บทที่ 8 ความจำเสื่อม
3 ชั่วโมงผ่านไป
บรืนน...เอี๊ยด...!
เสียงรถคันหรูได้เคลื่อนเข้ามาจอดภายในคฤหาสน์ของตระกูล
เพมเบอร์ตัน ซึ่งโจชัวได้ตัดสินใจย้ายมาอยู่ที่ต่างจังหวัด ที่ดินตรงนี้เป็นมรดกตกทอดมาหลายรุ่น มีพื้นที่มากกว่า 100 ไร่ โดยส่วนใหญ่ ครอบครัวของเขาจะมารวมตัวกันทีนี้ปีละครั้ง เพื่อใช้พื้นที่ล่าสัตว์ป่า ทว่าในครั้งนี้มันต่างกันออกไป เขาไม่ได้มาล่าสัตว์ แต่มาเพื่อแก้แค้น
คฤหาสน์ตั้งอยู่บนเนินเขาสูงปกคลุมไปด้วยหมอกบาง ๆ ด้านซ้ายล้อมรอบไปด้วยแม่น้ำขนาดใหญ่ ทางหลังบ้านปลูกดอกไม้เอาไว้ประมาณ 1 ไร่ เพราะโจลีนน้องสาวของเขานั้นชอบ
แม้ภายนอกจะดูหรูหรา ภายในคฤหาสน์นั้นยิ่งใหญ่ไม่แพ้ภายนอก โถงใหญ่มีเพดานสูงโอ่อ่าประดับด้วยโคมระย้า คริสตัลห้อยระยิบระยับ ผนังปูด้วยวอลเปเปอร์สีทองจาง ๆ พื้นที่ของคฤหาสน์นั้นดูกว้างขวางแต่กลับไม่มีใครอาศัยอยู่สักคน นอกจากคนสวนกับแม่บ้านประมาณ 10 กว่าคน แต่ทุกคนได้ไปอยู่เรือนคนใช้ซึ่งอยู่ห่างออกไปเกือบหนึ่งกิโลเมตร
“เชิญครับคุณโจชัว ภายในบ้านผมให้แม่บ้านทำความสะอาดและจัดห้องนอนไว้ให้เรียบร้อยแล้วครับ”
ชัชชัยพูดพลางวิ่งไปเปิดประตูอีกฝั่งให้เจ้านาย พร้อมกับเอ่ยถามอีกครั้งว่า
“แล้วเธอจะให้ไปอยู่ที่ไหนครับ อยู่ในคฤหาสน์หรือเปล่า”
“ดูว่าตายหรือยัง ถ้าตายก็ฝัง หากยังไม่ตายเอาไปไว้เรือนคนใช้ สถานะเท่ากับทุกคน ห้ามปฏิบัติกับเธอเหมือนเป็นเจ้านาย”
“ครับผม รับทราบครับ คุณโจชัวเข้าไปพักได้เลยครับ ที่เหลือเดี๋ยวผมจัดการเอง”
“อืม”
เสียงนิ่งเรียบของผู้เป็นเจ้านาย ทำให้เขารู้สึกขนลุกซู่ไปทั้งร่าง ไม่รู้ว่าทำไมเจ้านายของตน ถึงได้จงเกลียดจงชังผู้หญิงคนนี้ได้ถึงขนาดนี้ ครั้นจะถามก็กลัวอารมณ์ที่ไม่ค่อยคงที่ของเจ้านาย ชัชชัยจึงทำได้เพียงทำตามคำสั่งอย่างเงียบ ๆ เพราะตนก็อยากทำงานต่อไป ไม่ได้อยากตกงาน
เมื่อคิดได้ดังนั้น ชายวัย 35 ปี ก็รีบไปเช็คดูเจ้าของใบหน้าสวย ว่ายังอยู่ดีหรือไม่ หากเธอมาเสียชีวิตในที่แบบนี้ แล้วเขานำร่างไปฝัง แบบนี้มันเท่ากับฆาตกรรม อำพรางศพ ติดคุกไปยาว ๆ
“หวังว่าจะปลอดภัยนะ แม่หนู”
ชายวัยกลางคนพูดพร้อมกับเปิดท้ายรถ มองดูร่างเล็กยังไม่ได้สติ เลือดที่ไหลจากบริเวณศีรษะ ตอนนี้หยุดไหลพร้อมกับแห้งกรัง
ไปแล้ว
มือหนาค่อย ๆ ยื่นมือไปอังที่จมูกของคนตัวเล็ก พบลมหายใจอุ่น ๆ ปะทะเข้าที่นิ้วหนา ทำให้เขาโล่งใจอีกครั้งที่เธอยังไม่ตาย จากนั้นเขาปิดประตูลงอีกครั้ง เพื่อพาตัวของดารินไปยังเรือนคนใช้ ซึ่งอยู่ไกลจากคฤหาสน์เกือบ 1 กิโลเมตร
ณ เรือนคนใช้ของตระกูลเพมเบอร์ตัน
เวลาประมาณ 4 ทุ่ม
“ป้า ๆ ออกมานี่หน่อย เร็ว ๆ”
เสียงของชัชชัยเรียกป้าสา หัวหน้าแม่บ้านมีอายุประมาฯ 55 ปี ทำงานเป็นแม่บ้านให้ตระกูลเพมเบอร์ตันมาเกือบ 30 ปี
“ป้า!!”
เสียงของคนขับรถตะโกนอีกครั้ง กลับมีเสียงบ่นอุบอิบดังออกมาจากบ้านไม้ขนาดกลาง
“อะไรของเอ็งวะ ไอ้ชัย ดึก ๆ ดื่น ๆ ป่านนี้มาตะโกนเรียกข้าทำไม”
ป้าสาบ่น พร้อมกับแสงไฟสีขาวสว่างวาบไปทั้งบ้าน ไม่ถึงนาทีป้าและแม่บ้านคนอื่น ๆ ต่างก็ออกมาพร้อม ๆ กัน
“ป้ามานี่หน่อย”
“พูดมาสิวะ มีอะไร”
ป้าสาขึ้นเสียงแข็ง เพราะชัชชัยมัวแต่อ้ำอึ้ง ไม่พูดเรื่องสำคัญเสียที
“มาดูนี่เร็ว”
“เออ ๆ อะไรของเอ็งจะพูดก็ไม่พูด”
หัวหน้าแม่บ้านพูดไปพลาง บ่นไปพลาง พร้อมกับแม่บ้านคนอื่น ๆ ต่างเดินไปดูด้วย จนกระทั่งสายตาทุกคู่ได้เห็นหญิงสาวหน้าตาดีนอนอยู่ท้ายรถ สภาพดูไม่สู้ดีนัก แถมยังมีเลือดแห้งกรังติดตามตัวอีก ทำให้ทุกคนต่างตกใจ ถอยกันไปอยุ่ทางด้านหลังอย่างอัตโนมัติ
“ตาย ๆ ตายหรือยังวะไอ้ชัย ผู้หญิงคนนี้ใครเอ็งเอามาทำไมวะ ทำไมเอ็งไม่พาไปโรงพยาบาล พามาที่นี่ทำไม”
“นั่นสิ พี่ชัย ใครกัน แล้วทำไมสภาพเป็นแบบนี้”
นวลหลานของป้าสาอายุประมาณ 26 ปี ถามอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ กลัวว่าผู้หญิงหน้าซีดคนนั้นจะตายแล้ว
“เธอยังไม่ตายจ้ะ เป็นมายังไง ป้าลองไปถามคุณโจชัวดู
สิจ้ะ จะได้รู้”
“โห แล้วใครจะกล้าถามอ่ะ พี่ชัย”
นวลตอบแทนป้าสา
“เออป้า แล้วเธอเป็นอะไรไหมเนี่ย เป็นอะไรมากไหม อาการหนักหรือเปล่า”
“เท่าที่ดู แข้งขาไม่หัก แต่หัวแตก ไม่รู้ว่าสมองจะบวมไหม ต้องดูอาการไปก่อน ตรงแขนมีรอยถลอกเล็กน้อย แผลไม่ลึก ไป ๆ เอ็งพาแม่หนูนี่เข้าบ้าน เดี๋ยวข้าจะทำแผลให้”
ป้าสาพูด พร้อมกับประเมินอาการภายนอกของดาริน อดีตของป้าสาเคยเป้นผู้ช่วยพยาบาลเก่า พอจะดูออกบ้าง
“รบกวนหน่อยนะป้า”
“เออ ๆ รีบ ๆ เข้า ข้าจะได้นอน พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า”
“ได้ครับ”
ชัชชัยพยักหน้ารีบอุ้มคนตัวเล็กเข้าไปยังเรือนคนใช้ เขาช่วยได้เพียงเท่านี้ ที่เหลือก็แล้วแต่เวรแต่กรรม แล้วแต่เจ้านายของเขาก็แล้วกัน
3 วันผ่านไป
ภายในห้องสี่เหลี่ยมจัตุรัสมีขนาดสี่คูณสี่ตารางวา มีหญิงสาว
คนหนึ่งนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียง เมื่อ 3 วันที่แล้วเธอมีใบหน้าสีขาวซีดราวกับกระดาษ ทว่าตอนนี้สีหน้ากลับดูมีชีวิตชีวาอย่างเห็นได้ชัด
ฟู่ว~
เสียงลมพัดเข้ามาจากทางหน้าต่าง ผ้าม่านสีขาวบาง ๆ พริ้วไหวไปตามแรงลม ลมพัดเข้ามาเอื่อย ๆ ปะทะกับใบหน้าเนียน ทำให้เธอเริ่มรู้สึกตัว
เจ้าของใบหน้าสวยค่อย ๆ ลืมตา จากนั้นกะพริบตาถี่ ๆ อยู่หลายครั้งเพื่อปรับการมองเห็น ทว่าอาการเจ็บแปล๊บที่บริเวณศีรษะได้แล่นเข้ามา ทำเอาเธอร้องเสียงหลง
“โอ้ย!!”
มือเรียวบางรีบยกมากุมขมับโดยอัตโนมัติ
“อะไรนังหนู!!”
เสียงป้าสาที่กำลังทำอาหารอยู่ในครัว รีบวิ่งขึ้นมาบนบ้านชั้นที่ 2 เมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กส่งเสียงร้องเสียงหลง
“คุณเป็นใครคะ?”
เรียวปากสีหวานเอ่ยถามโดยที่มือทั้งสองข้างยังกุมขมับอยู่
“อ๋อ ฉันเป็นแม่บ้านที่นี่จ้ะ เป็นคนดูแลที่นี่ แล้วก็ดูแล
หนูด้วย”
หัวหน้าแม่บ้านอธิบายอย่างใจเย็น
“แล้วหนูเป็นอะไรงั้นเหรอคะ ทำไมป้าต้องมาดูแล”
ดารินเอียงคอถาม ทำไมเธอจำอะไรไม่ได้เลย ทำไมเรื่องราวในสมองมันว่างเปล่า แม้กระทั่งชื่อตัวเองก็ยังจำไม่ได้ เธอก้มหน้าต่ำลง ถามตัวเองซ้ำ ๆ อย่างสับสน
“หนูประสบอุบัติเหตุจ้ะ นอนไป 3 วันเต็ม ๆ แล้วชื่ออะไรจ้ะนังหนูป้าจะได้เรียกถูก”
“หนูชื่อ ชื่ออะไร จำไม่ได้เลยค่ะ”
“ว่ายังไงนะ นังหนูนี่เอ็งจำอะไรไม่ได้เลยหรือ”
ป้าสาทวนถามอีกครั้ง ส่วนดารินได้แต่ส่ายหัวเบา ๆ
ในขณะเดียวกันนวล หลานสาวป้าสาได้ขึ้นมาได้ยินเรื่องราวพอดี จึงกระซิบกระซาบถามป้าว่า
“นี่เธอความจำเสื่อมเหรอป้า”
“ดูท่าทางจะเป็นอย่างนั้น”
“แล้วจะทำยังไงกันดีอ่ะป้า จะไปส่งที่บ้านเธอยังไง”
“เอ็งคิดว่าคุณโจชัวพาผู้หญิงคนนี้มาที่นี่ เพื่อพากลับบ้านหรือนางนวล”
ป้าสาย้อนถาม เพราะพอจะเดาเหตุการณ์ต่าง ๆ ออก
“ก็จริง ถ้าจะพากลับบ้านคงพาไปโรงพยาบาลตั้งแต่แรก ใช่ไหมป้า”
“ก็เออสิวะ เอ็งก็ฉลาดนี่ ถ้าอย่างนั้นเอ็งต้องรู้ว่าจะทำอะไรต่อไป”
“บอกพี่ชัยให้ไปแจ้งกับคุณโจชัวใช่ไหมป้า”
“เออสิวะ จะชักช้าอยู่ทำไม”
“โอเค ๆ งั้นเดี๋ยวฉันมานะ”
ดารินได้แต่มองป้าสาและหลานสาวยืนคุยกัน แต่ฟังไม่ได้ศัพท์ ท่าทางดูร้อนรนแปลก ๆ แต่เธอก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ เพราะอาการปวดหัวได้แทรกเข้ามาเป็นพัก ๆ มันทำให้เธอต้องเอนตัวลงบนเตียง จากนั้นหลับตาลงเพื่อพักผ่อนอีกครั้งหนึ่ง