยัก พเยิดให้บอดี้การ์ดเดินไปเปิดประตูรถ...เช่นกัน...ไม่มีใครสนใจว่าบ้านหลังนั้นกำลังถูกไฟไหม้จนแทบจะพังอยู่รอมร่อ
"ไปจากที่นี่กันได้แล้ว ก่อนที่ตำรวจจะแห่กันมา"
"คุณภูมิครับ จะเอาเด็กไปไหน!"
วิชัยยังคงอยากรู้ เขามองตามร่างเจ้านายที่อุ้มเด็กขึ้นไปนั่งบนรถ แต่ก็ยังคงไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจน และก็ไม่กล้าซักไซ้อีก รู้ดีว่าเจ้านายเกลียดการเซ้าซี้มากแค่ไหน
ท่ามกลางความมืด กลุ่มเปลวไฟยังคงลุกโชน ยามล้อรถกำลังพาเขาเคลื่อนที่ห่างออกมาจากตรงนั้นมากขึ้นเรื่อย ๆ ภูดิศอดที่จะหันไปมองเป็นครั้งสุดท้ายไม่ได้...เขาบดกรามจนเป็นสันนูน แววตาแดงก่ำสั่นระริก เมื่อได้รู้ว่ากำลังสู้อยู่กับอิทธิพลของใครบางคน...
ภูดิศทะลึ่งพรวดขึ้นมาจนสุดตัว...ฝัน...เขาฝันถึงอดีตอีกแล้ว และทุกครั้งมันจะทำให้เขาต้องสะดุ้งตกใจตื่น และการที่เขาพรวดพราดลุกนั่งพร้อมกับหายใจถี่แรง ทำให้คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้าง ๆ เตียงต้องถลาลุกขึ้นมาดู
"ฝันร้ายเหรอคะ"
เขาเหลือบตามองคนถาม...จ้องหน้าหล่อนราวกับมีเรื่องในใจ...ก่อนจะผ่อนลมหายใจแรง ๆ แล้วเหลียวมองไปรอบ ๆ ห้อง พยายามสลัดเรื่องราวในฝันออกไป
เก้าอี้ตัวนั้นทำให้เขาสงสัย...หล่อนไปนั่งอยู่ตรงนั้นทำไม
"อย่าบอกนะอุ่น เธอนั่งเฝ้าอาจนไม่ได้นอนทั้งคืน"
"ทำไมคิดแบบนั้นคะ"
"ก็นั่นไง เธอลากมันมา ทำเหมือนกับกำลังเฝ้าไข้คนป่วย"
ภริตาหันไปมองตามสายตาเขา หล่อนคลี่ยิ้มใส่ตาคนบนเตียง
"อุ่นเพิ่งนั่งเฝ้าคุณอาเมื่อเช้าค่ะ กลัวว่าจะไข้ขึ้น ก็เลย...คอยเช็ดตัวให้"
นั่นคือความห่วงใยที่มาจากใจจริง หล่อนไม่รู้หรอก ว่า การกระทำนี้ แบบนี้ มันทำให้ความรู้สึกเก่า ๆ ของเขาค่อย ๆ เปลี่ยนไป
ยามที่ตาสองตากำลังจับจ้อง เสียงเคาะประตูห้องก็ดังแทรกขึ้นมาพอดี
ภริตาเดินไปเปิดประตู...คนที่ยืนอยู่หน้าห้องไม่ใช่ใคร ศรุต เลขาคนสนิทของภูดิศ คนที่ทำงานด้วยกันมานานหลายปี คือผู้ชายเพียงคนเดียวที่สอบผ่านด่านหินของภูดิศ หักหน้าสาว ๆ หลายคนที่อยากได้งานนี้ ภูดิศเป็นคนคัดเลือกเลขาด้วยตัวเอง
ศรุตเพิ่งมารู้ทีหลัง สาว ๆ พวกนั้นสอบตกตั้งแต่ด่านแรก เหตุเพราะทำข้อสอบง่าย ๆ ไม่ได้ นั่นคือการเขียนคำว่า คะ และ ค่ะ ให้ถูกต้องกับรูปประโยค...ใครจะคิดว่าภูดิศจะ ออกข้อสอบแบบนี้ขี้นมา บางคนอาจไม่ซีเรียสที่ใช้ผิด แต่ท่านประทานของเขาค่อนข้างเข้มงวดเป็นอย่างมาก
มันจึงเป็นเหตุผลที่ใคร ๆ ก็ขำเวลาเขาบอกเหตุผลที่ได้งาน แต่ภูดิศมักย้ำเสมอ เพราะศรุตมีคุณสมบัติที่ดีพร้อม ไม่ใช่ได้มาเพราะสาว ๆ พวกนั้นสอบตก
"โผล่หัวมาได้แล้วเหรอ ฉันรอนายทั้งคืน มัวไปมุดหัวอยู่ไหนมา! "
เสียงตำหนิข้ามหัวภริตามากระแทกหน้าศรุต จนสองหนุ่มสาวต่างสบตากันแล้วยิ้มเจื่อนออกมา...ภริตาหลุบตาลงต่ำ เห็นศรุตลากกระเป๋ามาถึงสองใบ
"เขาหงุดหงิดที่อาบน้ำไม่ได้ค่ะ"
ภริตากระซิบกระซาบ หากแต่ศรุตนั้นหาได้สะทกสะท้าน เพราะเขาสนิทกับภูดิศจนรู้ซึ่งนิสัยใจคอไปเสียแล้ว
ภริตาชะเง้อมองหาผู้ช่วย หล่อนกำลังคิดว่าเหตุใดคนในบ้านจึงปล่อยให้ศรุตลากกระเป๋าขึ้นมาเพียงคนเดียวแบบนี้
"พี่คิมลากกระเป๋ามาเองเหรอคะ เด็กในบ้านไปไหนกันหมด"
"ก็มาส่งหน้าห้องนี้นั่นแหละ เพิ่งพากันกลับลงไป"
ภริตาหันไปมองคนบนเตียง หล่อนเองก็ไม่รู้ว่าภูดิศจะให้ศรุตนอนห้องไหน ที่แน่ ๆ เลขาหนุ่มจะต้องอยู่ที่นี่จนกว่าเจ้านายจะหายดี เรียกว่าเอางานมาทำที่บ้านเลยก็ว่าได้
"ไปทำอะไรของเธอเถอะอุ่น อามีผู้ช่วยแล้ว"
นั่นแหละเขา บทจะไล่ก็ไล่ บทจะอ้อนก็อ้อน เขาเป็นแบบนี้มานานนม จนภริตาชินในความเข้าใจยากของผู้ชายคนนี้ และยังมีผู้หญิงอีกคนที่คบกับเขาได้ รู้ใจกันทุกเรื่อง...คีติกา
และเขาไม่ชอบคนดื้อดึง เมื่อเอ่ยปากแบบนี้หล่อนก็ต้องออกไปก่อน ปล่อยเขาไว้กับเลขาเพียงลำพัง และที่หล่อนไม่อยากรบกวนเพราะทุกนาทีของภูดิศนั้นมีแต่เรื่องธุรกิจ เขาอาจจะอยากคุยกับเลขาเกี่ยวกับงาน
ศรุตยิ้มให้ภริตาที่เดินผ่านหน้าออกไปข้างนอก...เมื่อคล้อยหลังเจ้าหล่อน เขาลากกระเป๋าเข้ามาเก็บในห้องเข้านายทั้งที่ยังไม่รู้ว่าจะนอนที่ไหน แล้วปิดประตูตามหลัง
"คุณภูมิเห็นข่าวหรือยังครับ"
นั่นคือเรื่องแรกที่ศรุตอยากบอกเจ้านาย เพราะเขารู้ว่าอีกฝ่ายไม่เล่นโซเชียลที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องงาน
"ข่าวเพี้ยน ๆ ของฉันน่ะเหรอ"
ศรุตล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ เปิดไปที่หน้าไอดีที่ชอบลงข่าวคนดัง...แน่นอน...เรื่องของภูดิศถูกพูดถึงเป็นวงกว้าง หลาย ๆ คนตั้งเป้าว่าเขาจงใจทำร้ายตัวเอง
"ผมไล่อ่านเม้นท์ดูแล้ว มีหลาย ๆ คนพูดถึงเรื่องความไม่ปกติของคุณภูมิ"
ภูดิศเหลือบตามองเลขา ริมฝีปากหยักกระตุกยิ้มข้างหนึ่ง
"นายก็พูดมาตรง ๆ สิ คนพวกนั้นหาว่าฉันบ้า เสียสติตั้งแต่พ่อแม่ตาย"
"เอ่อ...คุณพูดเองนะครับ ผมแค่บอกว่าคุณถูก
กล่าวหาว่าไม่ปกติ...ลองเสพข่าวดูบ้างนะครับคุณภูมิ จะได้รู้ว่าสังคมพูดถึงคุณว่ายังไง"
"ไร้สาระชะมัด เอาเก็บไปเถอะ"
ภูดิศดันโทรศัพท์ที่ถูกยื่นมาจนใกล้หน้าให้ออกห่าง เขาไม่เคยใส่ใจอยู่แล้วว่าใครจะพูดถึงตนในแง่ไหนบ้าง
"ฉันไม่สนคำพูดของคนพวกนั้นหรอกนายก็รู้ ถ้าพูดแล้วทำให้เงินในบัญชีค่อย ๆ หายไป เมื่อนั้นฉันถึงจะแคร์ ฉะนั้นเลิกเอาเรื่องไร้สาระมาใส่หัวฉันได้แล้ว"
ศรุตเลิกเซ้าซี้ ทั้งที่ความจริงเขาเองก็ห่วงเจ้านายไม่น้อย รู้ว่ารอบข้างนั้นมีทั้งคนรักแล้วก็คนเกลียด บางทีญาติกันแท้ ๆ ก็ยังไว้ใจกันไม่ได้
เหตุที่เกิดขึ้นนั้น เขาพยายามจะเชื่อเจ้านาย ทำเป็นเชื่อว่าแก้วใบนั้นมันแตกเอง แม้นายของเขาจะถูกพูดถึงในทางเสียหายก็ตาม แต่เขาก็พร้อมจะยืนหยัดเคียงข้างเสมอ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ภูดิศขยับกายลงจากเตียง เดินไปหยุดยืนอยู่ริมหน้าต่าง เขาแหวกม่านออกจากกันแล้วทอดสายตามองออกไปด้านนอก...เห็นคนสวนกำลังรดน้ำพรวนดินให้กับเหล่าแมกไม้ ศรุตได้ยินเสียงถอนหายใจ
"นายก็รู้ สิ่งที่ฉันต้องจัดการตอนนี้มันสำคัญมากกว่าเรื่องคนจะมองว่าฉันเป็นคนยังไง สิ่งที่ฉันแคร์ นั่นก็คือความรู้สึกของคนใกล้ตัว"