บทที่ 9 เข้าสู่คฤหาสน์เพมเบอร์ตัน
ณ สวนหลังบ้านคฤหาสน์เพมเบอร์ตัน
ดอกทิวลิปหลากสีบานสะพรั่งท่ามกลางแสงแดดอ่อน ๆ ของยามเช้า สวนทิวลิปทอดยาวไปจนสุดสายตาในพื้นที่จำนวน 1 ไร่ของบริเวณหลังบ้าน ดอกสีแดงสดของดอกทิวลิปตัดกับสีเหลืองสดใสขาวบริสุทธิ์ และชมพูอ่อน ทั้งหมดเรียงรายกันเป็นแถว กลิ่นหอมของดอกไม้ถูกลมพัดเบา ๆ นำพาความสดชื่นไปทั่วบริเวณ สวนดอกไม้แห่งนี้เป็นสวนดอกไม้ในฝันของโจลีนน้องสาวของเขา ทว่าน่าเสียดายที่น้องสาวของเขาไม่มีโอกาสได้เห็นสวนแห่งนี้อีก
ต่อไปแล้ว
“คุณโจชัวครับ คุณโจชัว!!”
เสียงกึ่งวิ่งกึ่งตะโกนของชัชชัย ดังแว่วมาแต่ไกล ทำให้โจชัวที่ใช้กรรไกรตัดแต่งต้นไม้อยู่หยุดชะงักเพื่อรอฟังข่าว
เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาเปลี่ยนจากก้มหน้า มายืนในท่าปกติ มือหนึ่งถอดถุงมือผ้าออกจากอีกข้าง ก่อนจะเปลี่ยนมาถอดอีกข้างหนึ่ง จากนั้นใช้หลังมือปาดเหงื่อเม็ดเล็กที่ซึมผุดออกมาจากใบหน้า แล้วรอฟังอย่างใจเย็น
แฮ่ก แฮ่ก
เสียงหอบพร้อมกับเสียงสูดลมหายใจเข้าของชัชชัย ทำให้โจชัวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มันเรื่องอะไรที่ทำให้ลูกน้องของเขาวิ่งหน้าตั้งมาขนาดนี้ หรือเป็นเพราะว่าผู้หญิงคนนั้นตายแล้ว
“ว่ามา”
“ผู้หญิงคนนั้นฟื้นแล้วครับ”
“บอกแล้วใช่ไหม ถ้าไม่ตายไม่ต้องมาแจ้ง”
น้ำเสียงเข้มเต็มไปด้วยความเย็นชา พูดอย่างไม่แยแส เขาละทิ้งความสนใจจากนั้นก้มหน้าลงไปตัดแต่งต้นทิวลิปต่อ
“ฟื้นแล้วก็จริงครับ แต่ป้าสาแกบอกว่าผู้หญิงคนนั้นความจำเสื่อมครับ”
ฉึบ!
กรรไกรในมือเผลอตัดดอกทิวลิปสีแดงร่วงลงพื้น เพราะประโยคเมื่อครู่ทำให้คุณชายตระกูลดังให้ความสนใจมากกว่าดอกทิวลิปในสวนเสียอีก
“พูดมาอีกที”
“ครับ ป้าสาบอกว่าเธอฟื้นมาจำเรื่องราวอะไรไม่ได้เลยครับ แม้แต่ชื่อก็จำไม่ได้ เค้นถามกี่รอบเธอก็ตอบคำถามเดิม ๆ ครับ ป้าสาแกเคยเป็นพยาบาลเก่าใกล้ชิดคนป่วยมาเยอะ ป้าแกเลยเดาว่าผู้หญิงคนนั้นอยู่ในภาวะความจำเสื่อมเนื่องจากสมองได้รับความกระทบกระเทือน หรืออาจเป็นเพราะว่าอาจจะผ่านเรื่องราวที่เจ็บปวดมา สมองเลยสั่งให้ลืมชั่วคราวครับ”
“อย่างนั้นเหรอ...”
เขาถามย้ำแต่ไม่ได้ต้องการให้ลูกน้องตอบคำถามอีกรอบ ใบหน้าหล่อเหลาที่เรียบนิ่งอยู่ กลับเผยรอยยิ้มที่ชั่วร้ายขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“ครับ แล้วจะทำอย่างไรกับเธอครับ”
“อืม ถ้าอย่างนั้นบอกเธอว่าชื่อลินดา เป็นหลานป้าสา ทำหน้าที่ดูแลคฤหาสน์เพมเบอร์ตัน พรุ่งนี้ให้เธอมาพบฉันก่อนจะทำงาน”
“ครับคุณโจชัว เดี๋ยวผมจะบอกป้าสาเดี๋ยวนี้ครับ”
ชัชชัยพูดพร้อมกับโค้งศีรษะลงเล็กน้อย ทันทีที่ชัชชัยเดินออกไปใบหน้าของชายหนุ่มกลับเรียบนิ่งอีกครั้ง ก่อนจะพูดว่า
“ในสวนดอกไม้ ต้องมีแค่ดอกไม้ หากมีวัชพืชต้องถูกกำจัดออก”
โจชัวพูดในขณะที่มือหนึ่งดึงต้นวัชพืชออก วัชพืชที่เขาหมายถึงนั่นก็คือ ดาริน หญิงสาวเคราะห์ร้ายที่ต้องมารับโทษแทนพี่สาว
วันรุ่งขึ้น เวลาประมาณ 6 โมงเช้า
“ลินดาเร็ว ๆ สิ วันนี้ต้องไปคฤหาสน์แต่เช้านะ ขืนชักช้าคุณโจชัวจะต่อว่าเอา”
เสียงนวลกำชับเป็นรอบที่สาม เมื่อเห็นว่าลินดากำลังบรรจงเอาข้าวกลางวันใส่ปิ่นโตอยู่
เจ้าของใบหน้าสวยยิ้มรับพลางพยักหน้าให้นวลเบา ๆ เมื่อคืนป้าสาบอกกับเธอว่า เธอมีชื่อว่าลินดา มีป้าสาเป็นญาติห่าง ๆ เพียงคนเดียว
เจ้าของใบหน้าสวยทำงานอยู่ที่คฤหาสน์เพมเบอร์ตันได้ไม่ถึงสัปดาห์ เธอก็ประสบอุบัติเหตุทำให้ความจำเสื่อมไปชั่วขณะ เรื่องราวที่ป้าสาเล่าให้ฟังเธอไม่สงสัยแต่อย่างใด เพราะทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันและพูดตรงกัน ดังนั้นคนตัวเล็กจึงทำได้เพียงก้มหน้าก้มตาทำงานที่คฤหาสน์ต่อไป
“เสร็จแล้วจ้ะ ข้าวกลางวันเสร็จเรียบร้อยแล้ว แล้วนี่ของพี่นวลจ้ะ”
เสียงเจื้อยแจ้วอันสดใสของลินดา ทำให้นวลยิ้มออกมา และนวลก็คิดว่า ผู้หญิงที่น่ารักขนาดนี้ เจ้านายของตยไปมีความแค้นอะไรกับเธอกัน
“โอเค ๆ รีบ ๆ ขึ้นรถเลย พี่ชัยมารับแล้ว บ้านพักอยู่ไกลเกือบ 1 กิโล ช้ากว่านี้ได้เดินไปนะ”
“โอเคจ้า”
หลังจากที่นวลและคนอื่น ๆ ขึ้นมาบนรถคันใหญ่นั่งได้ประมาณ 10 กว่าคน รวมเบาะหน้า ลินดาที่รู้สึกไม่คุ้นเคยกับที่นี่จึงเอ่ยปากถามขึ้นมาว่า
“ทำไมฉันไม่คุ้นกับที่นี่เลยจ้ะพี่นวล แล้วคุณโจชัวเขาเป็นคนแบบไหน ทำไมฉันนึกภาพไม่ออกเลย อย่างน้อยหากเป็นเจ้านาย ฉันควรจะจำอะไรได้บ้างใช่ไหม”
“ก็เอ็งน่ะ ความจำเสื่อมจะไปจำอะไรได้ ไม่แปลกที่จะไม่คุ้นเคย เออ แล้วก็ฉันขอเตือนอะไรเอ็งเอาไว้ว่า เจ้านายของบ้านนี้น่ะ อารมณ์ไม่คงที่ถ้าเขาห้ามอะไร ก็ห้ามฝ่าฝืนโดยเด็ดขาด”
“รวมไปถึงใช้โทรศัพท์มือถือด้วยเหรอจ้ะ”
เรียวปากสีหวานย้อนถาม เพราะเมื่อคืนเธอถามถึงโทรศัพท์มือถือ แต่ทุกคนบอกว่าที่นี่ห้ามใช้และห้ามเล่นอินเทอร์เน็ต เธอก็ไม่เข้าใจว่าทำไมคฤหาสน์ใหญ่โตและทันสมัยถึงเพียงนี้ ถึงมีกฎโบราณ
คร่ำครึอยู่
“นั่นแหละ ใช่ ๆ”
สิ้นเสียงของนวล ดารินได้แต่พยักหน้าเบา ๆ ตลอดทางทุกคนต่างเงียบกริบ ไม่มีเสียงพูดคุยกันไปจนถึงคฤหาสน์เพมเบอร์ตัน
เวลา 8.30 น.
ลินดาหรือว่าดาริน ลูกคนสุดท้องของตระกูลไพศาลสกุลรัตน์ ได้สวมรอยเป็นพี่สาวฝาแฝดของตัวเอง ทว่ากลับเคราะห์ร้ายถูกรถชนจนความจำเสื่อม ซึ่งตอนนี้ชีวิตของเธอได้กลายเป็นแม่บ้านคนหนึ่งของคฤหาสน์เพมเบอร์ตัน
“ลินดาเธอทำห้องนี้ไปนะ ส่วนฉันจะไปทำความสะอาดห้องของคุณโจชัว ทำดี ๆ อย่าทำของหล่น ของแตกล่ะ และห้ามโยกย้ายของไปไว้ที่อื่นด้วย เดี๋ยวฉันมา”
เสียงของพรพิมลเป็นแม่บ้านสาวอายุไล่เลี่ยกับดาริน เธอเข้ามาเป็นแม่บ้านตั้งแต่เรียนจบชั้นมัธยมปลาย ความฝันของเธอคืออยากได้สามีที่ร่ำรวย จึงมาสมัครเป็นแม่บ้านของตระกูล
เพมเบอร์ตัน
ตั้งแต่ที่พรพิมลก้าวขาเข้ามาในคฤหาสน์ เขาก็ตกหลุมรักโจชัวจนถอนตัวไม่ขึ้น ทว่าโจชัวมาแค่ปีละครั้ง ทำให้พรพิมลมีความหวังเกือบเป็นศูนย์ ในตอนนี้ดูเหมือนว่าเจ้านายหนุ่มจะมาอยู่ที่นี่ถาวร ความหวังของเธอก็กลับมาอีกครั้ง และวิธีเดียวที่จะทำให้โจชัวชายตามองคือการให้เขาเห็นหน้าเธอบ่อย ๆ
“โอเค”
ลินดาตอบ พลางถือผ้าขนนุ่มเช็ดกรอบรูปที่ตั้งอยู่บนโต๊ะกระจก ในรูปเป็นผู้หญิงลูกครึ่งหน้าตาสะสวย มีชายคนหนึ่งโอบไหล่ของเธออยู่ ดารินเป็นคนที่ฉลาดก็เดาออกว่าชายคนนั้นน่าจะเป็นโจชัว เจ้าของคฤหาสน์แห่งนี้อย่างแน่นอน
“เอ๊ะ กำไลที่ข้อมือของเธอซื้อมาเท่าไหร่”
“ฉันจำไม่ได้จ้ะ ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาอันนี้มันก็อยู่ที่ตัวของฉันตลอด”
“แน่ใจใช่ไหมว่าไม่ได้ขโมยหรือหยิบอะไรไปจากห้องนี้”
พรพิมลถามย้ำ เพราะกำไลสีเงินที่เธอใส่เป็นกำไลราคาหลายแสนแถมยังเป็นทองคำขาวบริสุทธิ์ ผู้หญิงตรงหน้าเป็นแค่แม่บ้านจะมีปัญญาซื้อได้อย่างไร เคยเห็นแต่คุณโจลีนใส่แค่ครั้งสองครั้งแค่นั้น
“ไม่นะคะ ยังไม่ได้หยิบอะไรจากห้องนี้ไปเลย เธอก็เห็นว่าฉันพึ่งเข้าห้องนี้มาพร้อมกับเธอ”
“ลำพังแม่บ้านอย่างเธอจะซื้อกำไลแพงขนาดนี้ได้ยังไง ไม่มีทาง เธอต้องขโมยมาแน่ เอามานี่สิ ถ้าไม่ได้ขโมยก็เอามาให้ฉัน ฉันจะได้ไปถามคุณโจชัวว่าใช่ของคุณโจลีนไหม”
“ฉันไม่ให้ ฉันบอกไม่ได้ขโมย แล้วจะมาแย่งอะไรจากฉันอีกล่ะ”
“ก็ฉันไม่เชื่อไง เอามา!!!”
พรพิมลเสียงเข้ม พร้อมกับเข้าไปแย่งกำไลจากข้อมือของลินดา
“กำไลนี้เป็นของฉัน อย่าเอาไปนะ ฉันบอกว่าไม่ได้ขโมย”
ลินดาชักมือกลับ แต่พรพิมลยังไม่ลดละ ใช้แรงทั้งหมดที่มีกระชากดึงกำไลออกจากข้อมือบาง แรงฉุดยื้อกันไปกันมาระหว่างหญิงสาวทั้งสองคนทำให้กรอบรูปของโจลีนที่ตั้งอยู่บนโต๊ะตกลงมาแตก
เพล้ง!!
พรพิมลหยุดชะงัก ใบหน้าที่เป็นสีชมพูดค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีขาวซีดราวกับกระดาษ
เพียงชั่วพริบตาเสียงกระจกที่แตกในห้องของโจลีน ก็เรียกให้เหล่าแม่บ้านและคนใช้เข้ามามุงในห้องนี้โดยอัตโนมัติ เพราะตั้งแต่ที่ทำงานมา ไม่เคยมีใครทำข้าวของเสียหายเลยสักคน