บทที่3.3

1343 คำ
ไม่พบเจอแม้กระทั่งแสงแดดหรือลมหนาว คีธหันกลับมามองฉันที่ยังอยู่ในอาการหวาดกลัวอีกครั้ง หยุดนิ่งพิจารณาประมาณครึ่งนาทีจึงเคลื่อนสายตากลับไปดังเดิม ไม่นานเจ้าตัวก็วิ่งหายเข้าไปในป่าทึบทิศตะวันตก ซึ่งเป็นเขตที่ทุกคนในหมู่บ้านรู้กันดีว่าไม่ควรเข้าไปเพ่นพ่านหากไม่มีวาระจำเป็น เนื่องจากเป็นแหล่งอาศัยของสัตว์ป่าดุร้าย หากไม่ชำนาญเส้นทางหรือเข้าใจการดำรงชีวิตของพวกมันอย่างแท้จริง มีหวังโดนลากไปกินแน่ แต่ฉันไม่จำเป็นต้องแคร์ในส่วนนั้น เพราะคีธได้รับอิสรภาพคืนมาแล้ว ซ้ำตัวเขายังดูแข็งแรงเกินมนุษย์มนาอีกด้วย จะตายหรือมีชะตากรรมแบบไหน นั่นมันก็เป็นสิ่งที่เขาเลือกด้วยตัวเอง อาจฟังดูใจร้ายที่คิดแบบนี้ เพราะเขายังเป็นเพียงเด็กที่ถูกลักพาตัวมาทรมานจนสภาพจิตใจบิดเบี้ยว แต่จะให้เห็นอกเห็นใจฆาตกรที่ลงมือฆ่าคนอื่นอย่างเลือดเย็นถึงสามศพในระยะเวลาเพียงไม่กี่นาที มันก็... “เฮ้อ...” คล้อยหลังคีธ ลมหายใจเฮือกหนึ่งถูกระบายออกมาราวกับอัดอั้นมานาน ต่อให้ความกลัวปริมาณมหาศาลยังท่วมท้นเต็มอก แต่เพราะไม่มีคีธแล้ว ฉันจึงพอมีความกล้าที่จะกวาดสายตาไปรอบบ้าน พยายามกู้สติกลับมาให้ไวที่สุดแม้น้ำตายังไม่หยุดไหล พยายามเข้มแข็งแม้ร่างกายยังสั่นเทิ้ม... เพราะไม่รู้ว่าพ่อจะกลับมาเมื่อไหร่ และไม่รู้ว่าวันนี้จะซวยซ้ำซวยซ้อน...มีคนในหมู่บ้านมาเยี่ยมเยียนเพราะได้ข่าวจากคุณคริสและคุณแอลว่าฉันป่วยหรือเปล่า ดังนั้นฉันจึงไม่อาจเอ้อระเหยลอยชายปล่อยเวลาผ่านไปอย่างเปล่าประโยชน์ได้ อย่างน้อยต้องรีบจัดการกับศพของโจรทั้งสามคน ทำความสะอาดบ้านให้เรียบร้อย และ... ฉันพยุงสองขาสั่นพร่าขึ้นจากพื้น ยกมือปาดหยาดน้ำใสออกจากกรอบตาและผิวแก้ม จากนั้นจึงพินิจพิเคราะห์ซากแผ่นไม้ของบานประตูที่ไม่ว่าจะคิดอีกกี่ตลบ ก็คงไม่สามารถซ่อมแซมให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ เว้นเสียแต่จะเปลี่ยนใหม่ ซึ่งก็ต้องใช้ทักษะและฝีมือพอสมควร ว่าแล้วก็นึกอยากกรีดร้องให้สาสมกับปัญหาที่ถาโถมเข้าใส่ แต่สุดท้ายจำต้องปล่อยให้มันเป็นเพียงความอยากต่อไป ไม่ได้โวยวายหรือระบายผ่านเสียงร้อง... ตั้งสติให้มั่น ค่อย ๆ ย่างเท้าอย่างระมัดระวังไปยังฝั่งซ้ายมือ ซึ่งเป็นทิศทางเดียวกับจุดเกิดเหตุของศพรายแรก ฉันเห็นศพโจรคนแรกและโจรคนสุดท้าย แต่คนที่สอง...เพราะมัวแต่สติแตกและหาทางหนี จึงไม่รู้ว่ามันคนนั้นมีสภาพแตกต่างไปจากคนอื่นยังไง ดังนั้นจึงสูดลมหายใจเข้าปอด ก้มหน้ามองรอยเลือดที่เปรอะเลอะเต็มพื้นบ้าน กระทั่งพบจุดสิ้นสุดตรงหัวบันไดทางลงชั้นใต้ดิน... “...” และฉันก็ต้องชะงักเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ของวัน เมื่อพบภาพสยดสยองของศพรายที่สอง...ซึ่งดวงตาทั้งสองข้างเหลือกถลนออกมาจากเบ้ากว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ แผ่นหลังแนบติดผนังเพราะถูกยึดไว้ด้วยขวานเล่มหนึ่งซึ่งจามลงกลางหน้าผาก ความคมของขวานทำหน้าที่ยึดศีรษะไว้กับผนัง ส่งผลให้ร่างของผู้ตายอยู่ในท่ากึ่งยืน และที่น่าตกใจกว่านั้นคือ... บริเวณท้องมีรอยคว้านเป็นรูโบ๋ ปรากฏเครื่องในและอวัยวะต่าง ๆ ที่ยังดูสดใหม่ บางส่วนทะลักออกมาห้อยต่องแต่ง ฉันถึงกับยกมืออุดปากเมื่ออาการพะอืดพะอมปะทุขึ้นกลางอก วิ่งออกไปตั้งสตินอกตัวบ้านโดยไม่กลัวว่าจะต้องเปียกปอนจนหนาวสั่น ไม่สนแล้วว่าตอนนี้สภาพร่างกายตัวเองเป็นยังไง เหนื่อยล้าเพราะพิษไข้มากแค่ไหน “อึก...” ท้ายที่สุดเมื่อทรุดตัวลงบริเวณหน้าบ้าน คลื่นเ**ยนก็ตีตื้นมากระจุกตรงลำคอ ฉันที่ไม่อาจต้านทานปฏิกิริยาของร่างกายได้จึงโก่งคออาเจียนจนหมดไส้หมดพุง เรี่ยวแรงเหือดหายถึงขั้นหน้าแทบจุ่มกองของเสียที่เพิ่งปล่อยไปสด ๆ ร้อน ๆ เลยทีเดียว กึก... ขณะนั่งตากฝนคล้ายคนสติหลุดอยู่นั้น เสียงการเคลื่อนไหวของบางอย่างฉุดให้ฉันเงยหน้าขึ้น กระทั่งพบเข้ากับร่างสูงของคีธ...ที่ควรจะจากไป ไม่กลับมาเจอหน้ากันอีกตลอดกาล เขาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า ก้มมองฉันที่นั่งฟุบอยู่บนพื้นด้วยสายตาน่ากลัวเช่นเดิม เพียงแต่คราวนี้บุคคลอันตรายไม่ได้มาเพียงลำพัง หากแต่แบกกวางเพศเมียมาด้วย ตุ้บ ช่วงเวลาที่ฉันกำลังสับสนว่าตัวเองฝันไปหรือเปล่า กวางตัวเมียที่ถูกเชือดเข้ากลางลำคอจนไม่หลงเหลือลมหายใจก็ถูกโยนลงตรงหน้า ตามด้วยเสียงแหบทุ้ม “ชอบเนื้อกวางไม่ใช่เหรอ กินซะ” ชอบเหรอ ฉันบอกตอนไหนว่าชอบ... หรือเพราะเมื่อเช้าเขาเห็นฉันทำเนื้อกวางปรุงสุกมาให้ ซ้ำยังบอกว่ามีส่วนของตัวเองด้วยเช่นกัน จึงคิดว่าฉันอาจชื่นชอบ...ก็เลยหามาให้สินะ ระยะเวลาแค่ไม่กี่นาทีที่คีธผลุบหายเข้าไปในป่าทิศตะวันตก เขาสามารถล่ากวางแล้วแบกมันกลับมาที่บ้านได้อย่างรวดเร็วจนน่าอัศจรรย์ ทำได้ยังไง... แม้แต่พ่อที่เป็นนายพราน คุณคริส คุณแอล หรือคนอื่น ๆ ที่ชำนาญในสายงานนี้ยังต้องใช้เวลาขั้นต่ำสองชั่วโมงเลย เขาเป็นใครกันแน่ ไม่สิ หรือต้องถามว่า 'เป็นตัวอะไร' ดีล่ะ? “นาย...กลับมาทำไม” อาจเพราะคีธไม่ได้มีท่าทีคุกคามหรือแสดงออกในเชิงมาดร้าย ต่อให้ความกลัวในยามเจอหน้าเขายังมีปริมาณมากอยู่ แต่เพราะความสงสัยที่มากพอกัน หรืออาจจะมากยิ่งกว่า ฉันจึงสะกดอาการสั่นผวาเอาไว้ ก่อนปริปากเอ่ยถามอย่างระแวดระวัง แต่ก็เพิ่งรู้ว่าในครั้งที่คำถามนั้นเล็ดลอดออกไป น้ำเสียงที่ฉันใช้นอกจากจะสั่นพร่าจนฟังยากแล้ว ยังห่างเหินอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนด้วย “...” คีธเหมือนไม่ได้ตั้งใจฟังคำถามนั้นด้วยซ้ำ เพียงก้มหน้าจับจ้องฉันที่แทบไม่เหลือเรี่ยวแรงให้เคลื่อนไหว “นายได้อิสระแล้วนี่ ทำไมไม่หนีไปล่ะ...” ฉันยังคงรวบรวมความกล้าเพื่อถามต่อ “ถ้าพ่อฉันกลับมาเจอนาย นายอาจจะ...” “ถ้ามันกลับมา ฉันจะฆ่ามัน” ไม่รอให้กล่าวจนจบประโยค คีธซึ่งก่อนหน้านี้เพิกเฉยคำถามกันถึงสองครั้งสองคราก็ปริปากพูดในสิ่งที่ทำให้คนฟังอย่างฉันผงะรุนแรง ไม่นานร่างสูงที่แทบไม่สะท้านต่อความเหน็บหนาวก็ย่อตัวลงนั่ง นัยน์ตาดุดันฉายแววอำมหิตชนิดเดียวกันกับตอนลงมือฆ่าโจรพวกนั้น เพียงแต่มันมีปริมาณที่มากยิ่งกว่า มากเสียจน...น้ำตาที่แห้งเหือดไปได้ไม่นาน พากันไหลอาบแก้มอีกครั้ง “และถ้าเธอห้าม” “...” “ฉันจะฆ่าเธอด้วย” เพราะเห็นด้วยตามาแล้ว ฉันจึงยิ่งพรั่นพรึงกับคำขู่นั้น และรู้ดีว่าเขาทำจริงตามที่ประกาศิตแน่ ฉันกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ฉับพลันภาพที่เขาลงมือฆ่าคนตายปรากฏชัดขึ้นมา ทั้งเสียงการฉีกขาดของผิวเนื้อ เสียงแตกหักของกระดูก สายน้ำสีแดงฉานที่สาดกระเซ็น รวมถึงความชำนาญในการก่อเหตุของเขา...ที่หากว่าได้เผชิญหน้ากันขึ้นมาจริง ๆ พ่อที่เก่งกาจก็คงพ่ายแพ้อย่างหมดรูป ที่ผ่านมา เพราะคีธถูกล่ามและโดนควบคุมด้วยกระแสไฟฟ้า พ่อจึงทำอะไรตามอำเภอใจได้ แต่ตอนนี้เขาเป็นอิสระแล้ว
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม