Area 6 : ความหวังว่าต้องกลับบ้านได้แน่!

3165 คำ
แซก.. แซก.. ซามูร์เดินไปสำรวจรอบๆ บริเวณบ่อของน้ำตกแห่งนี้ หลังจากปรายหางตาเขาสังเกตเห็นเงาคนตะคุ่มที่แฝงอยู่ตรงต้นไม้ใหญ่ เมื่อดวงตาคมเห็นเพียงปราบเดียวด้วยสัญชาตญาณในการเป็นพลสำรวจนั้น ทำให้สองขายาวออกตัววิ่งไปเองโดยอัตโนมัติ จิ๊! ทว่ากลับไม่สามารถจับคนผู้นั้นที่มาแอบลอบมองได้ หลงเหลือไว้ให้ดูเพียงแค่รอยเท้าเพียงแค่นั้น ริมปากสีเข้มขบเม้มแน่น ดวงตาหรี่มองจับจ้องไปทั่วสารทิศ ทว่าก็ไม่เจอกับความผิดปรกติใดๆ แล้ว ซามูร์จึงเลือกที่จะเดินกลับมายังสระมรกตที่เดิม สองขาเดินมาหยุดอยู่บริเวณสระมรกตที่ควรจะต้องมีร่างเด็กหนุ่มประหลาดลอยคออยู่สิ แต่ไฉนกลับไร้ร่องรอยของคนที่ควรจะอยู่ตรงนี้ไปซะได้ ใบหน้าคมเข้มเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งกลับเคร่งขรึมจนดูน่ากลัวหากใครได้พบเห็นในตอนนี้ "หายไปไหน" ซามูร์บ่นออกมา พร้อมกับสอดส่องมองหา สองขายาวก้าวเท้าเดินตามหาร่างที่หายไปตามซอกตามมุม เมื่อคนที่ออกตามหาควักๆ เจอเข้ากับรองเท้าคู่แปลกตาแต่เคยเห็นมาหลายต่อหลายวันที่อยู่ร่วมกันแล้ว จึงรู้ได้ว่าร่างที่กำลังตามหานั้นต้องอยู่แถวนี้แน่นอน ซามูร์ลัดเลาะเดินลงมาตามซอกหิน หากไม่สังเกตให้ดีจะไม่สามารถเห็นหัวกลมๆ กับเส้นผมสีดำ ของคนที่เอาแต่ยกมือขึ้นมาแปะติดกันไว้ตรงหน้าอกได้เลย ฝ่ามือใหญ่เอื้อมมือเข้าไปแตะลงที่ลาดไหล่บาง "เฮือก ไอ้สัส!!!" ร่างที่สะดุ้งเฮือกมีใบหน้าซีดเผือดพร้อมกับเปล่งเสียงลั่นออกมา สองมือที่เอาแต่พนมสั่นเทิ้มกลับโบกสะบัดตีอากาศ อาละวาดออกมาแบบไม่ลืมหูลืมตาไม่สนว่าตรงหน้าจะเป็นใครแล้วเพราะอาการหวาดกลัวและควบคุมสติไม่ได้ ซามูร์ปัดป้องไม่ไหวจึงเลือกที่จะดึงร่างตรงหน้าเข้ามากอดรัดเพื่อระงับความกลัวจนตัวสั่นเอาไว้แทน ฮึก ๆ ร่างเล็กในอ้อมกอดอันอบอุ่นเริ่มนิ่งสงบลงไปแล้วทว่าเสียงสะอื้นไห้ยังคงดังออกมาให้คนกอดเอาไว้ได้ยิน ซามูร์ไม่เคยปลอบประโลมใครมาก่อน และไม่รู้ว่าจะต้องพูดปลอบยังไง แต่ถึงจะพูดอะไรออกมาก็ฟังกันไม่รู้เรื่องอยู่ดี เขาจึงเลือกกอดอีกคนนิ่งๆ เอาไว้แทน เมื่อรู้สึกได้ถึงร่างบางตรงหน้าหายหวาดหวั่นแล้ว ฝ่ามือใหญ่จึงช้อนใบหน้าเล็กให้ขึ้นมามองกันก่อนจะค่อยๆ บรรจงปาดน้ำตาออกจากใบหน้าแดงก่ำหลังจากผ่านการร้องไห้มา "ซามูร์ ข้าชื่อซามูร์" ซามูร์เริ่มแนะนำตัวเอง แต่ไม่รู้ว่าคนตรงหน้าจะเข้าใจหรือเปล่า "ซะ..ซามูร์?" น้ำเสียงติดสั่นลองออกเสียงตาม จนเจ้าของชื่อจ้องมองกลับมาด้วยสายตาอ่านยาก แต่ซามูร์ก็พยายามจะถามอีกคนคืนโดยการชี้กลับคืนไป "อะไรอะ ซามูร์คืออะไร ชื่อมึงเหรอ? ไม่เข้าใจเลยเว้ย" น้ำค้างกลับทำหน้าฉงนกลับคืน จนซามูร์ผู้ที่รอฟังก็ไม่รู้เรื่องเช่นกัน เจ้าตัวพรูลมหายใจออกมาก่อนที่จะดึงให้คนที่คลายอ้อมกอดออกจากกันลุกขึ้นด้วย เมื่อทั้งคู่ลุกขึ้นยืนแล้ว ความสะอาดนวลตาของคนที่เพิ่งจะอาบน้ำมา จึงประจักษ์ต่อสายตาคู่คมได้อย่างชัดเจน ตึก ตึก ตึก ตึก ซามูร์รู้สึกว่าก้อนเนื้อหน้าอกด้านซ้ายของเขาเต้นผิดจังหวะขึ้นมาอีกแล้ว แถมยังเสียมารยาทที่ไม่สามารถละสายตาไปจากเนินจุกสีอ่อนทั้งสองข้างได้เลย บ้าไปแล้ว! ไอ้เด็กหนุ่มประหลาดนี่ก็เป็นผู้ชายนะเว้ยไอ้ซามูร์!! ด้วยความที่น้ำค้างเริ่มเห็นปฏิกิริยาของคนตรงหน้านิ่งค้างไปชั่วขณะแล้ว สองมือที่ทิ้งข้างลำตัวก่อนหน้ามีอันต้องยกขึ้นมากอดอกปกปิดร่างกายเปลือยเปล่าของตนเองไว้ทันที น้ำค้างจึงรีบหันหลังให้กับคนตรงหน้าแทน แล้วพยายามเอื้อมมือคว้าหยิบเสื้อกับกางเกงลงมาเพื่อจะใส่กลับไปให้เหมือนเดิมโดยเร็ว ทว่าเมื่อยิ่งเขย่งให้สูงขึ้นมากเท่าไหร่แล้ว แต่ก็ยังหยิบไม่ถึงเสียที ปลายเท้าเล็กจึงได้ลองพยายามกระโดดกระเด้งเทคตัวให้สูงขึ้น จนไปเหยียบเข้ากับก้อนหินจึงทำให้บาลานซ์ตัวไม่ได้แล้วเกิดเซถลาไปด้านหลัง เหวออออ คนเสียหลักมีอาการหน้าเสียทันควัน กลัวว่าตนต้องล้มก้นจำหินจนเจ็บตัวอีกเป็นแน่ จึงหลับตาปี๋ยอมจำนนรอรับการกระแทกลงพื้น แต่ว่ากลับไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด แต่กลับสัมผัสได้ถึงท่อนแขนอันอบอุ่นมารองรับตัวเอาไว้ น้ำค้างยิ่งสะดุ้งเฮื้อกแทน เพราะมันกลับทำให้รู้สึกถึงอุณหภูมิของสองร่าง ที่ท่อนบนเปลือยเปล่าทั้งคู่แต่ต่างไซซ์แล้วผิวเนื้อได้มาแนบชิดกันมากจนเกินไป "พอแล้วๆ ข้าไม่เป็นไร" น้ำค้างรีบขืนตัวออกจากท่อนแขนที่รองรับตนเองไว้ ราวกับกุ้งลวกที่สะดุ้งน้ำร้อน สายตาคู่คมอ่านยากเอาแต่จ้องมองแผ่นหลังนวลเนียนที่หันมาให้มองกันแทน จนกระทั่งน้ำค้างสวมใส่เสื้อผ้าชุดเดิมเสร็จแล้ว ซามูร์ถึงเพิ่งจะนึกได้ว่าเขาเอาผืนผ้าชุดนั้นที่ได้มาจากซาเดียวางไว้ตรงแถวพุ่มไม้นู้น แต่เมื่อลองมองอีกคนที่ใส่ชุดเดิมเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงไม่ได้เอ่ยขัดอะไรออกมา สองขายาวเลือกที่จะก้าวเดินนำออกมาจากกองโขดหิน เพื่อไปเก็บผ้าผืนนั้นกลับไปยังบ้านพักด้วย ซามูร์หันหลังกลับไปมองคนที่เดินตามกลับมาด้วยความเชื่องช้า เมื่อสังเกตท่าทางการเดินจึงรู้ได้ว่า การจะหงายหลังล้มของคนซุ่มซ่ามเมื่อครู่ ทำให้คนที่กำลังก้าวเดินกะเผลกนั้นขาแพลงเข้าให้แล้ว น้ำค้างเห็นคนที่เดินนำหน้าไม่ยอมเดินต่อ เขาจึงเก้กังทำอะไรไม่ถูกไปด้วย ใบหน้าผ่องใสจึงยกยิ้มแหยๆ กลบเกลื่อนแทนคำพูดที่คิดว่าไม่น่าจะมีวันสื่อสารกันรู้เรื่อง ซามูร์ยืนมองดูนิ่งๆ แต่ก็ไม่พูดอะไร แสร้งทำเป็นเดินนำหน้าต่อด้วยการก้าวขาให้ยาวมากกว่าเดิม "เห้ย! เห้ย! ไอ้ยักษ์รอก่อน เห้ย รอด้วยดิ" น้ำค้างพยายามรีบจ้ำเท้าตามคนข้างหน้าที่ดูเหมือนกับว่าจะรีบเดินตามควายไปไหนยังไงยังงั้น "แม่ง เดินไม่รอกูเลยนะเมิ้ง" ริมฝีปากบางเริ่มบ่นกระปอดกระแปดและเริ่มรู้สึกว่าข้อเท้ามีอาการเจ็บจี๊ดขึ้นมาแล้ว น้ำค้างจึงต้องเลือกที่จะชะงักตัวหยุดขาเดิน นัยน์ตาสีอ่อนสั่นระริกอีกครั้ง เมื่อเห็นแค่แผ่นหลังกว้างด้านหน้านั้น เริ่มเลือนหายลับตาไปไกลแล้ว "ช่างแม่งเหอะ เดี๋ยวกูเดินกลับเองก็ได้" ริมฝีปากบู้บี้เอาแต่บ่นนุ้บนิ้บก่อนจะก้มตัวลงไปลูบคลำบริเวณข้อเท้า ที่เกิดอาการเจ็บขึ้นมาซะดื้อ ๆ ซะงั้น ดวงตากลมสั่นไหวเมื่อสบเห็นรอยแผลเก่าของการถูกต้นไม้พิษเล่นงานมาเมื่อต้นสัปดาห์ก่อน "ดวงกูซวยอะไรเบอร์นี้วะเนี่ย แผลเก่ายังไม่หายดี เสือกมาขาแพลงเจ็บข้อเท้าอีกละ” คนตัดพ้อต่อโชคชะตาของตัวเอง จึงเลือกที่จะทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นหญ้าแทนการเดินต่ออย่างน้อยเนื้อต่ำใจไปซะแล้ว ซามูร์เริ่มรู้สึกเหมือนไม่ได้ยินเสียงลากฝีเท้าของคนที่ต้องเดินตามหลังมา จึงได้หันหลังกลับมาดูซึ่งก็ไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะน่าจะเป็นไปตามที่คาดคิดว่าเจ้าตัวป่วนนั่นคงจะเดินไม่ไหวแล้ว ใบหน้าเรียบนิ่งยืนคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงลองเดินย้อนกลับมาตามทางเดิม ดวงตาคมจึงได้สบเห็นว่าเด็กหนุ่มประหลาดนั่นนั่งจุ้มอยู่กับพื้นโดยไม่ยอมเดินต่อเสียแล้ว ร่างสูงใหญ่เดินตรงเข้ามาหาคนที่กำลังกดนวดบริเวณข้อเท้าอยู่ ถึงแม้เจ้าตัวยังไม่ทันเอ่ยปากทักทวงถามใดๆ ออกมา ซามูร์ก็เลือกที่จะช้อนตัวคนเจ็บขาขึ้นมาออกเดินไปด้วยกันแทน "เห้ยย ทำเหี้xไรอีกเนี่ย ปล่อยเลย กูเดินเองได้" มือเล็กที่ดูแสนจะเกะกะในตอนนี้ เอาแต่ปัดป่ายทุบตีไปยังหัวไหล่กว้างบ้าง แผงอกแกร่งบ้าง ตีสะเปะสะปะไปหมดจนซามูร์เริ่มรำคาญและเอือมระอาใจ "ปล่อย ก็กูบอกให้ปล่อยไงเล่า" แรงตีเพิ่มระดับขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ซามูร์ยอมปล่อยร่างคนที่เอาแต่ดีดดิ้นให้หลุดมือลงไปเองเลย ตุ๊บ..อึก! "ไอ้เหี้-เอ๊ย เจ็บนะเว้ย! นี่ไอ้ยักษ์ มึงแกล้งกูเหรอ?" ใบหน้าหาเรื่องทว่ากลับส่งแววตาตัดพ้อให้คนที่ยืนนิ่งๆ มองดูตนเองร่วงลงมานั่งจุมปุ๊กอยู่ที่พื้นด้วยใบหน้าเรียบนิ่งเท่านั้น "แม่งเอ๊ย เจ็บกว่าเดิมอีกกู" ฝ่ามือเล็กเปื้อนคราบฝุ่นปัดเศษดินเศษหญ้าออกจากตัวพลางบ่นไปด้วยอย่างไม่พอใจ น้ำค้างพยายามพยุงตัวลุกขึ้นยืนให้ได้ และได้พยายามก้าวขาเดินหนีไอ้ร่างยักษ์ปักหลั่นงี่เง่าตรงหน้านี้ออกไปให้ไกลมันซะ ทว่าก้าวขาเดินกะเผลกได้แค่สองสามก้าว จึงรู้สึกได้ถึงแรงช่วยพยุงด้านข้าง เพื่อไม่ให้คนเจ็บลงน้ำหนักที่ขามากจนเกินไป ตอนขามาอาบน้ำก็เดินกันได้เองแบบปกติ ทว่าขากลับดันต้องมีคนช่วยพยุงกลับเข้าบ้านซะงั้น ซามูร์มองไปที่คนเจ็บขาก่อนจะละตัวออกไปนอกบ้าน แล้วเข้าไปยืนคุยกับชาลรีเกี่ยวกับเหตุการณ์ในวันนี้ด้วยใบหน้าเคร่งขรึม จนทำให้คนมองตามถึงกับอยากรู้ด้วยเลยว่าสองคนนั้นคุยอะไรกันอยู่ "แม่งไม่ใช่วางแผนจะพากูไปย่างไฟแดกกันอีกนะ" คนมองโลกในแง่ร้ายระความหวาดระแวงขมวดคิ้วพลางนั่งลูบบริเวณข้อเท้าที่เจ็บป้อย ๆ น้ำค้างรู้สึกกว่าตั้งแต่ตนเองได้ทะลุมาที่แห่งนี้แล้วลำบากลำบนไม่พอ ยังเกิดแต่เรื่องที่ต้องได้เจ็บตัวตลอดด้วย "เอ๊ะ! หรือกูกำลังตกนรกอยู่วะ" น้ำค้างนั่งคิดพลางดึงแก้มของตัวเองจนโย้ยืดออกมาอยู่บนแคร่ไม้ ด้วยใบหน้าท่าทางที่ดูแสนจะตลกสำหรับสายตาของคนที่เพิ่งจะเดินออกไปเมื่อครู่ แล้วได้เดินกลับเข้ามายอบตัวนั่งลงอยู่ข้างกันแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ฝ่ามือหยาบกร้านคว้าข้อเท้าน้ำค้างขึ้นมาดูอย่างวิสาสะ จนอีกคนอิดออดขืนขาหนีแล้วรีบยกขาเก็บขึ้นบนแคร่โดยไว "ดื้อจังวะ" ใบหน้าดุขมึงจ้องมองด้วยแววตาเขม็ง จนคนดื้อดึงเมื่อครู่ ยอมจำนนเมื่อรู้ว่าอีกคนต้องบ่นใส่อยู่แน่ๆ จึงยอมสยบต่อสายตาคู่คมน่ากลัวแล้วยอมนั่งนิ่งๆ ให้อีกคนได้จับลูบข้อเท้าตามสบายเลย "เดี๋ยวกินข้าวแล้วต้องไปให้พ่อหมอดามขานะ มีแต่เรื่องเจ็บตัวตลอด" แม้นจะพูดคุยกันไม่รู้เรื่องแต่น้ำค้างก็พอจะเดาได้ ว่าคนตรงหน้าพูดว่าอะไรใส่กัน คงจะหนีไม่พ้นเรื่องที่ต่อว่าเขานี่แหละ "อะไรวะ แค่นี้ก็ต้องโหดใส่ตลอด กูแม่งก็จะไปรู้เหรอว่าปีนี้กูดวงตกปะ เอ๊ะ หรือกูแม่งดวงชงแบบ100% วะ" น้ำค้างบ่นอุบอิบคืนบ้าง จนได้รับสายตาฉงนติดดุส่งมาให้ ☘ อาหารมื้อค่ำมื้อนี้ทำเอาคนแปลกหน้าในพื้นที่ต่างแดน มีแววกินจุอยู่มาก คงเพราะน้ำค้างรู้สึกเจริญอาหารขึ้นมาได้บ้างแล้ว หรืออาจจะเป็นเพราะเนื่องจากทีมออกล่าหาอาหารได้หมูป่าติดไม้ติดมือกลับมาด้วย จึงได้นำมาทำเมนูหมูอบหินให้ได้กินอิ่มอร่อยกันทั่วหน้า ซามูร์พยุงตัวคนซุ่มซ่ามจนได้เรื่องให้แยกตัวออกมาก่อน เนื่องจากน้ำค้างเริ่มมีอาการขาบวมแล้ว ทั้งคู่จึงได้ประคองตัวพากันเดินไปทางบ้านท่านพ่อเฒ่าอีกรอบ พ่อหมอเมื่อได้เห็นสภาพขาบวมปูดของคนไข้ที่นั่งรออยู่บนแคร่ไม้แล้วก็เอาแต่ส่ายหัวไปมา เพราะตั้งแต่ไอ้เจ้าคนต่างถิ่นสุดประหลาดคนนี้เข้ามาก็มีแต่เรื่องให้ตัวเองเจ็บตัวตลอด หลังถูกพ่อเฒ่าบ่นเสร็จสรรพพร้อมกับพันขาให้แล้ว ระหว่างทางที่ทั้งคู่กำลังพากันกลับห้องพัก จึงได้พบกับชาลรีเข้าราวกับว่ามายืนดักรอกันอยู่ ซึ่งเมื่อซามูร์ได้เห็นสีหน้าของชาลรีที่ไม่สู้ดีนัก จึงพยักพเยิดให้น้ำค้างไปนั่งรออยู่แถวกองไฟ ที่ได้สุมเอาไว้ไล่ยุ่งด้านข้างเพิงพักของผู้ตรวจเวรเสียก่อน น้ำค้างจึงจำต้องโขยกเขยกเดินไปหย่อนกายนั่งลงบนขอนไม้ เพื่อรอสองคนหน้าคุ้นเคยให้คุยธุระกันให้เสร็จเรียบร้อยเสียก่อน แต่ดูจากสีหน้าท่าทางแล้ว เหมือนจะคุยกันอีกนาน แถมยังคอยลอบมองมาทางนี้ด้วยราวกับว่ากำลังคุยเรื่องของตนเองอย่างไรอย่างนั้น ว่าแต่คุยกันแค่นี้ต้องตีหน้าเคร่งเครียดขนาดนั้นเลยเหรอ ระหว่างที่น้ำค้างนั่งมองชาวบ้านที่ทยอยกันเดินกลับเข้าบ้านไปบ้างแล้ว จึงได้ละสายตามองไปทางคนเดินตรวจเวรยามบ้าง โดยไม่ได้จดจ่อพักสายตาที่ใดเป็นพิเศษ จนได้สบเห็นหัวหน้าเผ่าเดินเข้ามาหาและทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ กัน ริมฝีปากบางยกยิ้มต้อนรับหัวหน้าเผ่าทันที จนได้รับรอยยิ้มและคำทักทายกลับคืนมา น้ำค้างเริ่มเอ่ยปากชวนอีกคนคุยในสิ่งที่ตนเองอยากรู้หลายอย่าง เมื่อคุยกันไปได้สักพักเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากก็เกิดขึ้นสลับกับคำพูดภาษาอังกฤษปนไปกับภาษาของชาวชนเผ่าถิ่นนี้ด้วย ทำให้ซามูร์ที่ยืนคุยอยู่กับชาลรีถึงกับต้องละสายตามองมาทางน้ำเสียงเจื้อยแจ้วพูดคุยสนุกสนานกันอยู่นั่น และเจ้าของเสียงหัวเราะร่าคนหน้าเป็นทันที คนร่างใหญ่เบรกการพูดคุยกับชาลรีเอาไว้โดยอัตโนมัติ อีกทั้งยังเผลอสั่งให้ชาลรีแยกย้ายกลับเข้าที่พักไปได้แล้ว ส่วนทางด้านตนเองนั้นเลือกที่จะเดินแทรกตัวเข้ามานั่งลงด้านข้างคนต่างถิ่นด้วย ซามูร์ขมวดคิ้วฉับ เมื่อได้ลองฟังทั้งคู่สนทนากันแล้ว แต่กลับไม่รู้เรื่องราวด้วยเลย จนรู้สึกงุ่นง่านภายในใจอย่างไม่รู้สาเหตุ "ข้าสอนน้ำค้างให้พูดภาษาถิ่นของเรา เผื่อว่าจะได้จำเอาไปใช้ได้บ้าง" ลาฟี่มองเลยใบหน้าของน้ำค้างไปแล้วพูดกับคนน่าฉงนที่แสดงแววตาแสดงความไม่พึงใจออกมาอย่างนอกหน้า แบบที่ลาฟี่คิดว่า เจ้าตัวคงจะไม่รู้ตัวเองแน่นอน ลาฟี่จึงได้เป็นฝ่ายชี้แจงให้ซามูร์คลายความสงสัยและคลายความกังวลใจแทน เมื่ออากาศเริ่มเย็นลงอีกแล้ว ทั้งสามคนจำต้องแยกย้ายตัวกัน เมื่อสัมผัสได้ถึงว่าเวลาพลบค่ำมากจนเกินไปแล้วเดี๋ยวน้ำค้างจะเริ่มลงมาเยอะแล้วทำให้หัวเย็นจนป่วยไข้ได้ "แคร่นี้แข็งจังเลย ข้าคิดถึงฝูกนอนนิ่มๆ ของข้าจัง" ริมฝีปากกระจับเอื่อนเอ่ยอุบอิบออกมาอยู่คนเดียว เพราะคิดว่าถึงจะพูดอะไรออกมาอีกคนก็ไม่เข้าใจอยู่ดี น้ำค้างมองตามแผ่นหลังหนาเดินไปทางที่หัวนอนก่อนจะเอื้อมแขนยาวๆ ดึงฝาหน้าต่างให้แง้มลงมามากกว่าปกติ "ฝน ฝนจะตกเหรอ" น้ำค้างพูดงึมงำคนเดียวเช่นทุกครั้งแต่ทว่ากลับทำให้คนถามต้องอ้าปากค้างทันที เมื่ออีกคนกลับตอบคำถามได้ "ใช่ ฝนจะตก" ซามูร์เดินกลับมาหย่อนตัวลงนั่งข้างคนที่อ้าปากค้างราวกับช็อกไปแล้วที่เขาตอบกลับได้ ทว่าจริงๆ แล้วเพียงแค่พูดคำว่า ฝน ออกมาเป็นภาษาถิ่นของชาวชนเผ่า คนได้ยินยังไงก็ย่อมเข้าใจได้แล้วว่ากำลังต้องการจะถามอะไรกัน ฝ่ามือใหญ่เอื้อมไปจับปลายคางมนให้กลับขึ้นไปปิดสนิทไว้ดังเดิม จนน้ำค้างสะดุ้งและรีบปัดมือผู้หวังดีทิ้งทันที "ไม่ต้องมาจับตัวข้าเลยนะ" ริมฝีปากบางบู้บี้แสดงความไม่ชอบใจ ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนบนแคร่ไม้แข็งชวนเจ็บตัวแบบไม่ชอบเอาซะเลย แต่ก็ไร้ทางเลือก ซามูร์ไม่ได้พูดอะไรออกมา เมื่อได้เห็นคนด้านข้างล้มตัวนอนหันหลังให้กันไปแล้ว เขาจึงเลือกที่จะล้มตัวนอนลงบ้าง ครืด~~ครื้น~~ เปรี้ยงงงงง!!! คนนอนหลับอยู่ดีๆ ต้องสะดุ้งเฮือก น้ำค้างเบิกตาโพลงและหลับตาปี๋ลงทันทีเมื่อเห็นสายฟ้าแลบผ่านหน้าแปลบๆ น้ำค้างเริ่มนอนตัวสั่นเพราะตื่นกลัวเสียงฟ้าคำรามออกมาพร้อมกับมีสายฟ้าฟาดลงมาด้วย มันทำให้น้ำค้างหวนคิดไปถึงเหตุการณ์ในวันนั้น เห้ย!! "ใช่ดิ แบบนี้กูก็ต้องหาทางกลับบ้านได้แล้ว!" น้ำค้างผุดลุกขึ้นนั่งใช้กำปั้นทุบลงบนมือข้างที่แบบด้วยความตื่นเต้น จนทำให้ผ้าห่มคลุมหนังสัตว์ผืนเล็กรั้งขึ้นมาทางตัวเอง จนทำให้คนด้านข้างต้องหรี่ตามองตามเจ้าตัวปัญหาที่พยายามเขยิบร่างอย่างทุลักทุเล เพื่อให้ตนเองไปนั่งอยู่ตรงสุดปลายแคร่ให้ได้ ฮึบ ๆ อึก.. "อีกนิด ไอ้ค้าง ต้องออกไปข้างนอกเว้ย” ตากฝน! ฟ้าผ่า! กลับบ้าน! เย้! "ฮึบ!" น้ำค้างตะเกียกตะกายตัวมาจนสุดปลายแคร่ไม้ได้แล้ว กำลังพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นยืนให้ได้เต็มความสูงและค่อยๆ เดินกะโผลกกะเผลกไปทางประตูไม้แล้วจึงเปิดออกอย่างเบามือที่สุด ซ่าาาา....ซ่าาา!!! "เชี่ย เปียก!" ครืนนนน~~~ เปรี้ยง!!!! "น้ำค้าง!!!"
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม