“ไม่ได้!”
เสียงตวาดของคุณย่าหานดังลั่นบ้านใหญ่เมื่อน้องชายสามเอ่ยบอกเรื่องราวทั้งหมดและยืนยันที่จะเลี้ยงลูกสาว ไม่ให้ส่งลูกสาวกลับบ้านแม่ของหล่อน
สำหรับคนสกุลหานนั้นพวกเขาถือตัวเป็นใหญ่เพราะมีสมาชิกในบ้านเยอะ รวมถึงบ้านเดิมของเหล่าสะใภ้อีก พวกเขาจึงคิดว่าตัวเองมีหน้ามีตาไม่ควรทำอะไรให้เสื่อมเสีย แต่แล้วเรื่องมันก็เกิดขึ้น
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ หล่อนเป็นลูกสาวของผม” น้องชายสามกล่าวด้วยความไม่พอใจ ปกติเขาจะเป็นคนที่ขี้ขลาดตาขาว ไม่กล้าจะปฎิเสธใคร แต่เว้นคนสกุลหานเอาไว้ด้วยความที่เขาแทบจะเป็นแก้วตาดวงใจของบ้านจึงถูกเลี้ยงมาอย่างดี และที่เขาเป็นผู้เป็นคนอยู่ก็เพราะถูกสอนจากมารดา เว้นคนสกุลหานที่เขาไม่ค่อยจะฟังมารดา บ้านก็แยกกันแล้วบ้านใหญ่ก็ไม่ยอมปล่อยพวกเขาไป
“เจ้าสาม! นายลืมไปแล้วเหรอว่านายยังไม่ได้แต่งงานแต่นายกลับมีลูกกลับมา” คุณย่าหานพยายามโน้มน้าวหลานชาย
ในบรรดาหลานชายของนางที่มาจากบ้านสาม คุณย่าหานเอ็นดูหานหรงอี้ที่สุด เพราะเขาเรียนในระดับที่สูงกว่าเหล่าหลานชายในบ้านของนางที่ได้เรียน และเขายังเป็นหน้าเป็นตาให้กับคนสกุลหานได้ เพียงแต่วันนี้กลับทำให้นางโกรธมาก เมื่อหลานชายที่คิดว่าดีมาตลอดจะมีลูกแล้ว
“แล้วยังไงครับ”
“นายไม่คิดว่าชื่อเสียงสกุลหานจะเสียหายหรือยังไง!” เป็นป้าสะใภ้ใหญ่ที่ตวาดเสียงขึ้นมาด้วยความเดือดดาน
ป้าสะใภ้ใหญ่ไม่ชอบบ้านสามมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ยิ่งลูกชายคนโตกับคนรองได้เป็นทหารนางยิ่งเกลียดกว่าเดิม เป็นทหารว่าเกลียดแล้ว การที่ลูกชายคนเล็กหรือเจ้าสามหานหรงอี้ได้เข้าเรียนมัธยมยิ่งทำให้นางเกลียดเขาที่สุด ในขณะที่ลูกชายทั้งห้าคนของนางได้เรียนในระดับประถมเพียงสองคน เพราะค่าใช้จ่ายในบ้านก็แทบจะไม่มีแล้ว หากไม่ใช่ลูกของนางก็คงจะไม่ได้เรียน
“บ้านใหญ่สกุลหานกับบ้านสามสกุลหานพวกเราได้แยกบ้านกันแล้ว” กัวเหม่ยอิงที่ตั้งแต่มาก็นั่งเงียบพูดขึ้น
ไม่ใช่ว่าเธอกลัวบ้านใหญ่สกุลหาน แต่เธอกำลังสำรวจสมาชิกคนอื่น ๆ ในบ้านพร้อมกับคิดถึงความทรงจำที่มี ทุกคนในสกุลหานต่างไม่ชอบเธอเพราะตอนแรกพวกเขาต้องการเธอมาเป็นสะใภ้ แต่บ้านกัวกลับปฎิเสธเพราะเห็นว่าสกุลหานคนเยอะเกินไป แต่หลังจากนั้นไม่กี่วันกัวเหม่ยอิงก็ได้จดทะเบียนสมรสกับหานหรงเจ๋อสร้างความไม่พอใจให้พวกเขาเป็นอย่างมาก
กัวเหม่ยอิงเป็นนักเรียนมัธยมปลายต่อให้บ้านของนางจะจนก็ไม่มีใครมาสนใจ พวกเขาสนเพียงต้องการสะใภ้ที่เรียนจบระดับสูง ๆ มาประดับบารมีสกุล
“ต่อให้บ้านสามจะแยกไปแล้วแต่ก็พึ่งบารมีสกุลหานอยู่ดี!” ป้าสะใภ้รองกระแทกเสียง
เมื่อวานหลังจากกลับบ้านนางถูกสะใภ้ใหญ่ด่าที่ทำให้เสียหน้า นางจึงไม่พอใจมาก จะด่ากลับก็ไม่ได้เพราะสะใภ้ใหญ่เป็นคนคุมบ้าน
กัวเหม่ยอิงเหยียดยิ้ม บ้านสามนะเหรอจะพึ่งพาบารมีสกุลหาน? สกุลหานต่างหากที่พึ่งพาพวกเธอ! เงินที่สกุลหานมาเอาไปนั้นไม่ต่ำกว่า 2,000 หยวน คิดแล้วกัวเหม่ยอิงก็เสียดาย
“ยังไงบ้านสามก็เป็นคนสกุลหาน ถ้าเกิดอะไรกับบ้านสามมันก็กระทบกับสกุลหานอยู่ดี ป้าสะใภ้อยากให้พวกเธอเก็บไปคิดอีกรอบ” คราวนี้เป็นป้าสะใภ้สี่ที่กัวเหม่ยอิงพึ่งเคยเจอพูดขึ้น
หึ ทำตัวเป็นป้าสะใภ้ที่แสนดีแต่จริงๆ เป็นนางมากกว่าที่กลัวว่าจะเสียผลประโยชน์ ได้ยินมาว่าลูกชายคนเล็กของนางกำลังคบหาดูใจกับคนในเมือง ถึงนางไม่พูดแต่คนอื่นก็พากันพูดไปทั่ว นางคงจะกลัวว่าหากพวกเธอเอาเสี่ยวหนิงมาเลี้ยงก็เป็นการยืนยันข่าวว่าน้องชายสามทำผิดประเพณีก่อนแต่งงาน เรื่องแบบนี้มันจะไปกระทบกับลูกชายของนาง
“การที่พวกเราเอาหลานสาวมาเลี้ยงดู ป้าสะใภ้สี่คิดว่ามันเป็นเรื่องไม่สมควรหรือ?”
“ใช่! ในยามนี้เจ้าสามไม่มีเมียก็จริง แต่หลังจากเรียนจบฉันก็จะให้เขาแต่งงาน แบบนี้แล้วควรจะเอาเด็กคืนแม่หล่อนไป”คุณย่าหานว่า
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่นางคิดไว้นานแล้ว ลูกสะใภ้ของนางล้มป่วยจึงไม่มีแรงจะลุกมาจัดการเรื่องราวภายในบ้าน การหาลูกเขย ลูกสะใภ้เดิมทีเป็นหน้าที่ของบิดามารดา แต่ลูกชายของนางตายไปแล้ว ลูกสะใภ้ก็ไม่รู้จะตายวันไหน หน้าที่หาหลานสะใภ้ก็ควรจะเป็นนางก็ถูกแล้ว และนางก็ได้ตัวหลานสะใภ้ที่รอเจ้าสามเรียนจบก็จะให้แต่งเข้าบ้านสาม เพียงแต่เกิดเรื่องซะก่อน
“ถ้าจำไม่ผิด คุณย่าเป็นคนบอกให้เลขาธิการของหมู่บ้านเขียนจดหมายแยกบ้านไว้ชัดเจนแล้วนะคะ” กัวเหม่ยอิงตอบเสียงเรียบ
ในยามนี้เธอก็เป็นเหมือนผู้นำครอบครัว ย่าสามีของเธอกลับมองข้ามเธอไป และจะยื่นมือมาบงการพวกเธอ ซึ่งกัวเหม่ยอิงไม่มีทางยอม
“ไม่ใช่เรื่องของเธอ” คุณย่าหานตอบกลับหลานสะใภ้ที่นางไม่ชอบหน้า
ในยามนี้บ้านสามแยกตัวออกไปแล้ว และบ้านสามกับพวกเขาหากให้ว่ากันตามตรงก็คือคนละบ้านกัน มั่งมีหรือยากจนก็ไม่เกี่ยวข้อง แต่เวลานี้คนที่จะขัดได้ก็คือเจ้ารองที่ยังไม่กลับมา พงกนางจึงต้องรีบลงมือ
“ค่ะ ถ้าไม่ใช่เรื่องของฉัน แบบนี้แล้วฉันกับน้องสะใภ้และน้องชายสามคงต้องขอตัวกลับก่อน” กัวเหม่ยอิงลุกขึ้นยืนอย่างไม่ไว้หน้าใคร ตามด้วยน้องสะใภ้รองและน้องชายของสามี
“เดี๋ยว! มันจะมากเกินไปแล้วนะ!” ป้าสะใภ้ใหญ่ร้องเสียงหลง นางไม่ยอมให้บ้านสามกลับไปตอนนี้แน่ นางต้องการให้พวกมันต้องเสียหน้าภายในสกุล
“มากเกินไปตรงไหนเหรอคะป้าสะใภ้ใหญ่ ที่ผ่านมาฉันยอมมากพอแล้วนะคะ บ้านสามไม่เคยไปทำอะไรให้บ้านใหญ่เลยด้วยซ้ำ มีแต่บ้านใหญ่ที่มารังควานบ้านสามของพวกเรา” กัวเหม่ยอิงยืนท้าทาย
แม้หน้าหลังจะล้อมไปด้วยคนสกุลหานหลายสิบคนแต่กัวเหม่ยอิงก็ไม่ได้กลัว หากคนสกุลหานกล้าลงมือจริงจะเป็นผลดีกับพวกนางเสียอีก
“เหอะ! ไม่เคย? หากไม่ใช่น้องชายสามพ่อสามีของเธอแย่งตำแหน่งทหารของสามีฉันไป พวกเธอจะได้อยู่ดีกินดีแบบนี้เหรอ!” ป้าสะใภ้ใหญ่ตะโกนอย่างอัดอั้นตันใจ
“ฮ่า ๆ ป้าสะใภ้ใหญ่ย่อมรู้แก่ใจดีนะคะ” กัวเหม่ยอิงหัวเราะ
หลายปีก่อนเนื่องจากจำนวนทหารไม่พอ เหล่าเด็กที่เริ่มจะแตกหนุ่มจึงถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร และในหมู่บ้านต้องส่งคนไปไม่ต่ำกว่าสามคนในการเข้าร่วมเกณฑ์ทหารครั้งนั้น 1 ในบ้านที่ถูกเลือกไปก็คือคนสกุลหานที่มีลูกชายเยอะและเป็นครอบครัวใหญ่ ตอนแรกชาวบ้านต้องการให้ลุงใหญ่เป็นตัวแทนของหมู่บ้านในครั้งนี้ แต่พวกเขาถูกคุณย่าหานปฎิเสธด้วยคำที่ว่าลูกชายคนโตต้องอยู่บ้านดูแลบิดามารดา และเรื่องนี้ชาวบ้านต่างรู้กันดี
แต่จะหวังพึ่งลุงรองก็ไม่ได้เพราะเขาขี้ขลาดตาขาวเกินไป แม้คุณย่าหานจะรักลูกชายคนโตมากที่สุดแต่นางก็ยังมีใจห่วงลูกชายคนรองอยู่บ้านจึงไม่ต้องการส่งเขาไป
จะให้อาสี่ของสามีไปคุณย่าหานก็ยิ่งไม่ยอมอีก ลูกชายคนโตว่ารักมาแค่ไหนลูกชายคนเล็กก็รักไม่ต่างกัน
ส่วนพ่อสามีของเธอนั้นแทบจะเรียกได้ว่าเป็นลูกที่ถูกรักน้อยที่สุดในปีที่คุณย่าหานได้คลอดพ่อสามีนั้นเป็นช่วงต้นปี และช่วงท้ายปีคุณย่าหานยังได้คลอดลูกชายคนเล็กออกมาด้วย และเป็นพ่อสามีที่ถูกคุณย่าหานเลี้ยงน้อยที่สุดส่วนมากจะเป็นเหล่าพี่สะใภ้แล้วก็น้องสะใภ้ที่ช่วยเลี้ยงเพราะนางเอาเวลาไปให้ลูกชายคนเล็ก
รู้ตัวอีกทีลูกชายคนที่สามของบ้านก็ไม่ได้สนิทกับคนในครอบครัว แม้แต่การเข้าไปเป็นทหารเกณฑ์แทนพี่ชายทั้งสองแล้ว พ่อสามียังต้องแลกมากับการที่ต้องได้เลือกภรรยาเอง และช่างโชคดีที่ในเวลานั้นไม่ว่าพ่อสามีจะพูดอะไรทุกคนก็ยอมเพราะไม่ต้องการให้สามีหรือลูกชายสุดที่รักออกไป
ยิ่งพวกเขาไม่ได้แยกบ้านกันเงินเดือนของพ่อสามีที่ส่งกลับมาให้คนในบ้านก็เอาเข้ากองกลางไปทั้งหมด เป็นแบบนี้อยู่หลายปีโดยที่ทำอะไรไม่ได้ จนกระทั่งพ่อสามีหมดความอดทนจึงไม่ส่งเงินกลับบ้านเป็นระยะเวลาหลายเดือนจึงหาทางแยกบ้านได้สำเร็จ เรื่องนี้เป็นสามีของเธอเองที่เล่าให้ฟัง
ป้าสะใภ้ใหญ่ของพวกเธอถึงกับสะอึกเมื่อเธอแย้งขึ้นมา ก็เป็นนางเองไม่ใช่หรือที่ร้องห่มร้องไห้ไม่ยอมให้สามีไปเป็นทหารเกณฑ์เพราะกลัวเป็นม่าย มาวันนี้กลับมาว่าพ่อสามีของพวกเธอ
“อกตัญญู! อกตัญญู!” ป้าสะใภ้ใหญ่กระทืบเท้าด้วยความไม่พอใจ
กัวเหม่ยอิงเม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะกลั้นยิ้ม ป้าสะใภ้ใหญ่ทำตัวเหมือนเด็กที่ยังไม่โตทั้ง ๆ ที่ตอนนี้แก่มากแล้วยังไม่เจียมสังขารตัวเอง คาดว่าพรุ่งนี้นางคงจะลุกไม่ขึ้นเพราะกระทืบแรงเกินไป
“ฉันไม่คิดเลยนะคะว่าคนสกุลหานจะเป็นแบบนี้ พวกเราแยกบ้านกันมาได้หลายปีแล้วนะคะ ข้อตกลงที่คุณย่าเสนอพวกเราต่างก็รับทราบกันดี เงินที่บ้านใหญ่สกุลหานยืมไปเราก็ยังไม่ได้เอาคืนมาเลยด้วยซ้ำ” กัวเหม่ยอิงเหยียดยิ้ม
ไม่รู้ว่าพ่อสามีเจ้าเล่ห์หรือแม่สามีที่เป็นคนคิดขึ้นมา ทุกครั้งที่คนบ้านใหญ่เข้าไปหยิบเงินในบ้าน จำนวนเงินทุกหยวนจะถูกบันทึกเอาไว้ และมีรายมือของคนที่เอาไป หากนับรวมกันได้แล้วก็มีมากกว่าสองพันหยวนที่ไม่ได้รวมกับพวกข้าวของอื่น ๆ อีก
“อะไร เธอพูดอะไร”
“ก็ป้าสะใภ้ไปยืมเงินบ้านสามทุกเดือนนี่คะ” กัวเหม่ยอิงตอบ
“อย่ามาพูดมั่ว ๆ เงินบ้านสามฉันจะไปยืมได้ยังไง!” ป้าสะใภ้ใหญ่โพล่งขึ้นมา
ทุกครั้งที่นางไปเอาเงินที่บ้านสามก็เป็นช่วงที่ชาวบ้านไม่อยู่ไม่ก็ช่วงมืดที่ทุกคนกำลังจะหลับเพราะนางไม่ต้องการให้ใครรู้ว่านางไปเอาเงินของบ้านสาม แต่เรื่องนี้คนในบ้านใหญ่ต่างรับรู้เพราะหลายครั้งก็เป็นคนอื่นที่ไปเอา
“อื้ม งั้นเดี๋ยวฉันไปถามคณะกรรมการก็ได้ค่ะ”
หากจะถามว่านางรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไงก็คงต้องบอกว่าสามีของเธอนั้นไว้ใจเธอมาก ถึงกลับบอกเรื่องทุกอย่างในสกุลให้ทราบ และทุกครั้งที่บ้านใหญ่หยิบเอาเงินหรือเอาของไปลายของพวกเขาก็ถูกปั้มลงบนกระดาษสัญญาการยืม ซึ่งสามีไม่ได้บอกกับกัวเหม่ยอิงว่าต้องทำยังไง
เพล้ง!
ว้ายยย
คุณแม่คะ!
คุณย่าครับ!
กรี๊ดดดด
เฮ้ยยย
เสียงวุ่นวายภายในตัวบ้านสกุลหานไม่ได้ทำให้กัวเหม่ยอิงหันกลับไปมอง เธอเดินกลับบ้านอย่างเงียบสงบพร้อมกับน้องสะใภ้และน้องชายของสามี
ทุกอย่างพึ่งจะเริ่มต้นก็เท่านั้น