Area 12 : ความสิ้นหวังกับชายปริศนา

2900 คำ
หลังจากวันนั้นน้ำค้างก็ไม่เคยได้เจอกับเออฟานอีกเลย ซึ่งเป็นการจากลาที่ไม่ได้บอกลากันสักคำ มันเป็นเรื่องที่โคตรเจ็บปวดสิ้นดี "จากนี้ไป ก็คงถึงคิวของกูแล้วสินะ" แววตาหม่นแสงของน้ำค้าง ราวกับการแตกสลายของหัวใจที่ถูกกระทำให้เจ็บช้ำแบบซ้ำๆ จนแทบทนไม่ไหวแล้ว หากกลายเป็นคนบ้าได้ น้ำค้างคิดว่าอยากจะเป็นบ้าไปซะเลยอาจจะดีกว่า ที่จะต้องมาทนรับรู้อะไรแบบนี้เสียด้วยซ้ำ แต่ทว่าความทุกข์ทรมานทางจิตใจของน้ำค้างยังไม่ได้จบลงเพียงแค่ได้เห็นแคดัส กับเออฟานที่ถูกพรากจากกันไปเท่านั้น ในตอนนี้น้ำค้างยังต้องกลายเป็นคนที่ต้องทนเห็นผู้คนที่ต่างถูกจับตัวมากักขังเอาไว้ และพอเมื่อถึงเวลาก็ได้หายไปแบบตำตาด้วยกันอีกสี่ถึงห้าครั้งด้วยกัน โดยที่น้ำค้างไม่สามารถช่วยเหลืออะไรใครได้อีกเลย น้ำค้างจึงทำได้เพียงแค่เหม่อลอยมองดูเหตุการณ์ที่วนเวียนผลัดเปลี่ยนผู้คน ราวกับการแลกตัวเชลยกันไปมาตรงหน้าแบบวนลูปซ้ำๆ ด้วยสายตาที่ว่างเปล่า แต่กลับไม่สามารถจะช่วยอะไรใครได้เลยสักคน เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งที่น้ำค้างรวมหัวกับคนที่ดูแข็งแกร่งและกล้าหาญ ทั้งคู่จึงได้ลองช่วยกันคิดหาทางพาทุกคนหนีไปด้วยกัน แต่กลับกลายเป็นว่าคนที่เป็นต้นเรื่องของการคิดจะพาคนอพยพหนีคนนั้น ได้ถูกฆ่าตายไปอย่างป่าเถื่อนต่อหน้าต่อตาได้อย่างง่ายดาย ราวกับพวกเขาไม่มีชีวิตจิตใจที่พวกโจรชั่วช้ามันสามารถพรากลมหายใจได้ทุกเมื่อ จนเหลือไว้เพียงแค่ซากร่างเละเทะที่ไร้วิญญาณช่างดูน่าเวทนาสิ้นดี การกระทำอันแสนจะบ้าบิ่นโหดเหี้ยมเช่นนี้ จะเรียกว่าเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดูก็ว่าได้ เพราะหลังจากเหตุการณ์นั้น น้ำค้างรู้สึกเข็ดหลาบแล้ว ก็ไม่เคยคิดที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือพยายามคิดจะช่วยเหลือคนอื่นๆ ให้พากันหนีออกไปจากรังนรกนี้อีกเลย ซึ่งไม่รู้ว่าวันเวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้ว แต่ตอนนี้น้ำค้างเหมือนกับตายทั้งเป็นไปแล้วล่ะ การมีลมหายใจอยู่ในตอนนี้ก็เหมือนกับมีเพียงแค่ร่างกายโทรมๆ แต่คงได้สูญสิ้นจิตวิญญาณไปเสียแล้ว ช่วงบ่ายของวันนี้ น้ำค้างถูกลากตัวออกไปพบกับหัวหน้าเผ่า ซึ่งได้ยินพวกลูกจ๊อกเรียกกันว่าไบจารบ่อยๆ น้ำค้างกลับไม่เคยได้เห็นใบหน้าจริงของพวกมันสักคน แต่น้ำค้างก็ไม่ได้ใส่ใจกับอะไรอีกต่อไปแล้ว แม้ว่าตอนนี้พวกมันเพ้นท์ลายที่ใบหน้าแทนการพอกโคลนแบบที่ชอบทำมาก่อนหน้านั้นก็ตาม ไม่ว่าตนนั้นจะถูกลากตัวออกไปไหน หรือ ถูกแบกขึ้นหลังม้าไปกับใครก็ตามแต่ ตอนนี้น้ำค้างนั้นราวกับเป็นเพียงแค่ซากร่างตุ๊กตาที่ไร้จิตวิญญาณไปแล้วจริง ๆ เมื่อการเดินทางด้วยม้าสิ้นสุดลง น้ำค้างที่ไม่คิดจะอยากสนใจอะไรบนโลกใบนี้อีกต่อไป แต่ทว่าเมื่อดวงตาที่ไร้ความสุกสกาวได้สบเห็นทิวทัศน์ที่เหมือนกับโลกที่เขาไม่เคยรู้จัก มีเสียงพูดคุยสื่อสารของผู้คนดังเซ็งแซ่ขึ้นมาจนเต็มสองข้างทางดุจกับตลาดชาวบ้านธรรมดา น้ำค้างจึงเริ่มกลับมาตั้งสติใหม่ได้อีกครั้ง ที่นี่ มันในเมืองเหรอ? ไม่ใช่ในป่าแล้วเหรอ? ที่นี่คือที่ไหน? ทันทีที่น้ำค้างถูกดึงร่างให้ลงมาจากหลังม้าตามไบจารแบบติดๆ ข้อมือแดงเถือกจากรอยมัดเชือกเส้นยาวเฟื้อย ราวกับใช้ลากจูงลูกสุนัขก็ถูกกระตุกลากให้ออกเดินตามไปด้วยกัน ทว่าพอก้าวขาเดินได้เพียงเล็กน้อย ดวงตาคมสบมองไปทางเบื้องหน้าที่เห็นว่าใกล้จะถึงใจกลางตลาดแล้ว ไบจารจึงหยุดก้าวขาเดินต่อแล้วหันมาปาดเชือกเส้นยาวเฟื้อยเส้นนั้นทิ้งทันที ไบจารผลักน้ำค้างให้ออกเดินตามกันมาติดๆ เมื่อเห็นดังนั้นลูกน้องคนสนิทของไบจารจึงรีบวิ่งเข้ามารับช่วงต่อในการขนาบข้างประกบตัวของน้ำค้างแทน หลังจากที่ดวงตากลมถูกแกะผ้าผูกตาออกแล้วจึงมีอาการเลิ่กลั่ก พยายามเพ่งอ่านตัวหนังสือที่เดินผ่านทุกที่ทว่าอ่านไม่ออกเลยสักนิด ซึ่งมันดูคล้ายกับตัวอักษรของทางฝั่งอาหรับหรือจะเป็นตัวอักษรของชาวชนเผ่าแถบแอฟริกา? สมองตีรวนของน้ำค้างไม่สามารถประมวณตัวอักษรพวกนี้ได้เลย น้ำค้างที่เดินๆ หยุดๆ เพื่อมองดูบรรยากาศรอบข้างของแหล่งตลาดแห่งนี้ไปเรื่อยๆ จึงทำให้เกิดภาวะการชะลอของการก้าวเท้าเดินไปข้างหน้าด้วย จนต้องถูกคนที่ขนาบข้างอยู่ขยับชิดเข้ามาประกบลาก แล้วหิ้วปีกของคนโอ้เอ้ที่มัวแต่เดินทอดน่องให้รีบก้าวขาออกเดินเร็วตามหัวหน้าเผ่าให้ทัน เพราะว่าไบจารนั้นได้ก้าวขายาวๆ มุ่งหน้าเดินนำผ่านเข้าตรอกไปจนทิ้งระยะห่างไกลกันออกไปหลายสิบเมตรแล้วด้วย เมื่อน้ำค้างเริ่มทำท่าอิดออดใส่บ้าง ทำท่าเดินช้าๆ อย่างอ่อนแรงเหนื่อยล้าให้ได้มากที่สุด พร้อมกับจู่ๆ ก็ทรุดตัวฮวบลงไปนั่งที่พื้น จนคนที่ทั้งดึงทั้งดันกันอยู่ต้องมองใส่ด้วยตาขวาง พร้อมกับมีเสียงสบทหลุดออกมาด้วย ซึ่งน้ำค้างขอเดาว่าตนเองนั้นน่าจะถูกพวกมันก่นด่าใส่กันอยู่ แต่เจ้าตัวกลับไม่สนใจแถมยังดื้อแพ่งใส่กลับไปอย่างท้าทายอำนาจ เลือกที่จะเสียงกับความตายกันไปข้างหนึ่งเลย "ข้าเดินไม่ไหว" น้ำค้างโพล่งพูดภาษาบ้านเกิดดังๆ ออกมาให้เป็นที่เตะตาต่อผู้คนที่กำลังเดินขวักไขว่ซื้อสินค้ากันอยู่ "ช่วยด้วย!!" เมื่อถูกผู้คนสนใจแล้วเริ่มหยุดมองมาที่ตรงนี้ สายตาทุกคู่ที่เริ่มจับจ้องมองไปที่กลุ่มคนแต่งหน้าแต่งกายแปลกประหลาด จนต้องสะดุดตา ยิ่งเกิดความสงสัยในการกระทำตรงนี้ จึงเริ่มพากันทยอยเดินเข้ามามุงดูเป็นกลุ่มก้อน มากขึ้น มากขึ้น "ช่วยด้วย!!" น้ำค้างยิ่งแสดงอาการดีดดิ้น เมื่อไอ้โจรสองคนที่ขนาบข้างก่อนหน้า พยายามเข้ามาใกล้หวังจะปิดปากน้ำค้างแล้วรีบแบกขึ้นบ่าฝ่าวงล้อมออกจากไทยมุงให้ได้ก่อนจะวุ่นวายมากกว่านี้ "เฮฟมี! เฮฟมีพรีส!" ทว่าน้ำค้างกลับยิ่งตะเบ็งเสียงจนสุดลำคอ ทุ่มทุนออกแรงดีดดิ้นเกลือกกลิ้งตัวลงไปคลุกฝุ่นอยู่กับพื้น จนเป็นที่ผิดสังเกตมันดูแปลกประหลาดในสายตาทุกคู่จึงต้องพุ่งเป้าให้ความสนใจทันที เมื่อผู้คนได้เริ่มทยอยเดินกันเข้ามามุงดูเยอะขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นกลุ่มก้อนขยายเป็นวงกว้าง เพื่อจะมายืนแทรกชะโงกหน้ามองดูสิ่งที่ต้องการสู่รู้บ้าง จึงได้ต่างพากันมาชะเง้อชะแง้คอยาวมุงดูเหตุการณ์ตรงเบื้องหน้าด้วยความอยากรู้อยากเห็นกันอย่างเนืองแน่น จนไม่รู้แล้วว่าใครเป็นใครแล้วตอนนี้ น้ำค้างจึงอาศัยช่วงชุลมุนวุ่นวายที่ผู้คนกำลังจ้องมองและเพ่งเล็งไปยังไอ้กลุ่มโจรพวกนั้นมากกว่าตนเองได้แล้ว คนรูปร่างเล็กที่เรียกว่าได้เปรียบในเรื่องแบบนี้ จึงได้หาทางมุดลอดออกไปทางหว่างขาของใครสักคนแล้วรีบออกตัววิ่งโกยแน่บแทบไม่คิดชีวิตออกจากที่ตรงนี้ไปในทันที แฮ่ก แฮ่ก!! ใบหน้าเหนื่อยหอบได้วิ่งทะลุออกมายังโพรงประตูหินสักแห่ง แล้วตรงเบื้องหน้านี้เหมือนกับว่ามันเป็นตรอกแคบๆ คนหอบหายใจถี่ขอพักยกสักห้าวินาทีแล้วค่อยออกวิ่งต่อ ในขณะที่น้ำค้างกำลังเหนื่อยหอบจนตัวโยน ต้องรีบโกยออกซิเจนเข้าปอดอย่างแรงด่วน กลับมีเสียงฝีเท้านับสิบวิ่งตรงมาทางนี้ด้วย แววตาเลิ่กลั่กบังเกิดขึ้นอีกหน จากที่กำลังโน้มตัวแปะพิงพักข้างผนังให้หายเหนื่อยสักหน่อย ก็ดูเหมือนว่าจะทำแบบนี้ต่อไม่ได้เสียแล้ว สองขาที่ถูกใช้งานหนักอึ้งจนแทบจะหมดเรี่ยวแรงอยู่รอมร่อ แต่ก็จำต้องยอมฝืนก้าวมันให้วิ่งออกไปข้างหน้าต่อให้ได้ ถ้าไม่อยากจบเห่อยู่ตรงนี้ เมื่อน้ำค้างคิดว่าตนเองวิ่งหนีจนสุดชีวิตแล้ว แต่กลับยังถูกคว้าตัวได้ทันอยู่ดี สีหน้าเหี้ยมเกรียมของโจรที่วิ่งตามล่าไล่หลังมาแบบติดๆ ทั้งห้าหกคน ก็ทำให้น้ำค้างรู้ชะตาล่วงหน้าได้แล้วว่ามันน่าจะขาดสะบั้นอยู่ตรงนี้แล้วแหละ แต่มีรึที่คนแบบน้ำค้างจะยอมจำนนกับอะไรง่ายๆ เจ้าตัวก็ยังคงคิดที่จะต้องพยายามฝืนวิ่งหนีออกไปข้างหน้าลูกเดียวตราบใดที่ยังไม่เจอเข้ากับทางตัน เพื่อเอาชีวิตรอดให้ได้จนดูเหมือนคนบ้าคลั่งหนีตายไปแล้ว จนกระทั่งวิ่งไปกระแทกชนเข้ากับร่างของใครสักคน ปึก! "ah Sorry!" คนมารยาทดีขนาดวิ่งหนีตายยังรีบเอ่ยขอโทษหลุดปากออกมาด้วยความเคยชินติดปาก ใบหน้าอาบเหงื่อ พ่นเสียงของลมหายใจหอบเหนื่อยออกมา พลางมองไปทางคนร่างสูงที่สวมหมวกปีกใบใหญ่ปกปิดใบหน้าไว้จนมิดชิด ซึ่งน้ำค้างได้ปะทะชนเข้าอย่างจัง จนแทบจะหงายหลังลงไปกระแทกพื้นเอง หากไม่ได้ท่อนแขนที่มีกล้ามคว้าข้อมือเล็กเอาไว้ได้ทัน น้ำค้างไม่สนใจอีกต่อไป ว่าคนตรงหน้าจะเป็นใคร ขอแค่เพียงตนได้เปล่งเสียงออกมาเพื่อขอความช่วยเหลือก็พอ "Help me! คุณ! ช่วยผมด้วยนะ Help me please!" ใบหน้าตื่นตระหนกเอ่ยปากเว้าวอนขอร้องคนตรงหน้ารัวเร็วจนมิกซ์ปนภาษารวมกันไปหมด จนคนที่ถูกพูดใส่ต้องขมวดคิ้วขึงทันที แต่ทว่าชายที่สวมหมวกใบใหญ่ได้หันกลับไปสบมองพวกที่กรูวิ่งตามเข้ามาสมทบ จึงรับรู้และเข้าใจได้ทันทีว่าคนที่หวาดกลัวตรงหน้านี้ คงจะถูกนำมาค้าขายให้ไปเป็นทาสในตลาดมืดแห่งนี้แน่นอน "นั่นคนของบ้านข้า มันเพิ่งจะหนีมา" หนึ่งในกลุ่มโจรเร่งเร้าพูดออกมาด้วยเสียงดังฟังชัด ชายแปลกหน้าที่น้ำค้างชนเข้าถึงกับต้องหันกลับมามองจ้องยังใบหน้าที่เอาแต่ส่ายหน้าระรัวไปมาอย่างหน้าซีดเผือด พร้อมกับมีน้ำตาแห่งความหวาดกลัวไหลอาบนองอยู่เต็มใบหน้าโดยอัตโนมัติ ดวงตาคมที่ถูกปีกหมวกใบใหญ่ปกปิดเอาไว้ ได้เลื่อนสายตามองดูสองแขนที่มีแต่รอยแดงเถือกจากการถูกเชือกมัดเอาไว้ตรงบริเวณข้อมือมาก่อนด้วย เมื่อเห็นดังนั้น ชายผู้ที่เข้ามาแทรกแซงกันอยู่ จึงได้ขยับเอาตัวเองขึ้นมายืนมาบังร่างของคนที่เอาแต่ร้องไห้ฟูมฟายอยู่ด้านหลังแทน "ถ้าเจ้านี่เป็นทาสบ้านเจ้าจริง แล้วจะมาวิ่งเล่นไล่จับกันแบบนี้ทำไมรึ เจ้าว่าจริงหรือไม่" เมื่อสิ้นประโยคคำถาม พวกโจรกลับมีสีหน้าจืดเจื่อนเกือบถูกจับไต๋ได้ จึงละล่ำละลักพูดตอบโต้ออกมาบ้าง "ก็เจ้านายข้าให้มันออกมาซื้อของ แต่มันกลับดันวิ่งหนี พวกข้าถึงต้องตามมันกลับไปอยู่นี่ไง" แววตาเลิ่กลั่กบางคนในกลุ่มโจรปิดบังความไม่น่าไว้ใจเอาไว้ไม่มิด ชายผู้ที่เปรียบเสมือนพระเจ้าในสายตาของน้ำค้าง ก็ยังคงเคี่ยวกรำเค้นหาเอาความจริง แบบต่อปากต่อคำอย่างไม่ลดละกับพวกกลุ่มโจรโดยที่ไม่นึกเกรงกลัวพวกมันเลยสักนิด "อย่างนั้นรึ แต่ข้าว่า การค้าทาส หากเจ้าตัวเต็มใจก็ไม่จำเป็นต้องคิดหนีเจ้านายสิ นอกเสียจาก..จะโดนพวกโจรลักลอบขโมยจับตัวเขาเอามาขายเอง โดยที่เจ้าตัวเขาไม่ยินยอมรึเปล่า พวกเจ้าคิดเหมือนกันกับข้าไหมละ" หลังจบประโยคพวกโจรหันขวับไปมองหน้ากันอย่างเลิ่กลั่กทันที เพราะกลัวว่าจะถูกจับดำเนินคดีบนเกาะริชแห่งนี้แล้วชีวิตจะหาไม่ รวมไปถึงครอบครัวและลูกเมียจะพลอยซวยเดือดร้อนไปด้วย ริมฝีปากเข้มภายใต้หมวกปีกใบใหญ่แสยะยิ้ม เมื่อเห็นความผิดปกติจากกลุ่มชายฉกรรจ์ตรงหน้าก็พอจะคาดเดาและมั่นใจแล้วว่า พวกนี้เป็นพวกค้ามนุษย์แน่นอน "ถ้าเจ้านี่เป็นทาสบ้านของเจ้านายพวกเจ้าจริง ก็เพียงแค่นำใบค้าทาสสัญญาทาสไปยื่นกับทางบ้านโพลิสก็แล้วกัน" "นี่เจ้า! จะมากไปแล้วนะ บังอาจมายุ่งกับคนของคนอื่น" หนึ่งในหกโจรทนไม่ไหวแล้ว จึงใช้ไม้เด็ดคิดว่าคำพูดดุดันที่แสดงออกมานั้น จะสามารถต่อกรกับชายแปลกหน้าตรงหน้าได้ แต่กลับได้ผลตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง "ยังไงข้าก็ให้เจ้านี่กลับไปกับพวกเจ้าไม่ได้หรอก ที่นี่มันเป็นเมือง มีกฎหมาย หากเจ้านายของพวกเจ้ายังต้องการได้ตัวเขากลับคืน ก็ไปแจ้งเอาที่บ้านโพลิสนะ" คนที่ยื่นมือเข้าช่วยน้ำค้างพูดจบแล้วก็คว้าท่อนแขนที่มีแต่รอยแดงเถือกติดมือไปด้วยทันที จนทำให้พวกโจรยืนกัดฟันกรอดอยู่เบื้องหลัง พวกกลุ่มโจรนั้นไม่คาดคิดว่าเมืองเล็กๆ แบบนี้จะมีคนหัวหมออยู่ ทั้งที่คิดว่าจะมีแต่ชาวบ้านโง่ๆ และมีเพียงกลุ่มอิทธิพลที่ลักลอบค้ามนุษย์และอาวุธเถื่อนเท่านั้นที่กล้าต่อกรกับกฎหมายเสียอีก แต่ในกรณีนี้หากพวกตนกลับไปมือเปล่าไร้ร่างของไอ้สินค้าตัวประหลาดแบบนั้น ไบจารต้องเด็ดหัวพวกเขาออกจากบ่าเป็นแน่ ดังนั้นคงต้องประลองฝีมือกับคนตรงหน้าอย่างกลัวตายไม่ได้แล้วล่ะ หลังคิดได้เช่นนั้น กลุ่มโจรก็วิ่งกรูกันเข้าไปปะทะเข้ากับชายผู้ที่เข้ามาขัดขวางช่วยน้ำค้างทันที แต่เมื่อกลุ่มโจรเพียงแค่คว้ามืดพกด้ามสั้นออกมา หวังจะฟันแทงกับชายแปลกหน้า ทว่ายังไม่ทันจะได้ขว้างปามีดใส่ หรือแม้แต่ได้เข้าใกล้ประชิดตัวกับชายผู้นั้นได้เลยแม้นแต่ปลายเส้นผม กลายเป็นพวกกลุ่มโจรทั้งหกคนเสียเอง ที่ได้รับรอยแผลปรากฎอยู่บนร่างกายอย่างไม่ทันตั้งตัว ซ้ำยังมีหนึ่งในหกของกลุ่มโจรที่โดนขยุ้มกลุ่มผมบนหัวเอาไว้จนแน่น พร้อมกับถูกจับอาวุธในมือของตนเองบังคับให้จอจี้ กดลงที่ลำคอของตนเองอยู่อีกด้วย จึงทำให้กลุ่มโจรที่เหลือต้องแตกตื่นและยอมล่าถอยห่างออกไปแต่โดยดี "ข้าบอกแล้วไงว่าถ้าหากเจ้านี่เป็นทาสบ้านเจ้านายของพวกเจ้า ก็แค่ให้เขาเอาใบแสดงความเป็นเจ้าของไปยืนยันกับทางบ้านโพลิสก็จบเรื่องแล้ว มันยากตรงไหนกัน" เมื่อชายปริศนาบอกกล่าวจบ ก็ผลักร่างคนที่ถูกใบมีดแหลมคมจ่อเข้ากับลำคอจนได้เลือดซึมออกมาให้ทรุดตัวนั่งลงไปกับพื้น ส่วนน้ำค้างที่ยืนตัวสั่นขาแข็งอยู่ข้างๆ ราวกับอึ้งกิมกี่อยู่ จนต้องถูกกระตุกท่อนแขนอย่างไม่เบามือ คนที่เพิ่งจะรู้สึกตัวต้องรีบขยับขากึ่งวิ่งกึ่งเดินเร็วตามให้ทันคนที่เดินนำหน้ากันลิ่ว "ขะ..ขอบคุณครับ" น้ำค้างเลิ่กลั่กไปหมด ความหวาดกลัวหวาดระแวงมีเพิ่มขึ้นอีกเท่าทวีคูณ เพราะไม่รู้ว่าตนเองนั้นกำลังหนีเสือปะจระเข้อยู่รึเปล่า แต่เมื่อชายผู้นี้นำตัวน้ำค้างไปส่งไว้ที่บ้านโพลิสตามย่างที่บอกกล่าวไว้กับพวกโจรนั่นจริง ตอนนี้น้ำค้างจึงถูกสอบสวนอยู่ด้วยภาษาที่ฟังไม่รู้เรื่องและไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด จนแทบอยากจะร้องไห้โฮออกมาอีกสักหลายๆ รอบ แล้วชายผู้ที่เปรียบเสมือนกับเทพเจ้าคนนั้น ก็ได้ทอดทิ้งน้ำค้างแล้วอันตรทานหายตัวไปอย่างไม่คิดไยดีกันเลยด้วยซ้ำ กระทั่งน้ำค้างพยายามพูดภาษาชนเผ่าที่ได้เรียนรู้ออกมา นายตำรวจที่กำลังสอบถามอย่างหน้าดำคร่ำเคร่งอยู่นานสองนาน จนต้องถอนหายใจไปมากกว่าสิบรอบถึงกับยิ้มแผล่ออกมาได้สักที หลังจากเวลาผ่านไปนาน จนตะวันคล้อยต่ำแทบจะหมดแสงของวันแล้ว ก็ได้มีชายแต่งตัวแปลกๆ ปรากฏตัวเดินเข้ามาหากัน ซึ่งดูเหมือนว่าเขาคนนี้จะสนิทกับทางตำรวจเสียด้วย คนคนนี้คงมาเป็นล่ามให้กูสินะ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม