โถงใหญ่ประจำสำนักดอกเหมยอำพันอันเป็นสำนักคุ้มภัยและสอนวรยุทธ์อันลือชื่อแห่งแคว้นฉู่ คลาคล่ำไปด้วยศิษย์สำนักซึ่งรอประชุมตามที่ได้นัดหมาย ชายวัยกลางคนผู้เป็นเจ้าสำนักยังคงนั่งนิ่งบนเก้าอี้ ไม่เปล่งวาจาใดๆ สีหน้าเคร่งเครียดระคนครุ่นคิดทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยถาม เว้นแต่ชายหนุ่มวัยยี่สิบสองปีที่ไม่อาจทนรอได้ เอ่ยทักออกไปอย่างไม่กลัวเกรง
“ศิษย์สำนักมากันครบแล้วขอรับท่านพ่อ เมื่อไหร่ท่านพ่อจะเปิดการประชุมขอรับ”
พอถูกทัก กวงเหยาไท่ ก็รู้สึกตัว จ้องใบหน้าชายหนุ่มเมื่อครู่ สีหน้าเขาในตอนนี้ฉาบพรายด้วยความเคร่งเครียดไม่ต่างกัน กวงเหยาไท่รู้สึกเหมือนมองเห็นภาพของตนเมื่อครั้งยังวัยหนุ่มประดุจถอดแบบจากเขามาทุกระเบียดนิ้ว
...ก็จะไม่ให้เหมือนได้เช่นไร ในเมื่อชายหนุ่มผู้นั้นคือ กวงฟั่น บุตรชายคนโตผู้สืบสายโลหิตของเขานั่นเอง
“จะรีบร้อนไปไยกวงฟั่น รอให้ทุกคนใจเย็นลงก่อนแล้วพ่อจะเริ่มเอง”
“เรื่องเช่นนี้ท่านพ่อยังจะใจเย็นได้อยู่อีกหรือ”
กวงเหยาไท่เหลือบมองหน้าบุตรชายคนโต ใบหน้าคร้ามครันตึงเรียบแฝงความไม่พอใจ ทว่าก็ยังฉายความคมคายดุจบุรุษอันเป็นที่หลงใหลของอิสตรี แต่ก็เพียงครู่เดียว สีหน้าบึ้งตึงนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นรำคาญเมื่อมือเล็กของเด็กหนุ่มวัยสิบแปดปีที่ยืนเยื้องอยู่ด้านหลังเอื้อมมาแตะบ่าแกร่งเป็นเชิงห้าม ก่อนเสียงใสจะดังขึ้นเบาๆ ราวให้ได้ยินเพียงสองคน
“ใจเย็นก่อนเถิดท่านพี่ ร้อนรนไปก็ใช่จะกำราบสำนักปักษามรกตได้เสียหน่อย รอท่านพ่อก่อนเถิด”
“เช่นนั้นคงต้องรอให้สำนักดอกเหมยอำพันของเราถูกไอ้สำนักนั้นหยามเกียรติก่อนกระมัง ท่านพ่อจึงเริ่มเปิดการประชุมได้ เจ้าเก็บคำพูดปรามข้าไว้ปลอบท่านพ่อยามสำนักเราถูกตราหน้าว่าไร้น้ำยาจะดีกว่านะกวงจิน!”
กวงเหยาไท่ปราดมองไปยังร่างแน่งน้อยของกวงจิน บุตรชายคนเล็กซึ่งมีสีหน้าเจื่อนลงไปถนัดตา พลันคิดในใจว่าทั้งคู่ช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว ขณะที่กวงฟั่นเหมือนผู้เป็นบิดา กวงจินกลับได้รับทุกอย่างมาจากมารดาที่เสียไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน ทั้งใบหน้าหวานอ่อนช้อย รูปร่างอ้อนแอ้นอรชรดุจสตรี และไม่ใคร่วิวาทกับผู้ใดหรือใส่ใจร่ำเรียนวรยุทธ์เท่าที่ควรทั้งที่เกิดเป็นบุตรเจ้าสำนักวรยุทธ์ ทำให้กวงจินมักถูกพี่ชายข่มอยู่ร่ำไป และก่อนที่เรื่องจะบานปลายกลายเป็นพี่น้องทะเลาะกัน เจ้าสำนักก็ยกมือ แล้วเข้าเรื่องประชุมทันใด
“พอได้แล้วพวกเจ้า ที่ข้าเรียกทุกคนมาประชุมในวันนี้ ก็เพราะข้าได้ข่าวลือหนาหูเหลือเกินว่าสำนักปักษามรกตนั้นฮึกเหิม ไล่ต้อนสำนักวรยุทธ์อื่นๆ ให้สยบแทบเท้ามานักต่อนัก เหลือเพียงสำนักดอกเหมยอำพันของเราที่ยังไม่โดนหมายหัว ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงอยากให้ทุกคนเตรียมพร้อมไว้ เมื่อใดที่สำนักปักษามรกตล้ำเส้นของเรามา เราจะได้ตอบโต้เสียให้สมศักดิ์ศรี...”
เหล่าศิษย์สำนักได้ฟังเท่านี้ก็รู้กระจ่างแจ้งโดยทั่วกันว่าเกิดอะไรขึ้น เรื่องนี้หาได้ใช่ข่าวใหม่แต่อย่างใด หากย้อนไปเมื่อหลายเดือนก่อน เรื่องราวของสำนักปักษามรกตอันอยู่ต่างแว่นแคว้นก็เริ่มกลายเป็นที่กล่าวขวัญในหมู่จอมยุทธ์หนาหูว่าหลังจากเจ้าสำนักปักษามรกตคนเก่าสละตำแหน่งให้บุตรชายขึ้นครอง สำนักปักษามรกตก็ผงาดง้ำแข็งแกร่งขึ้นราวกับก้าวกระโดดด้วยการบริหารจัดการและวรยุทธ์ของเจ้าสำนักคนใหม่ ซ้ำยังรวบรวมจอมยุทธ์ฝีมือดีจากทั่วทุกสารทิศได้มากมายด้วยการจ้างวานเป็นศิษย์สำนักไปท้าประลองกับสำนักอื่นจนมีชัยมานักต่อนัก จึงไม่แปลกที่สำนักปักษามรกตจะแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ร้อนถึงสำนักดอกเหมยอำพัน แม้ว่าจะเลื่องชื่อในยุทธภพว่าเป็นสำนักยุทธ์ที่เปี่ยมด้วยตำรายุทธ์และศิษย์มากฝีมือ แต่ก็ไม่วายอดหวั่นใจไม่ได้ว่าอีกไม่นานสำนักปักษามรกตคงได้ฤกษ์ท้าประลองสำนักดอกเหมยอำพันด้วยหมายจะทำลายให้ย่อยยับแน่นอน
ทว่าการตัดสินใจของบิดาโดยการรอรับมืออยู่เฉยๆ ช่างไม่เข้าหูกวงฟั่นแม้แต่น้อย จนเขาต้องแทรกขึ้นกลางการประชุมเสียอย่างนั้น
“ไยท่านพ่อจึงไม่บุกกำราบสำนักปักษามรกตเสียให้รู้ดำรู้แดงกันไปข้างเล่า มัวแต่รอเช่นนี้เพื่อสิ่งใดกัน”
กวงเหยาไท่กะไว้อยู่แล้วว่าบุตรชายคนโตต้องขัด ด้วยรู้ว่าเขานั้น นอกจากจะใจร้อนบุ่มบ่ามแล้ว ยังใคร่จะสืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักต่อจากเขาเพียงใด ไม่แปลกหากกวงฟั่นจะเกรงว่าสำนักดอกเหมยอำพันจะย่อยยับเสียก่อนตนได้ครอบครอง แต่นั่นก็หาใช่เหตุผลที่จะต้องบุกตีรันฟันแทงสำนักปักษามรกตไม่ ขืนทำการนั้นไป คงได้เป็นเรื่องราวใหญ่โต
“หากเจ้าวู่วามแล้วพ่ายแพ้ขึ้นมา อีกกี่ชีวิตในสำนักจะต้องย่อยยับไปกับเจ้ากันหรือกวงฟั่น อีกทั้งสองสำนักยังอยู่ในแคว้นข้างเคียง เกิดมีเรื่องมีราวขึ้นมาจะไม่ดีนัก ลองเจรจาเชื่อมสัมพันธ์กันก่อนเถิด จะได้ไม่ต้องรุนแรงให้หมางใจกัน”
“ท่านพ่อกลัวเกรงสำนักปักษามรกตเกินไปกระมังถึงได้กลัดกลุ้มเช่นนี้ หากข้าเป็นเจ้าสำนัก ไม่ว่ากี่ชีวิตในสำนักดอกเหมยอำพัน ข้าก็จะรักษาไว้ ผูกมิตรไปก็เปล่าประโยชน์ สักวันไอ้สำนักนั่นคงได้แว้งมาทรยศเราเป็นแน่”
“หากเจ้าคิดว่าการชิงชัยระหว่างสำนักมันง่ายดายเสียอย่างนั้นก็สุดแท้แต่เจ้า แต่ตอนนี้ พ่อยังเป็นเจ้าสำนักอยู่ และในฐานะเจ้าสำนัก พ่อสั่งให้เดินไปทางใด ทุกคนก็ต้องเดินไปทางนั้น ห้ามขัดคำสั่งเด็ดขาด”
พอเห็นว่าขืนให้เหตุผลไป รังแต่จะเถียงกับบุตรชายคนโตไปเสียเปล่าๆ จึงใช้อำนาจเด็ดขาดตอกกลับเสียจนกวงฟั่นชักสีหน้า แม้จะรู้ว่าบิดาผ่านร้อนผ่านหนาวในการเป็นเจ้าสำนักมามากเพียงใด แต่ก็ไม่อาจทำใจยอมรอคอยได้ ก่อนแผดเสียงลั่นจนศิษย์สำนักสะดุ้งไปตามๆ กัน
“ก็ได้ท่านพ่อ! ในเมื่อท่านประสงค์จะรอคอยให้มันมารุกรานเราก่อนก็ตามใจ แล้วอย่าหาว่าข้าไม่เตือน!”
“ท่านพี่! ก้าวร้าวเกินไปแล้ว นั่นท่านพ่อนะ!”
คนตัวเล็กเห็นท่าทางของพี่ชายก็ไม่อาจนิ่งเฉย โผเข้ามาสะกิดหวังเตือนให้รู้สึกตัว ทว่ากวงฟั่นกลับหันขวับไปถลึงตาใส่ แล้วคว้าข้อมือเล็กของน้องชายมากำแน่น
“เจ้าหุบปากไปเลยกวงจิน เป็นเด็กเป็นเล็กอย่าสอด”
กวงจินได้แต่เม้มริมฝีปากจนซีดขาว อดกลั้นความเจ็บปวดแทนโต้เถียงต่อเพราะกลัวว่าหากไม่หยุด กวงฟั่นอาจฉุนขาดถึงขั้นอาละวาดได้ กวงเหยาไท่ก็ได้แต่มองบุตรชายทั้งสองอย่างระอา ก่อนปริปากห้ามปราม
“ปล่อยน้องเสียกวงฟั่น เห็นหรือไม่ว่าเจ้าทำกวงจินเจ็บ”
“เจ็บก็ช่างประไร ท่านพ่อดูแลสำนักด้วยวิธีของท่านให้ดีเถิด ข้ากับกวงจินคงไม่รบกวนแล้ว ขอลา...”
พูดจบก็ไม่รอให้ใครรั้ง ฉุดกระชากน้องชายออกจากห้องโถงโดยไม่สนใจสายตาของศิษย์สำนักนับสิบคู่ที่มองมาเป็นจุดเดียว ปล่อยให้บิดามองตามอย่างเหนื่อยหน่าย พลันถอนหายใจยาว บ่นพึมพำไปตามเรื่อง
“ใจร้อนเช่นนี้แล้วพ่อจะยกตำแหน่งให้เจ้าได้อย่างไรเล่ากวงฟั่น...”