Area 21 : ความเขินอาย

2489 คำ
น้ำค้างเขินอายคนตรงหน้า จนแทบอยากจะมุดดินหนี ทว่าข้อมือเล็กกลับถูกคว้ามือใหญ่ไปกอบกุมเอาไว้ซะก่อน จึงจำต้องเดินตามแผ่นหลังกว้างไปอย่างเงียบๆ แบบที่หาทางหนีไปไหนไม่ได้เลย ดวงตากลมแอบเงยมองแผ่นหลังกว้างระหว่างทางเดินกลับที่พักด้วยกัน ใครจะไปคิดว่าไอ้บื้อใบ้หน้านิ่งแบบซามูร์ มันจะพูดประโยคเลี่ยนๆ ชวนใจสั่นแบบนี้ออกมาได้ไงวะ มือเล็กยกขึ้นมาแปะวางบนหน้าอกข้างซ้าย ที่เมื่อครู่เต้นโครมครามซะจนกลัวคนที่ยืนอยู่ด้วยกันจะได้ยินด้วยแทบแย่ ซามูร์ปล่อยมือแล้วให้น้ำค้างหยุดอยู่กับที่ตรงโคนต้นไม้ใหญ่ก่อน แล้วตนเป็นฝ่ายที่ย่องเข้าไปดูบริเวณแถวเพิ่งที่พักให้ถี่ถ้วน เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีคนที่แอบมาเหยียบย่ำพื้นดินอ่อนแบบฝากรอยเท้าเอาไว้ให้ดูต่างหน้า พอแน่ใจแล้วว่าปลอดภัย ซามูร์จึงเรียกให้น้ำค้างเดินตามมาได้ น้ำค้างเดินมาจนถึงกองไฟที่เริ่มจะมอดดับไปอีกรอบ จนต้องเป็นฝ่ายนั่งเขี่ยให้ไฟกลับมาลุกโชนอีกครั้ง ส่วนซามูร์บอกว่าเดี๋ยวขอเดินไปทางธารน้ำ พร้อมกับนำสิ่งที่จะทำอาหารกินไปทำความสะอาดด้วย น้ำค้างพยักหน้ารับหงึกหงักแบบว่าง่าย เพราะก็เริ่มรู้สึกหิวแล้วเช่นกัน หลังซามูร์นำกระต่ายป่าที่ไปดักมาไปจัดการแล่หันชิ้นส่วนจนดูไม่ออกว่าเป็นเนื้ออะไรแล้ว ก็ได้เดินกลับมาพร้อมกับในมือที่ถือห่อใส่ใบตองมาวางลงตรงกองไฟที่มีไฟลุกโชนดั้งเดิมแล้วด้วย "ในห่อคืออะไรอะ" ดวงตากลมชะเง้อมองตามฝ่ามือใหญ่อย่างสงสัยจนต้องเอ่ยถามออกมา ใบตองที่ดูเหมือนกับห่อหมก ถูกบรรจงจับวางลงบนก้อนหินอย่างปรานีด มือใหญ่ค่อยๆ ขยับมันให้เข้าไปใกล้เปลวไฟ เพื่อไม่ให้มันไหม้ก่อนจะร้อนระอุจนสุกทั่วถึงกัน "ของกินได้ รอสุกแล้วกินดู" ซามูร์ตอบแบบเรียบง่ายไร้คำอธิบายเช่นเคย น้ำค้างยู่หน้าเพราะไม่เห็นจะได้คำตอบอะไรออกมาเลย ก็รู้อยู่หรอกว่าเป็นของกิน แต่มันคืออะไรต่างหากละที่อยากรู้มากกว่า คนขี้สงสัยนึกในใจแต่ไม่ได้พูดออกไปให้คนสีหน้าจริงจังกับการปิ้งย่างตรงหน้าซะเหลือเกิน ซามูร์จัดวางเรียบร้อยแล้ว จึงขยับตัวมานั่งลงใกล้ๆ กับคนที่เอาแต่มองจ้องโฟกัสอยู่ที่ห่อใบตองอย่างสงสัย "วันนี้เราคงต้องออกเดินทางย้ายที่พักกันแล้วนะ" ซามูร์ยื่นมือเข้าไปจับมือเล็กเข้ามากอบกุมไว้ พลางบอกเล่าเรื่องสำคัญออกไป "ทำไมอ่ะ ตรงนี้ทำเลไม่ดีเหรอ ติดลำธารด้วยนะ สะดวกดีออก" ใบหน้าฉงนฉายแววสงสัยก่อนจะอ้าปากถามออกมาเช่นกัน ซามูร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่แน่ใจว่าควรบอกคนขี้กลัวตรงหน้านี้ดีรึเปล่า แต่ถ้าหากบอกไปแล้วเกิดหวาดกลัวจนจิตตกอีกจะแย่กว่าเดิมไหม หรือควรบอกเอาไว้เพื่อให้ระวังตัวไว้ดีกว่า ซึ่งก็ไม่รู้เลยว่าจะตัดสินใจให้คำตอบแบบไหน ถึงจะเหมาะกับคนช่างถามตรงหน้าถึงจะดีกว่ากัน "ใช้ชีวิตอยู่ในป่าเราต้องเปลี่ยนที่พักบ่อยๆ น่ะ เราจะได้หาทางกลับเผ่ากรีนเคิร์กด้วย" "อ่า ข้าไม่กลับได้มั้ย เจ้าพาข้าไปหาอาร์ลหน่อยสิ น้ะ ข้าอยากกลับบ้านเกิดแล้วล่ะ ซามูร์.." ใบหน้าจิ้มลิ้มเศร้าหมองลงทันที เมื่อได้ยินคำว่าต้องพาตัวน้ำค้างกลับไปยังกรีนเคิร์กด้วยกัน "ทำไมเจ้าชอบอาร์ลมากเลยรึ" น้ำเสียงเข้มขึ้นพร้อมกับคิ้วเข้มขมวดจนดูหน้าดุขึ้นมาทันที "ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย แล้วทำไมต้องโกรธด้วยเนี่ย ข้าแค่อยากกลับบ้านเกิดข้าเองนะ เพราะอาร์ลจะพาข้าไปส่งได้ ส่วนเผ่าเจ้าน่ะจ้องจะจับข้าไปกินอีกละสิ ข้ากลัวนะ ข้ายังไม่อยากตาย" น้ำค้างชักมือออกทันที ไม่ยอมให้ฝ่ามือใหญ่ได้ยึดกอบกุมเอาไว้อีกต่อไปแล้ว เมื่อเริ่มพูดกันไม่เข้าท่า น้ำค้างก็เริ่มไม่อยากจะคุยด้วยแล้ว นอกจากจะดึงมือหนีแล้วยังทำท่าจะลุกหนีอีกด้วย ซามูร์รู้ทันจึงรีบคว้าตัวของคนที่กำลังจะลุกหนีหน้าออกไปจากตรงนี้ให้กลับลงมานั่งเหมือนเดิม จนน้ำค้างเซ ถลาตามแรงรั้งดึงให้เข้ามาปะทะนั่งลงอยู่บนหน้าตักแกร่งของซามูร์แทน "ไม่มีใครหน้าไหนจะกินเจ้าได้หรอก ไม่มีวัน ข้าสัญญา แล้วข้าจะพยายามหาทางพาเจ้ากลับบ้านให้ได้..น้ำค้าง" ฝ่ามือใหญ่ประคองกันคนตัวเล็กที่อยู่บนตักไม่ให้ตกพื้น ปลายนิ้วโป้งของมืออีกข้างไล้เกลี่ยพวงแก้มใสแผ่วเบาอย่างให้คำมั่นสัญญา แววตาขึงขังจริงจังของซามูร์ ทำเอาน้ำค้างใจสั่นไปชั่วขณะ ข้าจะสามารถเชื่อใจคนตรงหน้านี้ได้ใช่มั้ย.. ข้าหวังเชื่อใจเจ้าได้สินะ ซามูร์ ใบหน้าจิ้มลิ้มเริ่มขึ้นสีระเรื่อ เอาแต่คิดวนเวียนให้หัวว่าจะลองเชื่อใจชายผู้นี้ก็ได้ แววตาแห่งความมุ่งมั่นถ่อแววส่งมาให้กันอย่างมุ่งมั่นเว้าวอนขนาดนี้แล้ว น้ำค้างที่ได้เผลอจ้องมองสายตาอันลุ่มลึกของคนตรงหน้า จนแทบจะเผลอไผลกับทุกสิ่ง ใบหน้าจิ้มลิ้มกำลังค่อยๆ ขยับเข้าหาคนที่ยังคงมองจ้องกันอยู่อย่างไม่กะพริบตา เพียงอีกแค่ไม่ถึงหนึ่งเซนติเมตรเท่านั้น ริมฝีปากบางก็แทบจะแตะถึงริมฝีปากหยักตรงหน้าอยู่แล้ว จ๊อกกกก~~ ใบหน้าเหลอหลาสะดุ้งรีบดึงสติกลับคืนมาได้แล้ว เกิดความเก้อเขินกับเสียงแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ทันที ซึ่งมันมาจากการประท้วงหิวอาหารที่ออกมาจากกระเพาะของน้ำค้างเอง ทำเอาเจ้าตัวเกิดความกระดากอายขึ้นมาทันควัน จึงต้องหุนหันลุกขึ้นพรึบพับออกจากตักแกร่ง ซามูร์เผยรอยยิ้มมุมปากเล็กน้อย แต่กลับไม่ได้พูดอะไรออกมาให้อีกคนเขินอายไปมากกว่านี้ มือแกร่งทำเพียงแค่หากิ่งไม้มาเขี่ยๆ ห่อใบตองเล็กน้อยก่อนจะนำมาแกะดูว่าเนื้อข้างในสุกระอุทั่วกันดีรึยังแทน "สุกดีแล้ว เจ้าเอาไปกินดูสิ" ซามูร์จับห่อใบตองยื่นส่งให้คนที่เริ่มทำตัวไม่ถูกด้วยการยกยิ้มแหยกลับคืนมาให้ "ปลาเหรอ ข้าไม่กินได้มั้ย" มือเล็กรับห่อใบตองที่เนื้อข้างในขาวสุกระอุทั่วกันดีจนดูยั่วน้ำลายนักแล แต่ถ้าหากเป็นปลาก็กลัวจะคาวจนคลื่นไส้ออกมาอีกเลยจำต้องวางลงไม่ยอมชิมดูสักที "ไม่ใช่ แต่ลองกินดู ข้าว่าเจ้ากินได้" ซามูร์ยังยืนยันให้น้ำค้างกิน โดยที่ตนเองก็เริ่มแกะออกมาอีกหนึ่งห่อแล้วเอาเข้าปากเป็นตัวอย่างเช่นกัน "เหมือนห่อหมกเลย เจ้าเอาใบอะไรใส่ด้วยอะ ขมมั้ย" เจ้าหนูจำไมเริ่มปฏิบัติการซักฟอกกับพ่อครัวหัวป่าก์อีกครั้ง "เจ้ากินแค่ส่วนเนื้อก็พอ ใบนั่นมันขมสำหรับเจ้า" ซามูร์อุตส่าห์อธิบายซะยืดยาว แต่ถึงไม่บอกน้ำค้างก็แกะกินแต่เนื้ออยู่ดี เรื่องอะไรจะกินผักละ เป็นผักใบอะไรก็ไม่รู้ เข็ดตั้งแต่ตอนที่โดนลาฟี่หรอกแล้วด้วย ยังจำรสขมปี๋ติดลิ้นได้ดีเชียวละ "อ่า อร่อยดีจังซามูร์ ข้ากินจนอิ่มแปล้เลย ว่าแต่เนื้ออะไรอะ ไก่เหรอ?" น้ำค้างลูบพุงทิพย์ป้อยๆ มือนี้รู้สึกเจริญหาอาหารจริงๆ จะว่าไปซามูร์ทำอาหารเก่งมากไม่มีกลิ่นคาวสักนิดเลย ทว่าเชฟมือฉมังกลับไม่ยอมตอบออกมา จนน้ำค้างต้องมโนนึกไปเองอีกครั้ง "เนื้อไก่ในป่าแบบนี้ไม่มี นกเหรอ ใช่มั้ยอะ" ดวงตากลมยังคงจ้องมองไปยังคนที่มีใบหน้าเรียบนิ่งอย่างรอลุ้น คำตอบ จนน้ำค้างเริ่มใจกระตุกเพราะกลัวว่าไอ้สิ่งที่โดนหรอกให้กินเข้าไปจะเป็นเนื้อสัตว์อะไรสักอย่างแน่ๆ "ซามูร์ อย่าบอกนะ อย่าบอกนะว่า เอาเนื้อสัตว์แปลกๆ มาหลอกให้ข้ากินอ่า" มือเล็กเริ่มยกขึ้นมาอุดปากอุดจมูกเอาไว้รอแล้ว "กระต่ายป่า" คำตอบจากน้ำเสียงราบเรียบ ทำเอาน้ำค้างถึงกับน้ำตาคลอเบ้าทันที ทั้งรู้สึกสงสารทั้งรู้สึกแปลกประหลาด อารมณ์ปนเปกันไปอย่างบอกไม่ถูก จนท้องไส้เริ่มปั่นป่วนไปหมด "ทำไมต้องเป็นกระต่ายด้วยอะ สงสารน้องนะ" น้ำเสียงสั่นเครือบ่นนุ้บนิ้บใส่คนตรงหน้า ท่าทางจวนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ "มันจำเป็นต้องกิน เราอยู่ในป่ากันนะน้ำค้าง หากข้าพาเจ้าเดินทางไปฝั่งแม่น้ำลึกกว่านี้ มีจระเข้ ข้าก็จะบังคับให้เจ้ากินมัน แม้จะเป็นเนื้อหมีหรือเนื้อเสือก็ตาม" หนึ่งคนป่าพูดออกมาได้อย่างหน้าตาเฉย ส่วนอีกคนเอาแต่ส่ายหน้าไปมาอย่างพูดไม่ออกรับไม่ได้ "ไม่เอาไม่กิน ข้ากินมันไม่ลงหรอก เจ้าไม่ต้องหาเอามาให้ข้ากินเลยนะ" น้ำค้างเปล่งเสียงชนิดที่ว่าคัดค้านหัวชนฝาออกมาทันท่วงที "เจ้ากินสมุนไพรก็ไม่ได้ แมลงเจ้าก็ไม่กิน แบบนี้จะมีชีวิตรอดได้ยังไงกัน" ซามูร์เริ่มเปล่งเสียงเข้มขึ้นเช่นกัน "งั้นเจ้าก็ปล่อยให้ข้าตายไปเลย ข้ายอมตายซะยังจะดีกว่า" คนพูดประชดประชันไม่ได้หันไปมองดูใบหน้าเกรี้ยวโกรธของคนฟังเลยสักนิด ซามูร์เองที่รู้สึกฉุนขึ้นมาแล้วเช่นกัน จนเผลอกระแทกเสียงดังใส่เช่นกัน "ไหนเจ้าพูดเองว่ายังไม่อยากตายไง?!" หลังหลุดขึ้นเสียงใส่คนด้านข้างจนน้ำค้างสะดุ้งแล้วสลดลงไปทันที ทว่าคนว้ากใส่เมื่อครู่กลับเป็นฝ่ายลุกเดินหนีไปทางเพิงที่พักแล้วเริ่มเก็บของที่สามารถนำไปใช้ต่อได้ เพื่อดับอารมณ์คุกรุ่นของตนเองไปด้วย จริงๆ ทั้งที่ซามูร์นั้นไม่ได้รู้สึกโมโหที่น้ำค้างเรื่องมากกับของกินสักเท่าไหร่ อันนั้นกินไม่ได้อันนี้ก็ไม่ยอมกินเลยสักนิด เพราะเคยชินแล้ว แต่ที่เขาฉุนเฉียวขึ้นมานั้น อาจจะเป็นเพราะเรื่องที่อีกคนพูดถึงเรื่องการตายจากออกมาได้อย่างง่ายดายนั่นเอง ☘ ซามูร์เดินนำทางคนที่บ่นนุ้บนิ้บตามหลังมาตลอดเส้นทาง ทั้งคู่ไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลย นอกจากตอนที่ซามูร์เก็บของใช้ที่จำเป็นพกติดตัวมาด้วย กับการเอ่ยปากบอกให้อีกคนออกเดินทางได้แล้วเพียงแค่นั้น ในตอนนี้เราสองคนจึงพากันออกเดินทางจากตะวันตรงหัว กระทั่งตอนนี้ ท้องฟ้าได้แปรเปลี่ยนเป็นแสงสีส้มแล้ว ซึ่งบ่งบอกว่าตะวันใกล้จะตกดินเข้าไปทุกที ซามูร์ตั้งใจว่าจะเดินไปให้ถึงเขาลูกที่เห็นอยู่ลิบๆ ตรงหน้า ทว่าดูเหมือนจะไม่ทันกาล เพราะคนด้านหลังเริ่มออกอาการเหนื่อหอบและดูอ่อนล้าอ่อนแรง จวนจะหมดสภาพแล้วด้วย น้ำค้างที่มองตามแผ่นหลังของไอ้ยักษ์ใจร้าย เอาแต่จ้ำขาออกเดินพรวดๆ แล้วก็เดินแบบที่ไม่ได้หันมาสนใจกันเลยด้วยซ้ำ น้ำค้างคิดว่าหากตัวเองโดนเสือคาบไปไอ้บ้าซามูร์ก็คงไม่หันกลับมามองกันหรอก ตอนนี้สองขาเริ่มจะล้าแทบจะก้าวเดินต่อไปไม่ไหวแล้ว น้ำค้างคิดว่าบางทีปล่อยแม่งเดินไปคนเดียวเหอะ จะขอนั่งตรงนี้แล้วก็นอนตายตรงนี้ไปเลยเหอะไอ้ค้าง น้ำค้างหันมองโคนต้นไม้หลายครั้งหลายหน เขารู้สึกอยากจะทิ้งตัวนั่งลงไปเหลือเกิน ไม่เดินต่อแม่งล่ะ ก้าวขาไม่ออกแล้วเว๊ย ไอ้บ้านั่นมันต้องแกล้งกันแน่ๆ เลย ใจจริงน้ำค้างก็อยากจะเรียกคนตรงหน้าขอให้หยุดพักก่อนได้มั้ย เดินไม่ไหวแล้ว อยากจะงอแงใส่แบบทุกที แต่ความถือดีมีทิฐิยังมีความโกรธกันมากกว่าเลยจำต้องปล่อยเมิน ยอมไม่เรียกรั้งกันไว้ซะดีกว่า เชอะ! ดวงตากลมแหงนหน้ามองช่องวางตามกิ่งไม้ ที่ได้มีแสงทะลุสาดส่องลงมาจากด้านบน ทำให้น้ำค้างต้องหยีตาหลบแสงแดดอันแผดจ้าแทนเอง ซึ่งช่วงกลางวันในป่าทึบแบบนี้ ไม่น่าจะร้อนเท่าไร แต่เมื่อได้เดินมาราธอนต่อเนื่องกันมาแบบหลายสิบกิโลฯ ก็ทำเอาเหงื่อไคลไหลออกมาจนชุ่มโชกไปทั่งกายใช่เล่นอยู่เหมือนกัน น้ำค้างเริ่มมีอาการแข้งขาสั่น ข้อมือเล็กยกขึ้นมาซับเหงื่อเป็นระลอก เสื้อยืดที่นำกลับมาใส่ซ้ำ มันเริ่มชุ่มโชกไปด้วยหยาดเหงื่อ สองขาเรียวเริ่มหมดแรง จนต้องล้มพับลงไปในท้ายที่สุด "น้ำค้าง.." ซามูร์ผู้ที่เดินนำหน้าตลอดทาง ราวกับไม่ได้สนใจคนที่เดินตามหลังมาด้วยกันเลยสักนิด ทว่าแค่ฟังจากเสียงเดินจากฝีเท้าก็พอจะรู้อยู่แล้วจากการที่ได้ฝึกฝนมานาน ร่างสูงหันกลับมายามเมื่อรู้ได้ว่าเสียงฝีเท้าที่ต้องยำเดินตามได้เงียบลงไปแล้ว ซามูร์ยอบตัวนั่งลงก่อนจะนำตัวน้ำค้างยกขึ้นพาดบ่า แบบที่เคยแบกกันมาจนเป็นท่าประจำไปซะแล้ว เมื่อไปไม่ถึงจุดหมายที่คาดการณ์เอาไว้ ซามูร์จึงปักหลักสร้างเพิงที่พักตรงบริเวณน้ำตกตรงนี้เลยก็แล้วกัน ก่อนที่จะลุกขึ้นไปทำเพิงที่พักให้อีกคนได้ใช้หลับนอนอย่างสบาย ด้วยความที่เห็นใบหน้าโทรมเหงื่อพริ้มหลับแล้วเกิดความมันเขี้ยวขึ้นมา จึงส่งนิ้วมือไปบีบเข้ากับสองพวงแก้มใสเป็นการลงโทษฐานดื้อดึงนักซะเลย ทั้งที่อยากจะทำมากกว่านี้ แต่ก็พยายามหักห้ามใจคอยปรามตัวเองอยู่เสมอ เพราะตอนนี้เราโกรธกันอยู่สินะ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม