เช้าตรู่ที่แถบเทือกเขาของหมู่บ้านเรดเมเปิลช่างเป็นพื้นที่งดงามมาก แล้วยังมีบรรยากาศที่ดีล้อมรอบรายล้อมด้วยความสดชื่น อีกทั้งยังมีความเจริญมากอีกด้วย
ไม่ว่าจะอยากใช้ชีวิตสงบสุขก็สามารถเข้าไปยังท้ายๆ หมู่บ้านจะดูห่างไกลผู้คนหน่อย แต่ที่เผ่าแห่งนี้ยังได้มีการเปิดโซนให้นักท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ได้เข้ามาเรียนรู้วัฒนธรรมกับการได้ลองใช้ชีวิตกับชาวชนเผ่าด้วย
ซึ่งจะมีการลงทะเบียนจองเข้ามากันแบบเป็นกลุ่มๆ โดยการจัดทริปทุกครั้ง ตามข้อกำหนดที่ได้ตกลงของทางเผ่าเรดเมเปิลก็สามารถทำได้เช่นกัน
อันนี้ผมว่าดี ดีมากเลยละ
มันทำให้ขาวชนเผ่ามีรายได้มากขึ้น ซึ่งถือว่าสามารถแลกเปลี่ยนวิถีชีวิตกันได้ด้วย หากคนข้างนอกไม่ได้มาทำความเดือดร้อนให้กับชาวชนเผ่าที่นี่ แต่ว่าส่วนมากที่นี่จะรับคนเข้ามาต่อกลุ่มเพียงแค่ครั้งละไม่เกิน 5 คนเท่านั้น และจะต้องมาใช้ชีวิตอยู่ให้ได้ถึงหนึ่งเดือนเชียวแหละ
ซึ่งช่วงที่น้ำค้างอยู่ที่นี่ จะได้เห็นพวกนักวิจัยที่มาจากแทบประเทศที่น้ำค้างไม่ค่อยรู้จักมักคุ้นเท่าไหร่นัก
รึว่าผมจำชื่อประเทศบนโลกนี้ไม่ได้กันนะ
เอ๊ะ! หรือที่จริงแล้ว ผมทะลุมิติมายังคนละโลกที่เคยอยู่มาจนอายุสิบเก้าปีแล้วกันแน่?
วันนี้น้ำค้างได้ตื่นเช้าดั่งเช่นทุกเช้า เพื่อลุกออกมาดูพระอาทิตย์ขึ้น ตั้งแต่ที่น้ำค้างได้มาพำนักอยู่ที่หมู่บ้านเรดเมเปิลแห่งนี้จนเคยชินราวกับเป็นกำไรและกิจวัตรประจำวันไปซะแล้ว
"ว้าวว สวยจริงๆ เลย ตอนอยู่เมืองหลวงแม่งเจอแต่ขี้ฝุ่นกับควันรถ" ริมฝีปากบางบ่นนุ้บนิ้บพลางยืนกอดอกเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ตัวเอง
"ตื่นเช้าอีกแล้ว ชอบพระอาทิตย์ขึ้นขนาดนั้นเลยเหรอ" น้ำเสียงแหบนุ่มเดินเข้ามาทักทายคนที่ยังคงยืนมองดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าขึ้นมาแล้ว
เมื่อร่างบางหันกลับมามองคนที่ส่งเสียงทักทายกันยามเช้าดั่งเช่นหลายวันที่ผ่านมา จึงได้หันกลับไปส่งยิ้มหวานคืนให้ พร้อมกับกล่าวคำทักทายยามเช้าให้ด้วย
ใบหน้าติดยิ้มจึงได้รางวัลเป็นการถูกดูแลคืน ด้วยการคลุมผ้าห่มเนื้อนุ่มลงบนลาดไหล่เล็กให้
"ขอบคุณครับ นี่อาร์ลดูสิ สีท้องฟ้ากำลังสวยได้ที่เลยเนอะ" น้ำค้างชวนหัวหน้าเผ่าหรือจะเรียกได้ว่าเป็นเพื่อนสนิทกันก็ว่าได้
ซึ่งทั้งคู่พูดคุยกันได้อย่างสนิทสนม โดยเฉพาะช่วงนี้น้ำค้างใช้ภาษาชนเผ่าได้เก่งขึ้นแล้ว แถมยังสอนภาษาอังกฤษให้อาร์ลบ้าง
น้ำค้างบอกอาร์ลไว้ว่า เผื่อว่าจะได้เอาไว้ใช้กับลูกค้ากลุ่มอื่นๆ ได้ด้วยเวลาขยายฐานลูกค้า ซึ่งไม่แน่วันข้างหน้าที่นี่อาจจะฮิตภาษาอังกฤษก็เป็นได้
แถมในบางครั้ง น้ำค้างก็รู้สึกอยากแกล้งอาร์ลดูบ้าง ก็เลยสอนให้หัวหน้าเผ่าพูดภาษาเมืองหลวงของตนซะเลย เพราะเวลาชาวชนเผ่าได้ลองพูดภาษาบ้านเกิดของน้ำค้างให้ฟังแล้วมันดูน่ารักดี
ทั้งคู่ที่ดูพูดคุยสนุกสนาน ราวกับสนิทสนมกันมาเนิ่นนาน จนทำให้คนที่เดินตามหาคนตัวเล็กอยู่นาน กระทั่งหาตัวเจอเข้าจนได้ แต่ก็ดันต้องมาได้สบเห็นอะไรแบบนี้เข้าอีก จนต้องหยุดยืนมองอยู่เบื้องหลังของทั้งคู่อยู่นานสองนานแบบช่วยไม่ได้
ใบหน้าเรียบนิ่งของผู้มาเยือนใหม่ เลือกที่จะหันหลังและเป็นฝ่ายเดินจากออกไปก่อน เมื่อได้ยินทั้งคู่พูดคุยนัดแนะกันว่า “พรุ่งนี้เช้าค่อยมาดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกันใหม่เนอะ แต่ตอนนี้ไปดื่มกาแฟด้วยกันก่อนเถอะ”
หนึ่งร่างสูงที่ดูใจดีคอยเอาอกเอาใจ ขยันทำให้อีกคนยกยิ้มจนแก้มปริออกมาได้อย่างง่ายดายเลย
ซามูร์เริ่มรู้สึกแปลกๆ ราวกับว่ามีอะไรมากวนใจ จนไม่สามารถเดินกลับไปยังห้องพักของตนเองได้เลย ใบหน้าขมวดคิ้วจนยับย่น
คนใจว้าวุ่นไม่สงบ จึงเลือกที่จะเอาตัวเองออกไปหาสถานที่สงบๆ เพื่อดับอารมณ์กับความรู้สึกแปลกๆ ที่มันได้ก่อตัวขึ้นมาแบบที่ไม่รู้ว่าตนเป็นอะไรไปแล้วเช่นกัน
หลังจากเมื่อคืน น้ำค้างที่เดินปึงปังจากไป ซามูร์กับอาร์ลจึงได้วางหมัดทิ้งลงไปก่อน แล้วเลือกที่จะหันมานั่งพูดคุยกันอย่างจริงจังได้สักที
ซามูร์จึงได้รับรู้ว่าน้ำค้างต้องการกลับบ้านเกิดของตัวเอง ซึ่งอาร์ลก็บอกออกมาตามตรงเช่นกัน ว่าไม่ได้รู้จักประเทศเกิดของน้ำค้างเลยสักนิด
ซึ่งอาร์ลก็เลยอยากให้น้ำค้างได้กลับบ้านเกิดของตนเองอย่างปลอดภัยเช่นกัน เพราะน้ำค้างได้พลัดถิ่นมาจนได้เจอเข้ากับเรื่องแย่ต่างๆ มากมายจนน่าสงสารไปหมด
น้ำค้างน่าจะสะเทือนใจกับเรื่องที่ต้องได้พบเจอมา จนดูน่าเห็นใจในโชคชะตาซะเหลือเกิน แต่ถือว่าน้ำค้างนั้นยังโชคดี ที่ยังมีลมหายใจและสามารถรอดชีวิตมาได้อย่างหวุดหวิดจากน้ำมือของพวกกองโจรค้ามนุษย์ชั่วช้าได้แบบนี้ ก็ถือว่าโชคดีที่สุดแล้ว
แต่หากโชคร้ายน้ำค้างก็คงไม่ได้มีชีวิตบนโลกใบนี้แล้วละ หรือไม่ก็ไม่รู้ว่าจะถูกซื้อตัวไปปู้ยี่ปู้ยำตกระกำลำบากอะไรบ้าง
ซามูร์นั่งถอดหายใจยาว ทุกสิ่งที่อาร์ลบอกเล่าออกมา มันก็จริงที่สุด แต่เขากลับรู้สึกอยากให้น้ำค้างยังอยู่ด้วยกันที่นี่อย่างเห็นแก่ตัว แต่ก็คงทำไม่ได้สินะ
หลังจากพูดคุยกันจริงจังของเรื่องน้ำค้าง ซามูร์จึงเริ่มเค้นถามอย่างลองเชิงกับหัวหน้าเผ่าเรดเมเปิลว่าไปเจอน้ำค้างได้ยังไง
อาร์ลจึงต้องเริ่มเล่ายาวเลยว่าได้เจอกับน้ำค้างที่บ้านโพลิสในเกาะริช ซึ่งคาดว่าน้ำค้างน่าจะถูกลักพาตัวมาขายแล้วถูกชายปริศนาช่วยเหลือไว้ ทว่าชายผู้นั้นก็เอาน้ำค้างไปทิ้งไว้ให้เจ้าหน้าที่โพลิสแต่ก็ดันพูดคุยกันไม่รู้เรื่อง
กระทั่งน้ำค้างลองพูดภาษาชนเผ่าออกมา จึงได้พบเจอกันเป็นครั้งแรกก็รู้สึกถูกชะตา อาร์ลเลยพามาดูแลให้พำนักอยู่ที่นี้ก่อน ช่วงระหว่างรอเวลาที่เรือจะมาเทียบท่าแล้วจะได้พาน้ำค้างข้ามไปเกาะฝั่งที่ติดแผ่นดินใหญ่ได้ เพื่อให้คนพลัดถิ่นได้เดินทางต่อไปยังประเทศของตนเองได้สำเร็จ
ซามูร์ดูจากแววตาท่าทางของคนที่เอ่ยคำพูดเรื่องราวของน้ำค้างออกมา ก็สามารถรับรู้ได้แล้วว่า หัวหน้าเผ่าเรดเมเปิลคงได้หลงชอบน้ำค้างไปแล้วเรียบร้อย
ยิ่งเมื่อได้ประจักษ์เห็นเต็มสองตาเมื่อตอนเช้านี้ด้วยแล้ว เสมือนเป็นการการันตีในสิ่งที่ตนเองคิดว่าใช่แน่แท้แบบเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์
เฮ่ออออ
ซามูร์คิดไม่ตก หากตนนำตัวน้ำค้างกลับไปเผ่ากรีนเคิร์กและ ต้องถูกแต่งตั้งให้น้ำค้างเป็นเมียของเก็งเคอร์อย่างที่ตั้งใจ เอาแต่ยอมทำตามคำทำนายของผู้เฒ่า เพื่อเผ่ากรีนเคิร์กจะได้มั่งคั่งอุดมสมบูรณ์
แล้วน้ำค้างละ..จะน่าสงสารเกินไปรึเปล่า?
ทั้งที่เป็นคนต่างถิ่นต่างแดนพลัดหลงเข้ามาแบบไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรเลยด้วยซ้ำ แต่กลับต้องมาใช้ชีวิตในป่าแบบนี้ แถมยังต้องถูกจับให้เป็นเมียหัวหน้าเผ่าใจทรามแบบเก็งเคอร์ด้วยอีก ยิ่งน่าเห็นใจเข้าไปใหญ่
"ซามูร์ อยู่นี่เอง ข้าตามหาเจ้าตั้งนานแหนะ" น้ำเสียงใสดังขึ้นทักมาทางด้านหลัง จึงทำให้ซามูร์ที่ตกอยู่ในห้วงภวังค์ของความคิด จนเผอเรอไม่ได้ตั้งการ์ดระวังตัวเอาไว้เลยสักนิด
"ซามูร์.." น้ำค้างเดินเข้ามาทิ้งตัวนั่งลงด้านข้างของคนที่ถูกเรียก แต่ใจแข็งไม่ยอมหันหน้ามาหากันสักนิด
"นั่งทำอะไรอะ ตื่นนานแล้วเหรอ" ใบหน้าใคร่รู้พร้อมน้ำเสียงเจื้อยแจ้วเอ่ยถามไม่หยุด ด้วยความดีใจที่หาซามูร์เจอสักที
เพราะหลังจากน้ำค้างขอผละตัวออกจากอาร์ล แถมยังปฏิเสธการชวนไปดื่มกาแฟด้วยกันอย่างเสียมารยาท เป็นเพราะว่าน้ำค้างอยากวิ่งไปปลุกซามูร์ที่บ้านพักมากกว่า แต่พอไปถึงจริงกลับเจอแต่ความว่างเปล่า จนต้องออกเดินตามหาจนทั่วอาณาบริเวณเลย กว่าจะได้มาเจอคนที่ตามหาก็มานั่งจมจ่อเหม่อลอยอยู่ที่ตรงนี้นั่นเอง
ดวงตาคมมองใบหน้าฉงนของคนตรงหน้านิ่งๆ ตามสไตล์ จนโดนฝ่ามือเล็กทั้งสองข้างประกบวางลงบนแก้มซูบตอบทั้งสองข้างเช่นกัน ที่เจ้าตัวไม่คิดที่จะเอ่ยปากตอบคำถามที่เอ่ยปากถามออกไปตั้งเยอะแยะ กลับไม่ยอมตอบสักคำ
"ซามูร์ ปล่อยข้าพูดคนเดียวอีกแล้วนะ" น้ำเสียงแหวดังออกมาจากริมฝีปากที่ซามูร์ชอบฉกชิมมาหลายครั้ง
"เจ้าพูดเก่งขึ้นนะ" ใบหน้าเรียบนิ่งเมื่อครู่กลับยกยิ้มให้หลังจากที่ฝ่ามือเล็กๆ ถูกฝ่ามือใหญ่จับไปกอบกุมไว้แทน
"ใช่มั้ยละ ข้าเป็นคนเก่งก็งี้ นี่ๆ ข้าพูดภาษาถิ่นของเรดเมเปิลได้ด้วยนะ เจ้าอยากฟังมั้ย" คนเหลิงที่ถูกชมเต๊ะวางท่าพร้อมกับอยากโอ้อวดให้ซามูร์ได้ฟังภาษาถิ่นของที่นี่เพราะน้ำค้างฝึกพูดบ่อยๆ กับพวกชาวบ้านจนเก่งขึ้นเยอะแล้ว
ทว่ายังไม่ทันที่จะเอ่ยปากพูดสักคำ ก็ถูกซามูร์ส่ายใบหน้ากลับคืนให้ทันควัน แต่น้ำค้างจอมตื๊อก็ยังคงอยากอวดภูมิ จึงเริ่มเอื้อนเอ่ยเป็นประโยคง่ายๆ ออกมา จนทำให้คนที่กำลังฟังต้องนิ่งหน้าขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจเอาซะเลย
"อาร์ลสอนข้าว่า หากจะชมอาหารน่ะ ให้พูดว่าอันนี้อร่อยมาก อันนี้ข้าชอบมาก แบบนี้ๆ มันใช้คำพูดไม่เหมือนกันเลยเนอะ แล้วอาร์ลก็ยังสอนข้าอีกว่า..อ๊ะ..อื้อออ"
ริมฝีปากที่เคยส่งเสียงเจื้อยแจ้วแข่งกับเสียงนกร้องยามเข้าจึงถูกปิดสนิทจนต้องกลืนน้ำเสียงลงคอไปด้วยอวัยวะเดียวกัน แล้วเกิดเป็นเสียงอื้ออึงในลำคอหลุดออกมาแทน
อืมม..
แฮ่ก..แฮ่ก..
"ซะ..ซา..อื้อออออ"
ใบหน้าแดงก่ำหอบหายใจไม่ทันจึงต้องประท้วงคนที่จู่โจมเข้ามาแบบไม่ทันตั้งตัว แถมยังตะกรุมตะกราม ใช้ซี่ฟันขบเม้ม ดูดดึงริมฝีปากบนล้างสลับกันอยู่ได้ จนน้ำค้างหายใจแทบไม่ออกจนจะขาดอากาศตายอยู่รอมร่อ
"อึก เจ็บนะ"
มือเล็กยกขึ้นมาจับริมฝีปากล่างทันทีที่ถูกปล่อยให้เป็นอิสระ เมื่อรู้สึกถึงกลิ่นคาวคลุ้งจึงรู้ได้ในทันทีว่าปากแตกเข้าให้แล้ว
น้ำค้างจึงประเคนกำปั้นทุบลงบริเวณหน้าอกของคนที่ทำให้ตนเองต้องเจ็บปากไปสองสามทีอย่างแก้แค้นเอาคืนให้หายเจ็บใจบ้าง
"โอ๊ะ..ซี๊ดด"
น้ำค้างเงยหน้ามองคนที่มีใบหน้าเหยเก พร้อมกับหลุดเสียงหลงออกมา ราวกับว่าโดนกำปั้นทุบที่แรงแค่นี้แล้วเจ็บจนต้องร้องโอดโอยซะงั้น
"ไม่ต้องแกล้งสำออยเลย ทุบแค่นี้ทำเป็นโอดครวญเจ็บเว่อวังไปได้" นิ้วเรียวยังส่งแรงไปจิ้มจึกๆ ซ้ำลงบริเวณเดิมที่ตัวเองทุบลงไปก่อนหน้านั้นเพิ่มอีก จนซามูร์ต้องรีบคว้าข้อมือเล็กมากอบกุมเอาไว้เพื่อให้หยุดประทุษร้ายกัน
"เหอะ ที่งี้ทำเป็นเจ็บ เจ้าต่างหากกัดปากข้าจนได้เลือดเลยนะ" ดวงตากลมส่งสายตาไม่พอใจออกมา ด้วยท่าทางโกรธเคืองราวกับเด็กน้อยขี้งอน
ดวงตาคมมองตามใบหน้าเชิดรั้นอย่างเอาแต่ใจ จนซามูร์ไม่รู้จะรับมืออย่างไรแถมอธิบายไม่ถูก จึงเลือกที่จะจับมือเล็กล้วงเข้าไปภายใต้เสื้อหนังที่ซามูร์เพิ่งจะทำสวมใส่ เพื่อปกปิดรอยแผลเป็นที่ได้รับมาจากกองโจรชั่วพวกนั้นมา
"ทะ..ทำอะไรอะ"
น้ำค้างสะดุ้งพร้อมกับพยายามรั้งข้อมือเอาไว้ ไม่ยอมให้ฝ่ามือใหญ่บังคับจับไปล้วงใต้เสื้อได้ตามอำเภอใจ
ทว่าเมื่อปลายนิ้วเรียวได้สัมผัสรอยสากที่ราวกับตาเห็น มันรู้สึกเหมือนกับว่าทะลุเสื้อหนังออกมาได้เลย จึงต้องทำตาโตตกใจทันที
"ทำไม? อะไร? มันคืออะไรอะซามูร์ นี่เจ้า เจ้า" ริมฝีปากสั่นเทา เมื่ออาการตกใจจนถามไม่ได้ศัพท์กลับมาอีกแล้ว
น้ำค้างไม่รีรอให้อีกคนตอบ แต่กลับผลักซามูร์เสียหลักจนตัวเอนไปด้านหลัง พร้อมกับถลกเสื้อหนังของคนที่เสียจังหวะขึ้นไปเหนือลำคอแบบไม่รีรอคำตอบแล้ว
ดวงตาที่กลมโตอยู่แล้วกลับยิ่งเบิกกว้างให้โตเท่ากับไข่ห่านได้เลย เมื่อได้สบเห็นรอยแผลเป็นบาดลึกลงไป จนตอนนี้ได้กลายเป็นผิวเนื้อใหม่ปูดขึ้นมาแทนรอยปลายมีดที่กรีดลงลึกเอาไว้ก็ตาม
"แผลอะไรเนี่ย ไอ้พวกโจรชั่วนั่นมันทำเจ้าเหรอ ซามูร์.."
ดวงตาโตเมื่อครู่เริ่มมีหยาดน้ำใสปริ่มขึ้นมาจ่ออยู่บนขอบตา จนมันใกล้จะเอ่อร้นออกมานอกกระบอกตาอยู่รอมร่อ
ฮึก...
ซามูร์ถอนหายใจ ก่อนจะลุกขึ้นกลับมานั่งตัวตรง แล้วรีบดึงเสื้อลงกลับดังเดิม ฝ่ามือใหญ่คว้าคนน้ำตาย้อยตรงหน้าเข้ามากอดไว้แทน
จนน้ำค้างเผลอเขยิบตัวเข้าไปนั่งกอดซามูร์แบบแนบชิดโดยอัตโนมัติ ให้คนที่ถูกโอบกอดพลอยลืมเลือนเรื่องที่แง่งอนก่อนหน้าไปซะแล้ว
ฝ่ามือใหญ่แสนอบอุ่นลูบปลอบแผ่นหลังบางของคนต่างถิ่นคนนี้ที่ช่างขี้แยเสียจริง พอได้เจอน้ำค้างเป็นแบบนี้ทีไร ซามูร์จึงเริ่มเข้าใจอาร์ลแล้วว่า แม้จะอยากได้คนตรงหน้ามากขนาดไหน
แต่เมื่อได้เห็นรอยยิ้มตอนมีความสุข หรือการได้เห็นน้ำตาจากการได้พบเจอประสบการณ์เรื่องเลวร้าย มันก็ทำให้คนที่ได้สบเห็นเข้า ย่อมต้องมีอารมณ์คล้อยตามได้ทุกทีเช่นกัน
ถ้าเป็นแบบนี้ สู้ให้น้ำค้างได้กลับไปยังสถานที่ที่จากมาซะยังจะดีกว่า ต้องกลับไปทนทุกข์อยู่กับพวกเราชนเผ่าแบบนี้แน่นอน
เรียกง่ายๆ ได้ว่า สีหน้าและอารมณ์ของน้ำค้างนั้น มันช่างมีอิทธิพลต่อคนที่ได้เห็นเป็นอย่างมากนั่นเอง
น้ำค้างที่มัวแต่รู้สึกผิดเรื่องของตัวเอง ที่เป็นภาระให้ซามูร์จนโดนทำร้ายมาขนาดนี้ เพิ่งจะเริ่มรู้สึกตัวว่าตนเองนั้นอ่อนไหวง่ายกับเรื่องของซามูร์มากจริงๆ
แต่มันก็ไม่ควรจะต้องร้องไห้ฟูมฟาย จนต้องขยับตัวปีนขึ้นมานั่งบนตักไอ้ยักษ์วัดแจ้งนี่ปะ?
WTF!..
ไอ้น้ำค้างโว้ยย!!!
มึงแม่งเหมือนไปอ่อยมันเต็มขั้นเลยปะแบบเนี้ยย!!