พอโบกมือส่งหลานชายไปกับเลขาหนุ่มทั้งสองแล้ว ธเนศก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปตามทิศทางที่วิษณุบอก
‘ไม่โกรธ ไม่โมโห ไม่รู้สึกอะไร’ ท่านประธานหนุ่มท่องในใจถี่ยิบ
เขากวาดสายตาไปรอบๆ บริเวณซุ้มไอศกรีมใหญ่ที่อยู่ข้างรูปปั้นหมียักษ์แต่กลับไม่เห็นร่องรอยคนที่ตามหา ธเนศหัวเสียเล็กน้อย แต่พอประเมินจากที่พรรษาพาลูกสาวมา เธอย่อมไม่พาลูกสาวไปเล่นเครื่องเล่นที่ผาดโผน เด็กผู้หญิงน่าจะไปนั่งม้าหมุนหรือไม่ก็ชิงช้าสวรรค์
ธเนศตรงไปยังม้าหมุนเป็นที่แรก และก็ไม่ผิดหวัง พรรษากำลังยืนประคองลูกสาวที่กำลังนั่งอยู่บนรูปปั้นม้า เธอกำลังหันไปยิ้มกับผู้ชายที่ประคองเด็กหญิงอีกคนอยู่ข้างๆ
‘ภาคิณ พาเด็กที่ไหนมาอีกล่ะนั่น? หมอนี่ยังโสดไม่ใช่เหรอ?’
ธเนศมัวแต่หงุดหงิดกับคนที่อยู่บนม้าหมุนจนเกือบจะไปชนผู้ชายข้างหน้า พอเขาเห็นเสื้อก็ชะงักแล้วรีบถอยหลังหลบสองสามครอบครัวที่กำลังพูดคุยกัน
แทนพงษ์ยืนกอดอกมองดูหลานสาวด้วยความสุขใจ รอยยิ้มกว้างและการโบกไม้โบกมืออย่างร่าเริงของแสนรักราวกับเป็นพลังวิเศษให้เขาลืมความทุกข์ใจไปได้
“ระวังนะแสนรัก เกาะคอม้าไว้แน่นๆ ลูก”
พรรษามองลงมายังพี่ชาย เธอชี้ให้ลูกสาวมองดูแทนพงษ์
“นั่นๆ พ่อแทนบอกให้หนูกอดคอม้าแน่นๆ นะคะ”
“ค่ะ แสนยักได้ยินแย้ว”เด็กหญิงกอดคอม้าแน่นจนแก้มย้วยแนบติด
ภาคิณเห็นแล้วก็หัวเราะ “พีชบอกลูกแบบนั้น ระวังแก้มลูกมีแต่เหงื่อล่ะ ดูสิ แสนรักกอดซะแน่นเชียว”
พรรษามองดูท่าทางของลูกสาวก็อดจะหัวเราะไม่ได้ เด็กหญิงวัยเพียงสองขวบครึ่งที่ท่อนแขนอวบอ้วน กอดคอม้าไม่รอบ ทำตาปริบๆ
“แม่พีชจับหนูไว้อยู่นะคะ ไม่ต้องกลัว”
“อุ้มไปนั่งในเป็ดน้อยดีกว่าไหม? เดี๋ยวพี่อุ้มให้”
หลานสาวของภาคิณอายุแปดขวบแล้วจึงกอดคอม้าได้สบายๆ ภาคิณเดินเข้ามาเกลี้ยกล่อมแสนรัก เด็กน้อยจึงยอมให้ลุงคิณอุ้มไปนั่งในเป็ด โดยมีพรรษาเดินตาม
ธเนศไม่ได้ยินคำพูดของคนบนม้าหมุน แต่เห็นท่าทางที่พวกเขาทำแล้ว ท่านประธานหนุ่มก็หงุดหงิด เขาบอกตัวเองว่าไม่ต้องการให้พรรษาสนิทสนมกับภาคิณเพราะกลัวว่าคู่แข่งอย่างบริษัทเอ็มวีพีจะคิดมาล้วงความลับผ่านคู่สัญญาอย่างพรรษา
ถึงตอนที่พรรษาอุ้มลูกสาวลงมาจากม้าหมุนโดยมีภาคิณจูงมือหลานสาวตามมาด้วย ธเนศก็รีบหลบออกไปหาหลานชายจึงไม่ได้ฟังทั้งสองฝ่ายลากัน
“แสนยัก เหนื่อยค่ะ”เด็กหญิงทำท่าจับหัวเข่ากะปลกกะเปลี้ย
แทนพงษ์หัวเราะด้วยความเอ็นดู “นี่ก็บ่ายแล้ว กลับกันเถอะ เดี๋ยวได้หลับกลางอากาศแน่”
คนเป็นลุงอุ้มหลานสาวกลับไปยังรถ พอได้ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศฉ่ำ เด็กหญิงแสนรักก็ผล็อยหลับไป คราวนี้คาร์ชีทของเธอถูกย้ายไปไว้ที่เบาะหลังเพื่อจะได้หลบแดดที่จะเล็ดลอดเข้ามาทางหน้าต่างรถ
“นั่นไง? แค่สตาร์ทรถก็หลับแล้ว”
ธเนศเจอฤทธิ์หลานชายสองคนเข้าไป เขาก็บ่นกับวิษณุ
“ฉันปวดขาแล้วนะ เมื่อไหร่เด็กสองคนจะหมดแบตซะที?”
“ยากครับบอส เด็กผู้ชายก็แบบนี้ บ้าพลัง”
“แกพูดเหมือนเคยมีลูกงั้นล่ะ”
“ผมเคยช่วยพี่ชายเลี้ยงหลานมาบ้างครับ หลานชายผมก็แบบนี้เลย ทั้งเฮี้ยวทั้งซน กว่าจะหมดฤทธิ์ก็คงอีกสักพัก”
“ฉันจะไม่ไหวแล้วนะ ทั้งร้อนทั้งเหนื่อย หาทางเกลี้ยกล่อมให้กลับเถอะ”
วิษณุหลอกล่อให้เด็กชายสองคนขึ้นไปบนเรือไวกิ้ง เด็กน้อยทั้งหัวเราะทั้งกรี๊ดกันจนหมดเสียง
“อาเนศครับ ผมขอกินไอติมอีกคนละถ้วยได้ไหมครับ?”
“ยังกินไหวกันอีกเหรอครับ?” คนเป็นอาตะลึง ทุกครั้งที่ลงจากเครื่องเล่น เด็กชายทั้งสองก็ต้องดื่มน้ำ กินขนม โดยเฉพาะไอติมหมดไปคนละสามโคนแล้ว
“ครับ แต่คราวนี้พืชขอกินแบบถ้วยนะครับ กินแล้วเราก็กลับบ้านกัน”
แค่เพียงได้ยินคำว่า ‘กลับบ้าน’ ธเนศแทบอยากจะซื้อให้หลานชายกินสักคนละถัง เขารู้แล้วว่าทำไมพี่ชายถึงไม่ยอมพาน้องพืชกับทิกเกอร์มาสวนสนุก? เพราะมันไม่สนุกสำหรับคนที่ต้องวิ่งตามเด็กๆ เลยสักนิด
“ได้ครับ ได้เลย กินกันคนละถ้วยใหญ่ๆ เลยนะครับ” ธเนศหันไปโบกมือไล่วิษณุให้รีบพาน้องพืชกับทิกเกอร์ไปเลือกไอติมในร้าน
กว่าจะได้ออกจากสวนสนุกก็ราวบ่ายสี่โมงเย็น ธเนศหมดแรงยิ่งกว่าหลานๆ วิษณุมองสภาพบอสของตนกับเด็กชายทั้งสองแล้วก็อมยิ้ม ตัวเขาเองก็เหนื่อยสะบักสะบอม
“พี่ทิน ช่วยขับอย่างปลอดภัยด้วยนะครับ ผมคงดูทางช่วยไม่ไหวแล้ว ขอสักงีบเถอะ วิ่งไล่จับคุณๆ เหนื่อยมาก”
“ไม่เป็นไรนิว พี่นอนกลางวันมาเต็มอิ่มแล้ว สบายมาก หลับได้เลย”
ทั้งรถไม่มีแม้แต่เสียงพูดคุย คนทั้งห้าที่หมดพลังไปกับสวนสนุกนอนกรนเบาๆ แข่งกันจนคนขับรถต้องหัวเราะออกมาเบาๆ
ธเนศเปิดน้ำอุ่นจนเต็มอ่างแล้วลงไปนอนแช่จนรู้สึกหายปวดเมื่อย เขาสวมเสื้อยืดกางเกงขาสั้นนั่งรับประทานอาหารจากภัตตาคารจีนที่สั่งให้มาส่งถึงคอนโด
ชายหนุ่มที่กินอิ่ม ล้างจานและแปรงฟันเสร็จก็มานอนดูภาพยนตร์ที่หมายใจเอาไว้รอให้พรรษามาหา โดยไม่รู้ว่าตนเองผล็อยหลับไปตั้งแต่เริ่มดูหนังได้ไม่ถึงสิบห้านาที
พรรษาเดินเข้ามาในคอนโดได้ยินเสียงเปิดโทรทัศน์เสียงดังก็แปลกใจที่เขาไม่นั่งเก๊กรอเธอเหมือนวันก่อน พอเดินมาถึงโซฟาตัวใหญ่ ชายหนุ่มที่ปรับโซฟาเป็นแบบนอนก็หลับสนิทมีเพียงเสียงลมหายใจเบาๆ
‘อ้าว! หลับไปซะแล้ว ดีเหมือนกันวันนี้เหนื่อยจะแย่’
พรรษากลับจากสวนสนุกก็ไปเก็บกวาดห้องนอน ทุกครั้งที่มาพักในกรุงเทพฯ ก็มาแบบรีบร้อน เธอกับแทนพงษ์จึงอาศัยปูที่นอนหน้าโทรทัศน์ที่ห้องรับแขก ครั้งนี้รู้ว่าตนเองต้องมาทุกสุดสัปดาห์ แทนพงษ์จึงใช้ให้เธอเก็บกวาดห้องนอนชั้นหนึ่งและเก็บเครื่องนอนที่ไม่ค่อยได้ใช้ออกมาซัก
พอแช่น้ำอุ่นจนสบายตัวแล้วออกมาอีกครั้ง ธเนศก็ยังคงหลับอยู่ พรรษาเดินเข้ามาดูหน้าเขาใกล้ๆ เธอหรี่เสียงโทรทัศน์ลงครึ่งหนึ่งแต่ไม่ยอมปิดเพราะกลัวว่าเขาจะรู้ตัวตื่น
เธอนั่งมองดูหน้าเขาใกล้ๆ มองแล้วก็ถอนใจ
‘ก็เพราะหน้าตาแบบนี้นี่ล่ะ ถึงตัดใจไม่ได้สักที’
อกของเขากระเพื่อมเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เธอจึงย่ามใจชะโงกหน้าไปจูบแก้มเขาทีหนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นไปหยิบผ้าห่มผืนบางมาห่มให้ ปิดโทรทัศน์และเปิดเพียงโคมไฟตัวเดียวทิ้งไว้ ส่วนตนเองเดินเข้าไปนอนบนเตียงใหญ่โดยไม่ปิดประตูห้อง
พอตีห้าครึ่ง หญิงสาวก็ตื่นขึ้นอาบน้ำแต่งตัว เก็บที่นอน ดูความเรียบร้อยของห้องน้ำ และเตรียมอาหารเช้าแบบที่เขารับประทานเมื่อวาน
เสียงทอดไข่และกลิ่นหอมของกาแฟทำให้ธเนศงัวเงียตื่นขึ้นมา เมื่อคืนเขารู้สึกว่าตนเองหลับได้สนิทและยาวนานเป็นพิเศษ พอเห็นแผ่นหลังบางของหญิงสาว เขาก็พลันนึกขึ้นได้ เขามองดูนาฬิกาแขวนผนังที่มีพรายน้ำแล้วหน้าเสีย เมื่อคืนเขาเสียผลประโยชน์ชัดๆ
“พีช คุณทำไมไม่ปลุกผม?”
หญิงสาวหันมายิ้มพร้อมกับยกจานกลมใบใหญ่สองใบที่มีขนมปังปิ้งและไข่ดาวอย่างละสองชิ้น มาวางที่โต๊ะอาหาร
“คุณหลับสนิทขนาดนั้น โทรทัศน์เปิดเสียงดังสนั่นยังไม่รู้สึกเลยค่ะ ฉันอาบน้ำเสร็จออกมาดูคุณ ท่าทางคุณเหนื่อยขนาดนั้น ใครจะทำใจปลุกได้ล่ะคะ?” เธอยิ้มคล้ายจะเยาะเย้ย
ข้อตกลงของเธอกับเขาก็คือช่วงเวลาหนึ่งทุ่มจนถึงหกโมงเช้าของวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ และตอนนี้ก็ใกล้จะหมดเวลาแล้ว
“กาแฟฉันชงไว้ให้แล้ว คุณจะดื่มเลยไหมคะ? กำลังร้อนๆ เลย จะหกโมงครึ่งแล้ว คุณไม่ชอบทานอาหารเลยเวลาปกตินี่คะ?”
*******************