“สุสานสาละวิน อยู่ฝั่งตะวันตกของป่า บางคนขนานนามมันว่า ‘ป่าสูบวิญญาณ’”
“ชื่อน่ากลัวจังค่ะ” เธอรู้สึกขนลุก สายตาเร่งเร้าให้ชายหนุ่มเล่าต่อ
“มีนักท่องไพร นักเสี่ยงโชค และพรานจำนวนมากที่เข้าไปส่าสัตว์ เอาชีวิตไปทิ้งไว้ที่นั่น…ปกติผมจะไม่รับงาน ถ้าคนของคุณสาบสูญเพราะความละโมบ…กระหายที่จะเข้าไปขุดหาขุมทรัพย์”
หญิงสาวใจหายวูบกับประโยคที่ออกตัวราวจะไม่รับงาน เมื่อเขากล่าวถึงคนที่ละโมบ
“หมายความว่าคุณจะไม่รับงานใช่ไหม” เธอด่วนสรุปออกไป
“ใช่!...ผมจะไม่รับงาน จนกว่าจะได้ข้อมูลที่ละเอียดพอให้ตัดสินใจ”
“ฉันสู้ค่าจ้าง...ฉันไม่เกี่ยงค่าแรง”
“บังเอิญผมไม่ใช่คนที่จะซื้อได้ด้วยเงิน”
“......” คำตอบนั้น ทำให้หญิงสาวถึงกับอึ้ง
“เงินจะมีประโยชน์อะไร...สำหรับคนนำทางอย่างผมที่อาจเอาชีวิตไปทิ้งก่อนได้ใช้เงิน” เขาให้เหตุผลที่ชัดเจนพอ ทว่าไม่ใช่คำตอบที่หญิงสาวพอใจ
“คุณคิดว่าที่ฉันอุตส่าห์บากบั่นมาจากเชียงราย…เพื่อที่จะมาฟังคำปฏิเสธจากคุณยังงั้นหรือ”
“ผมยังไม่ได้กล่าวคำปฏิเสธออกไปไม่ใช่หรือ?” เขาเลิกคิ้ว
หญิงสาวใจชื้น มองนายเปลวด้วยแววตาครุ่นคิด ‘อย่างน้อยนายก็ไม่ใจดำจนเกินไป’
“เล่าเรื่องพี่ชายของคุณมาโดยละเอียด”
เขากล่าวสั้นๆ แต่กังวานเสียงของเขา ราวกับมีมนต์สะกด
หญิงสาวรีบเล่าเรื่องพี่ชายในทันที
ชานนท์เป็นพี่ชายร่วมสายโลหิตของพริม หลังเรียนจบปริญญาตรีที่กรุงเทพได้ไม่นาน ก็ตัดสินใจเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาโททางด้านเกษตรศาสตร์ ในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ เลือกเรียนในสาขาวิชาพืชไร่พืชสวน มีความสนใจในการเพาะพันธุ์กล้วยไม้มาตั้งแต่เริ่มเรียนมัธยม
ด้วยความสนใจและรักกล้วยไม้มาก ถึงขั้นหลงใหล ทำให้ชานนท์ลงทุนสร้างโรงเรือนเพาะชำกล้วยไม้ และห้องเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อของกล้วยไม้สายพันธุ์แปลกๆที่ใกล้สูญพันธุ์ และหายากของโลก
อยู่มาวันหนึ่ง ด้วยความอยากเห็นกล้วยไม้ ‘เอื้องพลายชมพู’ (Pleione Praecox) ที่มีนักนิยมไพรร่ำลือๆต่อกันมาว่าเคยมีผู้พบเห็นกล้วยไม้หายากสายพันธุ์นี้ ที่สุสานสาละวิน ทำให้ชานนท์ตัดสินใจ จ้างคนนำทาง เพื่อบุกป่าฝ่าดงเข้าไปหากล้วยไม้เอื้องพลายชมพู ตามบันทึกบอกเล่าของผู้ที่เคยพบเห็น
กระทั่งหนึ่งสัปดาห์ผ่าน ซึ่งเป็นเวลาที่สมควรจะกลับออกมาได้แล้ว หากก็ไร้เงาของชานนท์และคนที่ว่าจ้างให้นำทางเข้าไปที่ผืนป่าแห่งนั้น
“ไปกันกี่คน?” เปลวขัดขึ้นกลางคัน
“สามคนค่ะ” หญิงสาวตอบ
รู้มาจากปากของชานนท์ผู้เป็นพี่ชาย ที่โทรมาบอกก่อนหน้าวันที่จะเดินทางเข้าป่าเพียงวันเดียว
“ใครเป็นคนนำทาง” เปลวถามต่อ
“พี่ชานนท์จ้างกะเหรี่ยงพื้นเมืองสองคนค่ะ อีกคนช่วยนำทาง อีกคนเป็นลูกหาบ บอกเอาไว้ว่าจะกลับออกมาภายในสามวัน…แต่นี่ก็ผ่านมาสัปดาห์กว่าแล้วค่ะ” เธอตอบด้วยน้ำเสียงเศร้า
“นับเป็นโชคร้ายของพี่ชายคุณ ที่ไปเจอกะเหรี่ยงไม่ชำนาญไพร แต่ก็รับงานไว้เพราะเห็นแก่ค่าจ้างอันงดงาม”
เขาสันนิษฐานจากข้อมูลในเบื้องต้นที่เพิ่งได้ฟังจากปากของเธอ
“จากที่ผมได้ฟัง การจะติดตามหาพี่ชายของคุณ ก็ไม่ยากจนเกินไป…”
เปลวเปรยขึ้นมาลอยๆ หมุนปากปาที่วางอยู่บนโต๊ะไปมาด้วยความเคยชิน หยุดคิดชั่วครู่ ทิ้งบางประโยคเอาไว้ให้เธอสนใจ ดวงตาคมประกายของเขาที่จ้องมองใบหน้าของเธอ หรี่ลงเล็กน้อย
ก่อนจะกล่าวต่อ
“อย่างน้อยผมก็ได้รู้ว่า ‘เอื้องพลายชมพู’ คือสิ่งจูงใจของพี่ชายคุณ ไม่ใช่ลายแทงขุมทรัพย์ที่ลวงล่อให้ผู้มนุษย์ผู้ละโมบ เอาชีวิตไปสังเวยดินแดนแห่งนั้นมานักต่อนัก”
“หมายความว่าคุณจะรับงานนี้ใช่ไหมคะ”
หญิงสาวอารามดีใจ ทึกทักเพราะประโยคที่เปลวบอกว่า ‘ก็ไม่ยากจนเกินไป’
เปลวยังไม่ตอบ แต่พินิจใบหน้าสวยของเธออย่างลืมตัว จ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่หวานที่นั่งประจันหน้ากับตน ใกล้กันจนได้กลิ่นหอมจากเรือนกาย กลิ่นเรือนผมยาวสลวย สะท้อนเป็นมันวาววับกับแสงเรื่อเรืองจากดวงโคมเพดาน งามราวกับแพรไหมสีดำมัน คลุมอยู่ที่ศีรษะสวยได้รูปทรง ปลายผมยาวประป่า เลยลงมาถึงกลางหลัง ดูน่าลูบไล้ ยามที่แพรผมขยับ ทุกจังหวะที่ใบหน้าสวยสะบัดเบาๆระหว่างสนทนา
ดวงตาคมกริบราวกับสายตาของนักล่าของเปลวฆวัจน์ ลอบมองผิวพรรณเนียนขาว สะอาดสะอ้าน ทรวดทรงอรชรอ้อนแอ้น เอิบอิ่ม แอบชื่นชมดวงหน้าประพิมพ์ประพายของหญิงสาวที่เธอเองก็รู้ว่าเขากำลังลอบมองอย่างให้ความสนใจ
“ถ้าการเข้าป่าของพี่ชายคุณในครั้งนี้เป็นเพราะความละโมบในขุมทรัพย์ลายแทงเหมือนคนอื่นๆ...ผมก็คงไม่รับงานนี้ เหมือนกับที่เคยปฏิเสธมาแล้วนับรายไม่ถ้วน” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเข้ม จริงจัง
แม้สีหน้านั้นอาจจะดูเย่อหยิ่ง ทว่าเปลวก็พูดความจริง ไม่ได้ตั้งใจอวดอ้าง หรือยกตัวเองให้มีความสำคัญขึ้นมา เพื่อจะเรียกร้องค่าแรง ค่าจ้าง แต่อย่างใด
หล่อนนิ่งฟังด้วยดวงตาวาวประกาย ความหวังเริ่มผุดพรายขึ้นชัดในแววตาหวานวาวคู่นั้น
‘ถ้าสิ่งซึ่งชานนท์ผู้เป็นพี่ชายของเธอตั้งใจเข้าไปเสาะหานั้นคือขุมทรัพย์ลายแทง ไม่ใช่กล้วยไม้ นายเปลวฆวัจน์คนนี้คงไม่รับงานนี้อย่างแน่นอน’
หญิงสาวพึมพำในใจด้วยความดีใจ
“จะออกเดินทางพรุ่งนี้เลยได้ไหมคะ” เธอเร่งเร้า
ถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงพี่ชาย เมื่อคำพูดเมื่อครู่ของชายหนุ่มได้ให้ความหวังกับเธอ
“ใจคอจะไม่ให้เวลาผมได้เตรียมตัวเลยหรือคุณ” เขาว่า เมื่อเห็นเธอเร่งเร้า น้ำเสียงต้องการขัดจังหวะมากกว่า ไม่ได้ตำหนิจริงจังในความใจร้อนของเธอ
“ต้องเตรียมตัวนานแค่ไหนคะ?…เอ่อ…ฉันเป็นห่วงพี่ชายน่ะค่ะ”
เหมือนรู้ตัวว่าเร่งเร้า จึงสำทับเหตุผลที่ให้ต้องรีบร้อน
“อย่างเร็วก็วันมะรืน” ชายหนุ่มตอบ ดวงตาคู่คมของเขาครุ่นคิด
“เร็วกว่านั้นได้ไหมคะ” หล่อนต่อรอง มองตาเขา
“ไม่ได้ครับ”
เปลวตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ดูเหมือนใจร้าย แต่เป็นเพราะความรอบคอบ
“ผมต้องการทีม…สามคนเป็นอย่างต่ำ ไม่รวมลูกหาบ” เขาบอกเหตุผล
“กี่คนก็แล้วแต่คุณ…มากกว่าสามคนก็ได้ ค่าจ้างฉันไม่เกี่ยง”
“ผมขอแค่สาม…รวมลูกหาบอีกสองคนก็เป็นห้า หอบหิ้วกันไปมากโดยไม่จำเป็น ก็พาลจะเสียเวลา เยอะไปก็ถ่วงกันให้ชักช้าเสียเปล่าๆ แทนที่จะไปได้เร็ว” เขาบอกเหตุผลของเขา
“หกคนค่ะ!...รวมฉันเข้าไปอีกหนึ่ง” พริมนับตัวเองเข้าไปด้วย
สิ้นคำของหญิงสาว ชายหนุ่มถึงกับชะงัก หัวคิ้วเข้มที่แลเห็นเส้นขนคิ้วเรียงแนวแน่น ถึงกับชะงักเล็กน้อย
“เหมือนผมจะหูฝาด!...อย่าบอกนะว่าคุณจะร่วมคณะไปด้วย” สีหน้าของเขาตกใจ
“ที่คุณได้ยิน…ไม่ผิดหรอกค่ะ” เธอยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“คุณไม่ได้พูดเล่นใช่ไหม?”
เขาเพ่งมองเธอด้วยแววตาและสีหน้าครุ่นคิด
“ฉันไม่เคยคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล่น…โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของพี่ชายฉัน”
เปลวนิ่งคิด…
ครั้นแล้วจึงตอบกลับ