เป็นราคาที่ยุติธรรมที่สุด เพราะรู้ดีว่าอีกครึ่งที่เหลือนั้น…ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเอาชีวิตรอดกลับมารับ
“ได้ค่ะ”
พริมตอบตกลงอย่างว่าง่าย
เมื่อไม่มีการต่อรองใดๆจากเธอ เปลวจึงกลับมาฉุกคิดว่าเขาหน้าเลือดไปไหม ความจริงถ้าเธอจะต่อรอง เขาก็ยินดีจะลดให้
“ไม่มากเกินไปใช่ไหมครับ? และคุณจะไม่ต่อสักคำเชียวหรือ”
ชายหนุ่มนึกสงสัย
ทว่าหญิงสาวรู้สึกว่าเขากำลังหยั่งลึกใจเธอ
“ในเมื่อคุณบอกว่างานนี้ยาก ฉันถือว่าคุณได้ตีราคาชีวิตของคุณออกมาแล้ว ที่ฉันไม่ต่อรอง…เพราะเคารพในการตัดสินใจของคุณ” พริมกล่าวได้น่าคิด
เปลวฆวัจน์ถึงกับอึ้ง
“ปัดโธ่! ถ้ารู้ก่อนหน้าว่าคุณคิดอย่างนี้ เรียกสักล้านก็น่าจะดี เพราะชีวิตผมน่าจะมีค่ามากกว่านั้น”
เขาแกล้งกล่าวด้วยน้ำเสียงเสียดาย ทั้งที่ตัวตนแท้จริงของเขา ไม่ใช่คนที่เห็นเงินเป็นพระเจ้าเหมือนคนอื่นๆ
เปลวรู้ดีว่าเขาปรารถนาสิ่งซึ่งสูงกว่าเงิน ซึ่งมันอาจจะหมายถึงชีวิตที่เรียบง่าย พอเพียง หรือเรียกรวมๆว่า ‘ความสุข’ นั่นเอง ซึ่งความสุขในแบบของเขา…อาจจะไม่ต้องบันดาลด้วยเงินเสมอไป
เงินสามแสนที่เปลวเรียก จะถูกแบ่งเป็นสัดส่วนอย่างยุติธรรม ระหว่างตนและสหายที่ชื่อทรงกลด ลดหลั่นลงไปตามสัดส่วนสำหรับกะเหรี่ยงพื้นเมืองอีกสามคน ซึ่งเปลวตั้งใจจะไปว่าจ้างด้วยตนเองในวันรุ่งขึ้น
“พรุ่งนี้ฉันจะกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับสัญญาว่าจ้าง” เธอกล่าว เหมือนรีบตัดบท
ต่างกับเปลวที่พยายามยื้อบทสนทนา ด้วยการชวนคุย
“สำหรับผม…จะเป็นสัญญาที่ร่างขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษรหรือสัญญาใจก็คงไม่ต่างกัน”
“แต่สำหรับฉันคงไม่ใช่…เพราะฉันไม่เคยเชื่อสัญญาใจจากผู้ชายคนไหน” หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เปลวถึงกับเผลอหัวเราะออกมาเบาๆในลำคอ ก่อนจะกล่าว
“นั่นอาจเป็นเพราะผู้ชายส่วนใหญ่ที่คุณเคยได้รู้จัก คงเป็นพวกที่ไม่ค่อยรักษาคำพูด แต่อย่าเอาผมไปรวมกับผู้ชายพวกนั้นเด็ดขาด” น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง ตอบเมื่อได้ที
เธอรู้ได้ทันทีว่าเขายอกย้อนให้เธอ เพราะมันคือประโยคที่เธอเพิ่งกล่าวกับเขาไปก่อนหน้า
“ฝนใกล้ตกแล้วค่ะ เห็นทีต้องขอตัวกลับ”
กล่าวเสร็จ หญิงสาวก็หยัดกายขึ้นจากเก้าอี้ช้าๆ เมื่อเสียงลมและฟ้าที่ครางครืนอยู่ไม่ไกล คล้ายจะเตือนให้เธอรีบกลับ
“ใจคอจะไม่บอกให้ผมรู้จักชื่อคุณเชียวหรือ” ชายหนุ่มตัดพ้อ รู้สึกประทับใจกับท่าทีเย่อหยิ่ง ชอบท่าทางไว้ตัวและมีความลับของเธอ ซึ่งมันทำให้เขาอยากค้นหา
“ขอโทษค่ะ ใจคอจดจ่ออยู่แต่ธุระและห่วงพี่ชายจนลืมแนะนำตัว พริม ค่ะ” เธอตอบบอกพร้อมกับยกลำนิ้วเรียวขึ้นช้อนเส้นผมยาวสยายบางส่วนที่ไปล่ปลิวไปตามแรงลม
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณพริม” เปลวทำท่าจะเอื้อมมือมาเชคแฮนด์ ทว่าหญิงสาวรีบกล่าวอำลาอย่างรู้ทัน แกล้งไม่เห็นมือใหญ่ของเขาที่เอื้อมรอเก้อ
“เจอกันพรุ่งนี้นะคะ…ขอบคุณที่รับงานนี้ค่ะ”
พริมกล่าวจบก็ก้าวยาวออกมาจากห้องรับแขก ไม่ทันได้เห็นเปลวฆวัจน์เก้ๆกังๆ หน้าแตกที่เธอไม่ยอมเชคแฮนด์ด้วย เขาแก้เก้อด้วยการยกมือข้างที่ยื่นออกไปนั้นขึ้นเกาศีรษะ มองตามร่างรัดรึงของหญิงสาวที่ก้าวออกมาจากตัวบ้านซึ่งโอบล้อมด้วยแมกไม้ ก้าวจากไปช้าๆ
เมื่อถึงประตูหน้าบ้าน
พริมหยุดและมองกลับหลังไปสู่ตัวบ้านที่ไม่ต่างอะไรกับเดินลอดอุโมงค์ต้นไม้ออกมา เมื่อแลเห็นก้านกิ่งของแมกไม้เลื้อยระยื่นออกมาสานกันตลอดเส้นทางเดินสั้นๆ เแลเห็นร่างสูงใหญ่ของเปลวก้าวตามออกมาช้าๆ
เขาชะเง้อผ่านประตูไม้ มองรถแกรนด์เชอโรกีสีเทาดำของเธอแล่นจากไปช้าๆ ลำแสงจากดวงโคมเจิดจ้า สาดฝ่าฝอยฝนที่ปรอยลงมาเบาๆ พร้อมกับสายฟ้าแปลบปลาบ
เปลวสะกดชื่อนั้นอยู่ในใจ ‘พริม’
มองตามจนกระทั่งหญิงสาวผู้สะสวย เชิด หยิ่ง มาดมั่น ลึกลับ เต็มไปด้วยความน่าค้นหา หายลับไปกับตา ก่อนจะหันหลังกลับเข้าบ้าน ยกโทรศัพท์มือถือขึ้นโทรหาสหายเก่าที่ชื่อทรงกลดอีกครั้ง สั่งไปถึงเรื่องปืนผาหน้าไม้และกระสุนที่จำเป็นต้องใช้ ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้โดยง่ายสำหรับทรงกลดที่คลุกคลีอยู่กับกะเหรี่ยงตามแนวตะเข็บชายแดนไทยพม่ามานาน
ดอยแม่สะเรียง
เช้ามืดที่อากาศรายรอบตัวยังคงเหน็บหนาว ความเยียบเย็นโรยตัวเอาไว้ทั่วผืนป่า นับจากหย่อมหญ้ารกรื้นเรี่ยต่ำที่แลเห็นอยู่รายรอบบ้าน ไปจนถึงกลางผืนป่าดิบ บนดอยเปลี่ยวชื้นผืนใหญ่ ทอดยาวเป็นฉากหลังให้กับบ้านหลังน้อย ชั้นเดียว ของทรงกด
ในโมงยามที่พระอาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นขอบฟ้า แลเห็นสายหมอกสีขาวเป็นทิวทาง ละลิ่วลอยรางๆ ผ่านหน้าไปช้าๆ ห่มคลุมผืนป่าอย่างอ้อยอิ่ง บ้างก็ทิ้งตัวลงนิ่งนอนอยู่ตามหุบต่ำในสุมทุมพุ่มพฤกษ์ของราวไพร
เปลวมาถึงแต่เช้าตรู่ จอดรถกระบะขับเคลื่อนสี่ล้อสีเขียวขี้ม้าคันใหญ่เอาไว้ที่หน้าบ้าน
เมื่อสังเกตเห็นว่าบ้านหลังน้อยนั้นเงียบเชียบ จึงเดินไปเคาะประตูบ้านเบาๆ ครู่เดียว ร่างสูงใหญ่เกือบเปลือยของทรงกลดที่มีเพียงผ้าขาวม้าผืนเดียวนุ่งอยู่ ก็ก้าวยาวๆมาเปิดประตูต้อนรับเพื่อนรัก
“สวัสดี…ไอ้เพื่อนเกลอ” เปลวเป็นฝ่ายเอ่ยทักขึ้นมาก่อน
“ไม่คิดว่าจะมาถึงเช้าขนาดนี้” ทรงกลดตบไหล่เพื่อนเบาๆ รอยยิ้มทักทายผุดพรายขึ้นบนใบหน้าง่วงงุน ผมเผ้ายังยุ่งเหยิง
“เมื่อคืน…ท่าจะหนัก” เปลวทักอย่างคนที่รู้จักเพื่อนคนนี้ดี
ได้กลิ่นเหล้าจางๆจากลมหายใจของสหายผู้พิสมัยสุรานารีเป็นชีวิต
และจริงอย่างที่เปลวสันนิษฐาน เมื่อคืนที่ผ่านมา สหายขี้เหงาผู้นี้ไม่ได้นอนคนเดียว เมื่อทรงกลดก้าวไปรูดม่านกันแดด เปิดหน้าต่างให้แสงสีทองของพระอาทิตย์ที่เริ่มถักทอออกมาจากตีนฟ้า สาดเข้ามาทักทายถึงในห้อง
ร่างเปลือยล่อนของหญิงสาวที่บิดสะโพกกลมเกลี้ยง เบี่ยงหน้าหนีแสง ก่อนจะผงกศีรษะมองแขกผู้มาเยือน
หล่อนหยีตา ขยับลุกช้าๆ เดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวและคว้าเสื้อผ้าที่ถอดพาดเอาไว้บนพนักเก้าอี้ตั้งแต่เมื่อคืน ก้มหยิบเสื้อชั้นในที่ตกอยู่ริมขอบเตียง
ด้วยความไม่ตั้งใจ เปลวเผลอมองทรวงอกอวบใหญ่ที่เหวี่ยวไหวไปตามจังหวะก้าวของหญิงสาว โดยที่หล่อนเองก็ไม่ได้สนใจว่าสายตาใครจะมอง
แวบหนึ่ง…สาวคนนั้นยังหันมาส่งยิ้มหวานอย่างมีนัยให้กับเปลว
“มาเนะ กลับก่อนนะคะนาย” หม้ายสาวชาวพม่า ชื่อมาเนะ สวมเสื้อผ้า กล่าวอำลาทรงกลด
มาเนะ เป็นสาวเลือดผสม ลูกสาวของพรานป่าชาวพม่ากับเมียคนไทยที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านตรงรอยต่อของชายแดน หล่อนเป็นหม้าย สามีตายจากเหตุปะทะกันระหว่างกองกำลังกะเหรี่ยงไม่ทราบฝ่ายกับกองโจรที่รวมตัวขึ้นจากชนกลุ่มน้อยที่กระจัดกระจายอยู่หลายกลุ่ม มากมายจนรัฐบาลทหารพม่าไม่อาจควบคุมได้
ทรงกลดพยักหน้า ระบายรอยยิ้มบางๆให้มาเนะ ราวจะบอกว่า ‘ขอบคุณเหลือเกิน สำหรับความอบอุ่นจากเรือนกายละมุน จากเนื้อหนังมังสาอุ่นๆที่เอื้อเฟื้อให้ตนได้คลุกเคล้าตลอดค่ำคืนเปลี่ยวเหงา…ไม่งั้นคงไม่รอดมาถึงรุ่งเช้า…เพราะหนาวตาย’
มาเนะมักจะแวะเวียนมาหาทรงกลด ไม่บ่อยนัก…แต่ทุกครั้งที่มาก็ล้วนเกิดจากหัวใจที่อดทนอดกลั้นต่อแรงปรารถนาของตัวเอง ที่ข่มเอาไว้ไม่ไหว
มีอยู่ครั้งหนึ่ง หลังจากผ่านการร่วมรักอันเร่าร้อน ทรงกลดคว้ากระดาษและดินสอมาเขียนรูปเปลือยของหล่อน ตามประสาคนเจ้าบทเจ้ากลอน อ่อนไหว