ก่อนหน้านี้...
ภายในบ้านไม้เก่าคร่ำครึย่านชุมชนเมือง หรือที่หลายคนเรียกติดปากกันว่าสลัมใจกลางกรุง น้ำสีดำสนิทในคลองที่ไหลผ่านหมู่บ้านส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง แต่ก็คุ้นชินจมูกของผู้อยู่อาศัย
“โอ๊ย! ทำไมมันร้อนอย่างนี้!” เสียงคนเป็นแม่ที่ร้องดังลั่นนั้นทำเอาคนที่กำลังเช็ดพื้นอยู่สะดุ้ง
“หน้าร้อนอะแม่ มันก็ร้อนอย่างนี้แหละ”
“เฮ้อ...อยากจะนอนแอร์เย็น ๆ เหมือนคอนโดฯตึกนั้นเนอะลูก วาสนาไหนเราจะได้ไปนอนอยู่บนนั้นบ้าง”
“หึ วาสนาของเรามันมีด้วยเหรอแม่” รินลณีหัวเราะ เธอกำลังใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดพื้นไม้เก่า ๆ ภายในบ้าน วันนี้เป็นวันหยุดงาน จึงได้มีเวลาเช็ดถูพื้น แม้นว่าอีกไม่นานจะมีฝุ่นจากการก่อสร้างถนนลอยผ่านช่องแสงเข้ามาอยู่ดี
“จริง ๆ วันนี้หนูว่าจะไปทำงานเสริมอ่ะแม่ แต่ว่าพี่จอยบอกคนเต็ม”
“หึ งานแบบนั้นก็อย่าไปทำนักเลยลูก”
“หนูอยากทำจะตายอะแม่ หนูสวย ใคร ๆ ก็บอกว่าหนูหุ่นดี พี่จอยบอกว่าแขกอาจจะให้เงินเยอะ เผลอ ๆ แม่อาจจะได้นอนตากแอร์ด้วยนะแม่”
“เป็นกะหรี่มันไม่ได้ง่ายหรอกนะ มีเงินเร็วก็ไปเร็วเหมือนกัน” รินลณีถอนหายใจออกมาเบา ๆ เมื่อได้ยินคนเป็นแม่เอ่ยพูด ซึ่งแม่ของเธอเคยทำอาชีพนี้มาก่อนก็ย่อมรู้ดี
“หนูไม่เป็นเหมือนแม่สักหน่อย” ว่าพลางหน้าหน้ามุ่ย โรสรินแม่ของเธอดันไปตกหลุมรักแขก จากที่คิดอยากทำงานหาเงินเลี้ยงตัวเอง กลับกลายเป็นหลงละเลิงจับผู้ชาย ลุ่มหลงในความรักชั่วคราวที่ก่อตัวขึ้น พลัดพลาดตั้งท้องขึ้นมาจนได้
“เพราะแม่ไม่อยากให้เป็นเหมือนแม่นี่แหละ ทำงานรับจ้างรายวันไปเถอะลูก ไม่ต้องอยากทำอะไรแบบนั้น ไม่ใช่ว่ามันไม่ดี...แต่ว่าลูกจะคุมตัวเองไม่ได้”
“เฮ้อ...” ผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ มารดาพูดแต่เรื่องนี้ พูดแค่ว่าเดี๋ยวจะคุมตัวเอง คุมกิเลสในใจไม่ได้ “คนเราไม่เหมือนกันสักหน่อย ถ้าหนูขายตัวแม่ก็จะได้สบาย สมัยนี้ยุคมันเปลี่ยนไปแล้ว พี่จอยทำโอนลี่แฟนด้วยนะแม่”
“ริน...”
“ค่ะ” ตอบรับเสียงเศร้า แม้ว่ามารดาจะไม่ได้เอ่ยย้ำ แต่ก็รับรู้ว่าไม่ต้องการให้เธอพูดเรื่องนี้อีก
“อย่าไปทำอะไรแบบนั้นเลยนะลูก แม่ขอ...” เธอพยักหน้ารับ แม้ในใจจะไม่รับปาก นอกจากชีวิตปากกัดตีนถีบแล้วก็ไม่เคยได้ใช้ชีวิตอย่างวัยรุ่น หญิงสาวนั่งขัดพื้นไม้จนเงาวับแต่พอหันไปมองทางด้านหลังก็เห็นฝุ่นลอยมาจับแล้ว
“เมื่อไหร่เขาจะทำถนนเสร็จก็ไม่รู้” บ่นงึมงำคนเดียว บ้านที่ไม่ต่างจากรูหนูนี้ทำให้เธออยากหนีไปให้พ้น ๆ แต่ก็คงไปไหนไม่ได้อยู่ดี ที่ตรงนี้ก็อาศัยที่ดินของรัฐบาล ไม่รู้ว่าจะขับไล่เมื่อไหร่ หนังสือก็ไม่ได้เรียน ทำงานรับจ้างงก ๆ เก็บเบี้ยใต้ถุนร้านไปเรื่อย คงไม่มีทางรวย
ใบหน้าสวยหวานพอจะไปประกวดเป็นดารานางแบบกับเขาบ้าง แต่ก็ไม่เด่นไม่ดัง ไม่ได้มีความสามารถขนาดนั้น รินลณีนึกน้อยใจ คนในวงการบันเทิงก็กีดกันไม่ให้โอกาสเธอได้เฉิดฉายอย่างใจคิด
ทว่าขณะที่กำลังจมอยู่กับความคิดอยู่นั้น
ปัง!
“กรี๊ดด!!” มารดาร้องเสียงดังลั่น เช่นเดียวกับตัวเธอที่สะดุ้งโหยง เมื่ออยู่ ๆ ก็มีเสียงดังอะไรบางอย่างดังขึ้น
“เกิดอะไรขึ้นอ่ะแม่!!”
“เสี่ยพุฒแน่เลย หนูไปซ่อนตัวหลังบ้านก่อนนะ” มารดารูปร่างผอมแห้งลุกขึ้นยืน รีบเดินมาหาลูกสาวที่ตื่นตระหนกอยู่
“เสี่ยพุฒเป็นใครอ่ะแม่” เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น บ้านไม้เก่าซอมซ่อนี้เหมือนกับมีคนกำลังทุบประตูอยู่ข้างนอก ทำลายที่ซุกหัวนอนของสองแม่ลูกคู่นี้
“คือแม่...”
“แม่ไปกู้หนี้นอกระบบมาเหรอ” รินลณีไม่รอให้คนเป็นแม่ตอบ รีบชิงพูดขึ้นก่อน
“เอ่อ...”
ปัง! ปัง! ปัง!
“แม่ ฮึก...บอกหนูสิว่าแม่ไม่ได้ไปกู้หนี้นอกระบบมา” เธอน้ำตาคลอ สลัมแถวนี้ทุกคนต่างเป็นหนี้นอกระบบกันทั้งสิ้น บางคนโดนทำร้ายทั้งร่างกายทั้งข้าวของ ไม่คิดว่าวันนี้จะถึงคิวของเธอกับแม่ ทว่ามารดายังไม่ทันตอบบานประตูไม้เก่าก็พังลงมาต่อหน้าต่อตาสองแม่ลูก
“กรี๊ดดด!!”
“อีโรส!! ไม่หนี ไม่มี ไม่จ่ายเลยนะมึง!!” ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่สองคนพังประตูเข้ามาพร้อมกับตะคอกเสียงดังลั่นจนสองแม่ลูกภายในบ้านสะดุ้ง รินลณีรีบขยับเข้ามาขวางหน้าคนเป็นแม่ไว้
“อย่ายุ่งกับแม่ฉัน!!” เธอตะคอกเสียงดังลั่น เชิดหน้าขึ้นก่อนจะชะงักไปเมื่ออีกฝ่ายเลื่อนสายตามองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า
“เฮ้ย ลูกสาวสวยนี่หว่า”
“แก...อย่าทำอะไรลูกฉัน!!” โรสรินพยายามขยับออกจากกำบังที่ลูกสาวพยายามปกป้อง คนเป็นแม่แก่แล้ว ไม่ได้มีแรงปกป้องลูกเหมือนก่อน
“โธ่ ผมไม่ทำอะไรหรอกน่า สวย ๆ แบบนี้เก็บไว้ดีกว่า ไว้ผมไปบอกเสี่ยว่าเจ๊มีลูกสาวสวยแบบนี้ รับรองได้ลดทั้งต้นทั้งดอกแน่ ๆ”
“อย่านะ แกอย่าคิดทำอะไรลูกฉัน!” ออกแรงขยับมาบังหน้าลูกสาวแทน กัดฟันกรอดด้วยความโมโห
“หึ ไม่ให้ทำก็เอาเงินมา!! สองหมื่นนะเว้ย!!”
“สะสองหมื่นเหรอ” ว่าเสียงสั่นเครือ ตอนไปยืมจำได้ว่ายืมแค่หมื่นเดียวแต่ทำไมถึงเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวแบบนี้
“แม่ยืมเงินตั้งสองหมื่นเลยเหรอ เอาไปทำไรอ่ะ” เธอหันมาถามคนเป็นแม่ มึนงงว่าเงินขนาดนั้นเอาไปทำอะไร
“แม่ยืมหมื่นเดียวเองนะลูก”
“หึ ดอกไงจ๊ะคนสวย” ชายฉกรรจ์คนหนึ่งรีบเอ่ยแทรก ทำเอารินลณีตกใจ
ดอกอะไรแพงขนาดนี้
“ไม่ต้องตกใจ หามาคืนในสองวันนี้ ถ้าไม่ได้ก็...” ไล่สายตามองรินลณีตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะเดินจากไป
“อย่าคิดทำอะไรลูกฉันนะ!!” ตะโกนเสียงไล่หลังชายตัวใหญ่สองคนนั้นไป ดูเหมือนว่าสองคนนั้นจะไม่ได้สนใจเสียงของเธอเสียด้วยซ้ำ
“แม่...แม่เอาเงินไปทำอะไรเหรอ” โรสรินมองใบหน้าของลูกสาวด้วยสายตาพร่าเลือน ก่อนจะยอมปริปากพูด
“ก็...จ่ายค่าน้ำค่าไฟที่ค้าง แล้วก็...กระเป๋าให้หนูวันเกิด”
“กระเป๋า? ใบนั้นน่ะเหรอแม่” น้ำตาร่วงเผาะออกมา วันที่แม่ยื่นกระเป๋าสะพายใบสวยให้ เธอดีใจมากจำได้ไม่เคยลืม แต่ไม่คิดว่าแม่จะไปเป็นหนี้เขาเพื่อเธอ
“ก็...แม่เห็นกระเป๋าหนูขาด แม่ก็อยากจะซื้อให้แต่ไม่มีเงิน แล้วก็ค่าน้ำค่าไฟก็สะสมมาหลายพัน เขาจะตัดไฟแล้วลูก”
“ฮึก แม่น่าจะบอกหนูสักหน่อย ถ้าแม่บอกหนู หนูก็จะได้ทำงานหาเงินเพิ่มอีก ทำไมไม่บอกหนู ไหนบอกเรามีกันสองคนไง” เธอว่าด้วยความน้อยใจ แต่ก็โอบกอดคนเป็นแม่ไปด้วย เพราะแม่ไม่เคยหาปัญหามาให้ ต่างคนต่างทำงานรับจ้างรายวัน...เป็นครั้งแรกที่แม่สร้างปัญหา และปัญหานั้นก็มีต้นเหตุมาจากตัวเธอเอง
ตกเย็น...คนเป็นแม่ก็นอนหลับบนฟูกเก่า ๆ เสียงลมที่พัดโกรกเข้ามาในตัวบ้านทำให้รินลณีนอนไม่ค่อยจะหลับ ไหนจะปัญหาเรื่องหนี้นั้นอีก ภายในสองวันจะหาเงินสองหมื่นมาจากไหน ยิ่งคิดก็ยิ่งนอนไม่หลับ หญิงสาวผุดลุกขึ้นนั่ง มองผ้าถุงที่เอาไปปิดทางเข้าบ้านแทนประตูที่พังลง แสงไฟสลัว ๆ จากทางด้านนอกทำให้มองเห็นบ้างไม่เห็นบ้าง
“เฮ้อ...” ผ่อนลมหายใจออกมาหนัก ๆ อย่างคนน้อยอกน้อยใจโชคชะตา ญาติพี่น้องก็ไม่มีให้หยิบยืมขอความช่วยเหลือ แม่ก็ทำงานได้ไม่เต็มที่เพราะเจ็บป่วยออด ๆ แอด ๆ ขณะที่เธอเองก็ไม่ใช่คนหัวสมองดีมากพอที่จะเรียนสอบชิงทุนได้ หมั่นขยันตามงานส่งจนจบม.6 ก็บุญมากโข
รินลณีลุกขึ้นโดยไม่ลืมห่มผ้าห่มให้กับแม่ ไม่อยากทิ้งแม่ไว้คนเดียวในบ้านที่ไม่มีประตูปิด แต่ก็เลือกไม่ได้มากนัก เธอต้องการไปหาเงิน อย่างน้อยการหยิบยืมรุ่นพี่ที่รู้จักก็ยังดี...
บาร์เหล้าในซอยย่านท่องเที่ยวเต็มไปด้วยนักท่องราตรีทั้งไทยและเทศ รินลณีในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนขายาวเดินเข้ามาข้างใน สอดส่องสายตามองหาพี่สาวที่สนิทด้วย จอยเป็นพี่สาวในสลัมเดียวกัน แต่อีกฝ่ายได้ดิบได้ดีเพราะทำงานขายตัวกลางคืน
“อ้าว! ริน!!” เสียงเรียกชื่อทำให้เจ้าของร่างบางสะดุ้ง รีบหันไปมองก็เห็นรุ่นพี่สาวเดินเข้ามาหาอย่างโซซัดโซเซ จอยฉีกยิ้มให้เธอ
“เมาเหรอพี่จอย”
“จุ๊ ๆ ไม่ได้เมาหรอกจ้ะ เขาเรียกไม่เหมือนเดิม” ว่าพร้อมกับหัวเราะ แปลกใจที่เห็นสาวรุ่นน้องเวลานี้ เพราะมันดึกมากแล้ว “ว่าแต่มีอะไรหรือเปล่า ถ้ามายืมเงินบอกได้คำเดียวว่า...ไม่มีจ้า”
“อ้าว...” อุทานเสียงแผ่วเบา ราวกับเข้ามานั่งในใจของเธออย่างไงอย่างนั้น ทำไมถึงรู้ว่าจะมายืมเงิน คงเคยชินเพราะที่ผ่านมาเธอก็มายืมสาวรุ่นพี่คนนี้บ่อยครั้ง
“หึ...วันนี้ก็เหนื่อยมาก ***แทบไม่มีน้ำไหลทำงานเลย แห้งเหือด...เจ็บไปหมดรับแขกได้คนเดียว แถมยังโดนกดค่าตัวเองอีก” จอยว่าหน้าเศร้า ทำเอาคนที่ตั้งใจจะมายืมเงินนั้นถึงกับหน้าหดเหลือสองนิ้ว
“เอ่อ งั้น...พรุ่งนี้มีงานให้หนูทำไหมอะ”
“งานเสิร์ฟน่ะเหรอ ไม่มีเลยช่วงนี้ เสี่ยเจ๋งรับคนเข้ามาทำประจำแล้วอะ” ได้ยินอย่างนั้นก็หน้าถอดสีด้วยความเป็นกังวล “ว่าแต่...ทำไมเหรอ ทำไมต้องการเงิน”
“ก็แม่นะสิไปกู้นอกระบบมา ละดอกเบี้ยสองเท่าเลยอะ”
“ห๊า...บะบ้าไปแล้วดอกไรแพงขนาดนั้น”
“ไม่รู้สิ น่าจะเป็นแก๊งมาเฟีย...สองหมื่นที่จะต้องจ่ายให้ทันภายในสองวัน” เธอว่าพร้อมกับพ่นลมหายใจออกมาเบา ๆ พวกนี้หากินกับคนจนเสมอ
“สองหมื่นเลยเหรอ” จอยอ้าปากเหวอ เงินจำนวนนี้หากเป็นคนรวยได้ยินคงรู้สึกเฉย ๆ แต่คนจนที่หาเช้ากินค่ำมันมากมายมหาศาลเลยก็ว่าได้
“ค่ะ...ฉันก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไง เงินเก็บก็ไม่มี ของที่จะเอาไปขายก็ไม่มี เอากระเป๋าไปขายก็คงไม่ถึง” ว่าเสียงอ่อน ถอนหายใจออกมารอบแล้วรอบเล่า “ฉันก็เลยว่า...ถ้าขายตัวจะได้หรือเปล่าคะ”
“หือ...ขายตัวเหรอ? แม่อนุญาตละเหรอ”
“ไม่หรอกค่ะ แต่พี่ก็รู้ว่าฉันก็ไม่มีทางไปแล้ว” จอยมองหน้าน้องสาวคนสนิทนิ่ง ผู้หญิงในสลัมที่อยู่ด้วยกัน ร้อยทั้งร้อยก็ขายตัวกันทั้งนั้น ไม่แปลกที่รินลณีจะมีความคิดอย่างนี้ เพราะคนรอบกายก็ทำอาชีพนี้เป็นปกติ
“ฉันเหนื่อยค่ะ...ทุก ๆ อย่าง”
รินลณีว่าพลางร้องไห้ออกมาไม่หยุด มันไม่ง่ายเลยสำหรับเธอ ใช้ชีวิตปากกัดตีนถีบมาตั้งแต่เกิด อดบ้างกินบ้าง ทำงานใช้แรงงานมาตั้งแต่เด็ก
“แต่รู้ไหมว่ามันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น หาเงินสองหมื่นให้ได้ภายในสองวันก็ต้องรับแขกอย่างน้อยวันละห้าคน น้ำละสองพัน คิดว่าไหวไหมล่ะ”
“วะวันละห้าคนเลยเหรอคะ” ถามเสียงสั่น หลุบตาต่ำมองพื้นอย่างคนกำลังใช้ความคิด ทว่า
“แต่ถ้าจะเอาแบบเสี่ยงหน่อย รับแค่คนเดียว แต่เสี่ยงที่จะโดนจับได้” จอยว่าเสียงเนิบนาบ ไม่อยากแนะนำวิธีนี้สักเท่าไหร่ แต่ก็คิดว่าเป็นทางออกที่ดี
“อะไรเหรอคะ”
“หึ มีคนไม่กี่คนที่เข้ามาใช้บริการแล้วจะไม่กล้าแจ้งความ พวกดารา ไม่ก็พวกนักการเมือง” รินลณีไม่เข้าใจว่าพี่สาวคนสนิทต้องการบอกอะไร แต่สีหน้าจริงจังแบบนี้ก็ทำให้เธอเป็นกังวลตามไปด้วย...