เพล้งงงงงง
จานใบใหญ่กระแทกกับผนังบ้านก่อนจะแตกละเอียด ก่อนที่เสียงด่าทอแหลมเล็กจะดังขึ้น คำหยาบคายนั้นฟังแล้วแสลงหู
ใบหน้าที่สวยงามบิดเบี้ยวยามที่เธอนั่นพ่นคำด่าทอออกมา ผู้เป็นสามีหน้าตาตึงเครียดเขากอดลูกชายวัยสี่ขวบเอาไว้พร้อมใช้มือทั้งสองข้างปิดหูของอีกฝ่าย ด้วยไม่ต้องการให้ลูกชายได้ยินอะไรที่ไม่ดี
สาเหตุที่มำให้ซูเม่ยไม่พอใจ ก็เพราะสามีนั้นเจียดเงินส่วนหนึ่งที่เก็บไว้ไปให้พ่อกับแม่ของเขาลงทุนซื้อสินค้ามาขาย
หญิงสาวโกรธเกรี้ยวอาละวาดทำลายข้าวของเมื่อรู้ว่าสามีนั้นไม่สามารถให้เงินกับเธอได้
ซูเม่ยคิดไม่ตกว่าจะทำอย่างไรดี อีกไม่นานซุนเหอก็จะมารับเธอแล้ว หากเขาเห็นว่าเธอนั้นสวมใส่เสื้อผ้าชุดเดิมๆ เขาคงหมดความประทับใจในตัวเธอ
หญิงสาวเดินวนไปมามือก็ทึ้งศีรษะราวกับคนเสียสติ ตงเหมาถอนหายใจยาว เขามองภรรยาด้วยความเอือมระอา เขาไม่ใช่คนหูหนวกตาบอดที่ไม่รู้พฤติกรรมของภรรยายามที่อยู่นอกบ้าน
ซูเม่ยเป็นคนเปิดเผย แม้ว่าจะมีเขาเป็นสามีแต่เธอก็ยังคบหากับชายอื่นโดยไม่สนใจความรู้สึกของเขาเลยแม้แต่น้อย
ในทุกๆ วันหญิงสาวจะแต่งตัวสวยงามออกไปนอกบ้าน ทิ้งเด็กชายตัวน้อยให้พี่เลี้ยงเป็นผู้ดูแล ทั้งที่ฐานะทางการเงินก็ไม่ได้ดีสักเท่าไหร่(พี่เลี้ยงจ้างคนข้างบ้านเป็นครั้งคราว)
แต่ซูเม่ยก็กล้าที่จะจ้างคนมาดูแลลูกชายระหว่างที่เธอนั้นออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก
ตงเหมาต้องทำงานหนักกว่าเดิมถึงสองเท่า เพื่อหาเงินมาจุนเจือทุกชีวิตในครอบครัวและยังต้องจ่ายค่าแรงพี่เลี้ยงเด็ก
เขาเหนื่อยกายแต่นั่นไม่เท่ากับเหนื่อยใจ ภรรยาของเขาไม่เคยทำตัวเป็นภรรยาที่ดีไม่เคยดูแลบ้านเรือน
หลังคลอดก็ไม่เคยเลี้ยงลูก ในบางครั้งตงเหมาต้องพาตงหมิงไปฝากไว้ที่บ้านแม่ของเขาซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองหลายกิโล ต้องใช้เวลาเดินทางไปกลับมากกว่าครึ่งชั่วโมง
แต่จะทำเช่นไรได้ ตัวเขาต้องทำงานเพื่อหาเงิน ในโรงงานอุตสาหกรรมมีเครื่องจักรที่อันตราย เขาจึงไม่กล้าที่จะพาลูกชายไปด้วย
จึงจำเป็นต้องตื่นแต่เช้าเพื่อปั่นจักรยานไปส่งลูกชายก่อนจะรีบปั่นกลับเข้ามาทำงานที่โรงงาน
เขาใช้ชีวิตแบบนี้จนกระทั่งตงหมิงอายุได้สามปี สหายผู้หนึ่งซึ่งเป็นครูอยู่ในโรงเรียนอนุบาลขนาดเล็กก็ได้แนะนำให้เขาส่งตงหมิงเข้าโรงเรียน โดยเขาอาสาที่จะดูแลเด็กชายให้เป็นอย่างดี
ตงเหมามีทางเลือกมากนัก ตราบใดที่เขายังต้องทำงานหนักเช่นนี้ เขาจึงจำต้องส่งลูกชายเข้าไปเรียนและเดินทางไปรับที่บ้านของสหายในช่วงเย็น
ชายหนุ่มรู้สึกสะเทือนใจเมื่อเห็นน้ำตาของลูกชายกำลังไหลริน เด็กชายไร้เดียงสาสะบัดตัวออกก่อนจะตรงเข้าไปกอดขาผู้เป็นแม่ แต่ซูเม่ยแม้เป็นผู้ให้กำเนิดแต่กลับไม่เคยผูกพันกับสายเลือด
เธอสะบัดเด็กชายออกจนเขาเกือบล้มลง โชคดีที่ตงเหมาพุ่งเข้าไปรับได้ทันท่วงที ชายหนุ่มโกรธมากที่ภรรยากล้าทำร้ายแม้กระทั่งลูกชาย
“อาเม่ย อย่าทำแบบนี้”
เมื่อเห็นภรรยาพุ่งตรงเข้ามาจะตบตีลูกชายเพื่อระบายอารมณ์ ตงเหมาก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป
เขาดันลูกชายหลบด้านหลังก่อนสะบัดฝ่ามือใส่ภรรยาที่กำลังบ้าคลั่ง
เพียะ
ซูเม่ยถลาล้มลงไปกองที่พื้น ดวงตาแดงก่ำแข็งกร้าวด้วยความโกรธ เธอคว้ากาน้ำชาก่อนจะเขวี้ยงใส่สองพ่อลูกโดยไม่สนใจว่าทั้งสองอาจจะบาดเจ็บจากการกระทำของเธอ
เพล้งงง
“พี่กล้าตบฉันเหรอ!”
ซูเม่ยกรีดร้อง คว้าทุกอย่างใกล้มือเขวี้ยงใส่สามีเพื่อระบายความโกรธแค้นที่อีกฝ่ากล้าตบตีเธอ
ตงเหมาเห็นว่าซูเม่ยคว้ามีดขึ้นมา จึงได้รีบพาลุกชายวิ่งออกมานอนบ้านก่อนที่มีดเล่มนั้นจะเฉียดร่างสองพ่อลูกไปเพียงนิดเดียว
ตงเหมารอจนเสียงกรีดร้องสงบลง เขาจึงค่อยๆ โผล่หน้าเข้าไปทางหน้าต่าง เห็นซูเหยากำลังกระดกเหล้าเข้าปากก็ตัดสินใจเดินกลับเข้ามาในบ้าน หญิงสาวตวัดสายตามองสามี ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ไม้
โทสะในใจยังไม่มลายหายไปแต่เธอเหนื่อยเกินกว่าที่กรีดร้องอาละวาดแล้ว สายตาเกลียดชังจ้องมองสามีกับลูกชายตัวน้อย แม้ใบหน้าที่ไร้เดียงสาเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา แต่จิตใจคนเป็นแม่ก็เมินเฉย ไม่ได้รู้สึกรู้สากับความเสียใจของลูกชายยามที่เห็นพ่อแม่ทะเลาะกัน
“ไอ้คนเฮงซวย!”
หลังจากหายเหนื่อย ซูเม่ยก็เริ่มพ่นคำหยาบคายอีกครั้ง เธอไม่ใส่ใจว่าลูกชายจะยืนอยู่ตรงนี้หรือไม่
สิ่งเดียวที่เธอต้องการคือระบายความโกรธแค้นในใจที่มีต่อสามี
ในฐานะภรรยาเธอควรมีสิทธิ์ในทรัพย์สินของเขา แต่ช่างน่าโมโหนักที่ตงเหมานั้นไม่ไว้ใจเธอ ทั้งยังนำเงินทั้งหมดไปฝากไว้ที่พ่อของเขาอีก
เกิดตาแก่นั่นนำไปใช้จนหมดเธอจะทำอย่างไร
“ไปเอาเงินคืนมาเดี๋ยวนี้ พี่อยากให้ฉันอกแตกตายหรืออย่างไร!”
แยกครอบครัวมาแล้วแต่ตงเหมาก็ยังคอยส่งเงินกลับไปให้พ่อและแม่ของเขาเสมอ เรื่องนี้เป็นปัญหามานานหลายปี เป็นสาเหตุที่ทำให้เธอและตงเหมานั้นต้องทะเลาะกันอยู่เสมอ
สามีโง่เง่าผู้นี้เงินเดือนเท่าหยิบมือแต่ยังต้องคอยดูแลพ่อแม่ คิดแล้วก็โมโหนัก ซูเม่ยแช่งให้พ่อแม่สามีสิ้นใจตายทุกวันแต่ตาแก่และยายแก่สองคนนั้นกลับไม่ตายๆ ไปเสียที!
“ได้อย่างไรกัน เงินนั่นฉันให้พ่อกับแม่ไปแล้ว”
ตงเหมาไม่ยอมที่จะถูกบีบบังคับให้เป็นคนอกตัญญู แม้ว่าเขาจะต้องเจียดเงินให้พ่อแม่ แต่เขาก็ไม่เคยปล่อยให้หยิงสาวอดเลยสักมื้อ เธออยากกินอะไรเขาก้หาซื้อมาให้ทุกอย่าง
แต่ช่วงสามปีหลังที่ผ่านมา ความต้องการของซูเม่ยมากขึ้นเรื่อยๆ จนเขาเริ่มไม่สามารถให้เงินเธอได้
ภรรยาผู้นี้เห็นความสวยงามสำคัญกว่าปากท้องของลูกชาย เงินที่เขาให้ไปซื้อกับข้าวถูกละลายไปกับของไร้สาระที่ไร้ประโยชน์
เครื่องประดับมุกราคาแพงและเสื้อจากต่างประเทศคือสิ่งที่ซูเม่ยนั้นนำเงินไปแลกมา
เธอคงไม่รู้ว่าเขาปวดใจเพียงใดยามที่เห็นตงหมิงนั่งกอดเข่ามองผู้เป็นแม่กำลังชื่นชมเม็ดมุกสีขาวนวล
ในขณะที่เด็กชายนั้นไร้อาหารตกถึงท้อง ผู้เป็นแม่กลับไม่คิดใส่ใจ ความหิวโหยของลูกชายไม่ได้สำคัญไปมากกว่าสิ่งของนอกกายที่อยู่ตรงหน้า
นั่นเป็นครั้งแรกที่ตงเหมาลงไม้ลงมือกับซูเม่ย หลังจากที่เธอด่าทอเขาและพยายามทุบตีตงหมิง
“ไปเอาคืนมา สองคนนั้นอีกไม่นานก็แก่ตายแล้วจะใช้เงินมากมายไปทำไม!”
“อาเม่ย!”
ตงเหมาโกรธจนเลือดขึ้นหน้า ปกติเขาไม่ใช่คนอารมณ์ร้อน แต่ซูเม่ยกลับเป็นผู้ปลุกความดิบเถื่อนในตัวเขาขึ้นมา ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึก เขาไม่อยากตบตีภรรยาต่อหน้าบุตรชาย เพราะเพียงเท่านี้จิตใจของตงหมิงก็บอบช้ำมากพอแล้ว
“พี่อย่ามาตวาดฉันนะ! ถ้าพี่ไม่เอาเงินกลับมา ฉันจะไปเอาเอง!”
ซูเม่ยข่มขู่อีกฝ่าย ดวงตานั้นแข็งกร้าวแดงก่ำ เธอจะไม่ยอมให้เงินของสามีตกไปอยู่ในมือของตาแก่นั่น
เธอเป็นภรรยาและเงินของสามีควรเป็นของเธอ ขณะที่ทั้งสองจ้องตากันอย่างไม่มีใครยอมใคร ตงหมิงก็ก้าวออกมายืนตรงหน้าผู้เป็นแม่ เด็กชายเอื้อมมือที่สั่นเทาไปจับขาซูเม่ยก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ติดสั่นเครือเล็กน้อย
“แม่ครับ ทำไมแม่ถึงไม่ภูมิใจที่พ่อเป็นคนกตัญญู”
ได้ยินเช่นนั้นอารมณ์ของหญิงสาวก็พุ่งขึ้นมา เธอกระชากแขนลูกชายก่อนจะฟาดฝ่ามือลงบนหลังเขาเต็มแรง เพราะคิดว่าอีกฝ่ายนั้นกำลังเปรียบเทียบว่าเธอเป็นคนอกตัญญูที่ไม่รู้จักยินดีกับผู้อื่น แม้ความเป็นจริงแล้วเด็กชายเพียงแค่อยากเตือนสติผู้เป็นแม่เท่านั้น
“หยุดนะอาเม่ย!”
ตงเหมารีบตรงเข้าไปดึงตงหมิงออกมาก่อนจะซ่อนเด็กชายไว้ด้านหลังและผลักหญิงสาวออกเต็มแรงจนหน้าท้องเธอกระแทกกับโต๊ะไม้ตัวยาว
“แม่ครับ!”
ตงหมิงแม้จะถูกทำร้ายแต่เขาก็ยังมีความห่วงใยให้กับผู้เป็นแม่ เด็กชายตัวน้อยถลาเข้าไปก่อนจะพยายามประคองซูเม่ยขึ้น แต่หญิงสาวกลับไม่ต้องการ โทษเด็กชายว่าเป็นสาเหตุให้เธอต้องเจ็บตัว
“ออกไป!”
ริมฝีปากเล็กเม้มแน่น น้ำตาหยดเผาะลงบนพื้น แขนเล็กยกขึ้นปาดน้ำตา เขาเงยหน้ามองผู้เป็นพ่อก่อนจะเดินคอตกเข้าไปหาอีกฝ่าย
ตงเหมาน้ำตาคลอเมื่อเห็นความเจ็บปวดของลูก เขารวบร่างเล็กไว้ในอ้อมแขน กระชับกอดอีกฝ่ายแน่นเพื่อปลอบประโลม
ซูเม่ยเหยียดริมฝีปากออกก่อนจะพยายามดันตัวลุกขึ้นอย่างยากลำบาก เธอเดินกะเผลกไปที่ประตูก่อนกระชากเปิดและปิดลงเต็มแรง
สายตาของตงเหมาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า เขาสงสารลูกชายที่ต้องมายืนอยู่ท่ามกลางปัญหาของผู้ใหญ่
ด้านซูเม่ยเธอเดินทางมาที่ร้านขายเสื้อผ้าของสหายสนิท ทำทีเป็นระบายความทุกข์ให้อีกฝ่ายฟัง ทั้งยังใส่ร้ายว่าถูกสามีนั้นทำร้ายจนใบหน้าบวมช้ำ
ผู้เป็นสหายมีหรือจะนิ่งนอนใจ เธอรีบเข้าไปหายาเพื่อทำแผลให้ซูเม่ย โดยไม่รู้เลยว่าสหายที่เธอนั้นไว้ใจละคอยดูแลมาโดยตลอดจะกล้าขโมยของในร้าน
ซูเม่ยปลดเสื้อผ้าชุดสวยออกจากไม้แขวนก่อนยัดลงกระเป๋าของเธอ ทั้งเมื่อเหลือบไปเห็นเครื่องประดับก็อดไม่ได้ที่จะหยิบมาด้วย เมื่อได้ในสิ่งที่ต้องการหญิงสาวจึงรีบร้อนเดินออกมาและตรงไปยังสถานที่นัดพบกับซุนเหอทันที
ด้านจิงโหยว เมื่อเดินออกมาแล้วไม่พบกับสหายก็รู้สึกแปลกใจ แต่เมื่อเหลือบไปเห็นไม้แขวนว่างเปล่าก็เข้าใจโดยทันที หญิงสาวถอนหายใจยาว ชะเง้อมองออกไปนอกร้าน
เธอเอือมระอากับพฤติกรรมของซูเม่ยเต็มทน แต่จะทำอย่างไร สุดท้ายแล้วเธอก็ได้แต่ปล่อยเลยตามเลยเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่กลับมาชดใช้อย่างแน่นอน
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ซูเม่ยทำแบบนี้ แต่ก็คงไม่ใช่ครั้งสุดท้ายเช่นกัน
จิงโหยวตรวจดูในตู้ที่แขวนเครื่องประดับก่อนจะพบว่าสร้อยเส้นหนึ่งหายไป เธอถอนหายใจยาวก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้บุนวม