รุ่งเช้าวันใหม่ ชยธรตื่นขึ้นมาด้วยสีหน้าไม่สดใสอย่างเป็นที่สุด เมื่อคืนนี้กว่าจะฟังเรื่องผีเป็นเพื่อนแม่คุณหนูน้ำผึ้งจบรายการเขาก็หัวใจเต้นเกินอัตราเร็วปกติด้วยความหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด ยิ่งเมื่อถึงเวลานอนเขาก็รู้ว่าตัวเองต้องตาค้างนอนไม่หลับหรือไม่ก็หลอนจนเป็นประสาทไปแน่ๆ เขาเลยตัดสินใจชวนมธุรสลดานอนที่ห้องนั่งเล่นยึดโซฟาคนละตัวไปเสียเลย
แต่ว่ามธุรสลดานึกยังไงของเธอเขาก็ไม่อาจทราบได้เธอไม่ยอมนอนข้างนอกบอกว่าจะเข้าไปนอนสบายๆ ที่ห้องอย่างเดียว เขาจึงชวนเธอดูหนังต่อพร้อมทั้งสัญญาว่าจะรับหน้าที่เป็นบอดี้การ์ดเธอต่อไป เธอจึงยอม เมื่อดูหนังไปจนจบเรื่องเธอก็จะลุกเข้าไปนอนที่ห้อง เขาก็ละล้าละลังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร รู้เพียงว่าค่ำคืนที่เหลือเขาอยู่คนเดียวไม่ได้แน่ เขาจึงชวนเธอดูอีกเรื่องหนึ่งแม้ว่าจะดึกมากก็ตามจนเธอผล็อยหลับไปเขาก็ค่อยโล่งใจที่หลอกล่อเธอให้อยู่เป็นเพื่อนได้สำเร็จ แต่กว่าเขาจะข่มตาให้หลับลงได้ก็ไม่ง่ายนักเขาจึงตื่นขึ้นมาด้วยใบหน้าที่ไม่สดใส รอยคล้ำใต้ดวงตาแจ่มชัดมากขึ้นบนใบหน้าขาวๆ ของเขา
หึ เขาคงจะกลัวเรื่องที่ได้ฟังครึ่งหนึ่งของที่กลัวเมื่อคืนนี้แน่นอน ถ้าหนึ่งในเรื่องที่ได้ฟังเมื่อคืนไม่ใช่เรื่องผีตามหลอนที่ห้องนอนในคอนโด!
เขาเลยนอนที่ห้องรับแขกมันเสีย ยอมรับอย่างลูกผู้ชายเลยว่ากลัว
เมื่อเขาขยับลุกขึ้นมาแล้วเหลือบไปมองนาฬิกาก็เกือบเก้าโมงเช้าแล้ว ผู้กองหนุ่มมองเข็มนาฬิกาด้วยความตกใจ เขาไม่เคยตื่นสายเท่านี้มาก่อนเลย แต่เขาก็ไม่กล้าโทษว่าเป็นความผิดของมธุรสลดาที่มาปลุกโรคกลัวผีของเขาให้กำเริบจนไม่เป็นอันนอน มันคงเป็นความผิดของเขาเองที่ดันเกิดมากลัวผีขึ้นสมอง ผิดที่เขาเองคนเดียวจริงๆ เขาคิดอย่างละเหี่ยใจก่อนที่จะเดินไปอาบน้ำ
“พี่ชินตื่นแล้วไม่ยอมปลุกน้ำผึ้ง” มธุรสลดาโพล่งออกมา ชยธรที่กำลังทำน้ำสเต็กอยู่บนเตาหันกลับมามองเจ้าของใบหน้ายับยู่ยี่ ผมเผ้ายุ่งเหยิงตามแบบฉบับของคนเพิ่งตื่นนอนแล้วยิ้มให้เธอน้อยๆ
หลังจากที่เขาอาบน้ำเสร็จออกมาจากห้องนอนตัวเองเรียบร้อยมธุรสลดาก็ยังนอนหลับสบายๆ อยู่เขาเลยไม่ปลุกเพราะรู้ว่าเธออาจจะไม่ชินกับเวลาหรือว่าเหนื่อยจึงอยากให้เธอพักผ่อนให้เต็มที่ อีกอย่างท่านชิษณุรักษ์ก็บอกว่าไม่ควรปลุกเธอ เขาจึงเข้ามาทำอาหารเช้าควบอาหารเที่ยงที่ห้องครัวเพียงลำพัง
อาจจะด้วยเสียงดังหรือว่ากลิ่นหอมของอาหารที่ทำให้เธอตื่นขึ้นมา แล้วโผล่หน้ามาบ่นเขาที่ไม่ปลุกถึงห้องครัว
“พี่เห็นว่ากำลังหลับสบายเลยไม่อยากปลุก”
“แล้วนั่นพี่ชินทำอะไรคะ หอมจัง”
“สเต็กหมูกับใส้กรอกเยอรมัน”
“ทำกับข้าวเป็นด้วยเหรอคะเนี่ย”
“ไปอาบน้ำไป จะได้รีบมากินข้าว สายๆ เดี๋ยวไม่ได้ออกไปไหนกันพอดี” พอเขาพูดหญิงสาวก็ทำตาโตนึกอะไรออกขึ้นมา
“จริงด้วยสิ เราต้องออกไปเที่ยวกันต่อ งั้นน้ำผึ้งรีบไปอาบน้ำดีกว่าเดี๋ยวช้า” เธอวิ่งปรูดปราดเข้าห้องนอนเล็กไปอย่างรวดเร็ว คนที่ทำกับข้าวอยู่ยิ้มแล้วส่ายหัวน้อยๆ ให้กับความเป็นเด็กที่มีล้นเหลือในตัวของเธอ
โปรแกรมเที่ยวในวันแรกของมธุรสลดาคือพัทยา หญิงสาวบอกว่าอยากไปเล่นน้ำทะเลและเดินเล่นตามชายหาดแต่ไม่อยากไปไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก ถึงแล้วก็ตั้งใจว่าจะนั่งเรือไปเที่ยวเกาะสักสองวันก่อนจะกลับกรุงเทพฯ รีสอร์ทสองห้องนอนสำหรับเธอและชยธรก็ถูกจองแล้วเรียบร้อย เมื่อทานอาหารเที่ยงเสร็จมธุรสลดาก็จัดกระเป๋าเดินทางอย่างรวดเร็วแล้วออกเดินทางโดยมีชยธรเป็นสารถี
“พี่ชิน”
“หืม” ชายหนุ่มหันไปมองคนที่นั่งข้างๆ ตัวเองตามเสียงเรียก ก่อนจะหันมาสนใจท้องถนนต่อ วันนี้มธุรสลดาไม่ยอมไปนั่งด้านหลัง รถของชยธรจึงมีตุ๊กตาหน้ารถประดับ
“พี่ชินว่าน้ำผึ้งควรจะน้อยใจพ่อมั้ยคะ พ่อยังไม่โทรหาน้ำผึ้งเลย ไม่เป็นห่วงบ้างหรือไงไม่รู้” ตอนท้ายประโยคน้ำเสียงของคนพูดชักจะเครือๆ ทำให้เขานึกอะไรขึ้นมาได้
“ท่านโทรนะ แต่โทรเข้าเบอร์ของพี่ พี่ขอโทษที่ลืมบอก ท่านโทรหาเราไม่ติด” เขายื่นมือถือให้เธอดูว่าท่านชิษณุรักษ์โทรศัพท์มาถามถึงเธอเมื่อเช้านี้ แต่ว่าเธอนอนหลับอยู่ท่านจึงบอกเขาว่าอย่าปลุกเลยเพราะว่ายัยหนูน้ำผึ้งของท่านนั้นจะหงุดหงิดอารมณ์เสียทั้งวันหากถูกปลุกจากห้วงนิทรา ไม่ว่าจะเป็นเหตุใด สำคัญแค่ไหนก็ตามที
“จริงสิ น้ำผึ้งลืมเปลี่ยนซิมการ์ดมือถือเป็นเบอร์ที่ใช้ในเมืองไทย พ่อคงไม่รู้” หญิงสาวล้วงมือถือของตัวเองออกมาเปลี่ยนซิมการ์ด “เบอร์ที่น้ำผึ้งใช้ที่นิวยอร์กคุณพ่อไม่รู้ค่ะ เพราะว่าน้ำผึ้งเปลี่ยนบ่อย ท่านรู้แค่เบอร์ที่ใช้ในเมืองไทยเพราะท่านเป็นคนจ่ายค่ารายเดือนให้” หญิงสาวหัวเราะแต่เขาไม่ขันตามเธอ เพราะว่าเกิดความสงสัยในบางอย่างตามวิสัยของความเป็นตำรวจที่ทำคดีมามากมาย ถ้าได้ฟังอะไรผิดหูไปเขาจะจับได้ทันที และต้องไขปริศนาออกมาให้ได้ แม้ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยหรือเรื่องใหญ่โตก็ตามที
“น้ำผึ้งอยู่นิวยอร์กเหรอ”
“ค่ะ ทำไมเหรอคะ”
“พ่อน้ำผึ้ง ท่านบอกว่าน้ำผึ้งอยู่ที่ฮ่องกง” หญิงสาวทำหน้าเหรอหรา
“อ๋อ อย่างนั้นเหรอคะ คือว่าน้ำผึ้งก็มาที่ฮ่องกงบ่อยค่ะ แหล่งชอปปิง” มธุรสลดาหัวเราะแหะๆ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง
“แล้วเมื่อเช้าพ่อคุยอะไรกับพี่ชินบ้างคะ”
ชยธรหันมาสบตาของเธออีกรอบ ก่อนจะคิดว่าทำไมท่านชิษณุรักษ์ถึงให้ข้อมูลของเธอมาไม่เหมือนกับที่เธอบอก มันน่าสงสัยเสียจริง ปริศนานี้ถ้ามันไม่เหนือบ่ากว่าแรงมากนักเขาก็อยากจะไขเล่นๆ ลองดูในยามว่างบ้าง
“พี่ชินคะ”
“อะไรนะ”
“น้ำผึ้งถามว่าพ่อคุยอะไรกับพี่ชินบ้างคะเมื่อเช้านี้”
“ท่านถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง พี่ก็ตอบว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี ท่านก็บอกว่าเดี๋ยวท่านจะโทรหาใหม่เพราะว่าไม่อยากปลุก กลัวใครบางคนแถวนี้วีน” เขาบอก นึกถึงเมื่อเช้าที่เธอบอกเขาว่า พี่ชินไม่ยอมปลุกน้ำผึ้ง เขาอยากรู้จริงๆ ว่าถ้าเขาปลุกเธอจริงๆ เธอจะวีนเขาหรือเปล่า
“พ่อก็พูดเกินไป น้ำผึ้งไม่ได้ร้ายขนาดนั้นเสียหน่อย อุ๊ยตายพี่ชิน เด็กนี่น่ารักจังเลย” มุรสลดากรี๊ดกราดกับรูปเด็กชายฝาแฝดแก้มยุ้ยสองคนในอ้อมกอดของเขาที่เขาตั้งไว้เป็นรูปหน้าจอโทรศัพท์ เป็นรูปลูกของภูมิภัทรและดาริกาเพื่อนสนิทของเขา เด็กสองคนนี้เขาเป็นพ่อทูนหัวให้เพราะว่าเขาเชื่อว่าถ้าเขาไม่ร่วมกระบวนการทำให้พ่อแม่ของเด็กเข้าใจกัน เจ้าเด็กอาจจะเกิดช้าไปหลายปี หรือไม่มีโอกาสได้เกิดก็ได้เพราะว่าพ่อกับแม่ของเด็กน้อยสองคนนี้ไม่รู้ใจตัวเองสักที เมื่อทั้งสองรักและสมหวังกัน เขาก็ถือว่าทั้งสองนั้นติดหนี้บุญคุณเขา และพ่อแม่เด็กต้องตอบแทนด้วยการพาเด็กทั้งสองมาที่สระบุรีบ่อยๆ ให้เขาเล่นด้วย จนทั้งสองคนไล่ให้เขามีลูกไว้หยอกเองหลายครั้งแล้ว
“ลูกชายเพื่อนพี่ น่ารักมั้ย”
“น่ารักดีค่ะ แก้มป่องน่าหยิกจัง”
“หยิกไม่ได้หรอก เจ้าสองตัวนี้มันขี้ฟ้องตั้งแต่เด็ก พูดยังไม่ได้นะแต่ถ้าใครหยิกแก้มหมอจะร้องกรี๊ดๆ ทั้งสองคนเลย พ่อแม่ยังหยิกไม่ได้เลย”
“เหรอคะ ตลกจริงๆ”
“เจ้าสองตัวนี้มีเรื่องตลกอีกเยอะเลยล่ะ ” ชยธรเล่าเรื่องของเด็กชายทั้งสองให้มธุรสลดาฟัง หญิงสาวเองนั้นชอบเด็กเหมือนกันก็อดอยากเห็นหน้าไม่ได้ เธอแอบสังเกตชยธรว่าเวลาเขาเล่าเรื่องของเด็กทั้งสองประกายตาของเขาจะมีความสุข เล่าได้เป็นฉากๆ มีกิริยาผ่อนคลายเป็นตัวของตัวเองเต็มที่ ไม่เหมือนตอนอยู่กับเธอสองคนเขาเหมือนจะปั้นหน้าเคร่งขรึม ทำมาดดุๆ ให้ดูน่ากลัวอย่างไรก็ไม่รู้
และเรื่องที่เขาเล่าก็ตลก ทั้งน่ารักจนเธอลืมว่าจะเปลี่ยนซิมการ์ดเพื่อโทรหาบิดา มัวแต่ฟังเขาจ้องเขาเพลินทั้งที่โทรศัพท์ของเขาและของเธอวางอยู่ที่ตักเธอเอง