ตอนที่ 1 ข้อตกลง
บ้านหลังใหญ่ของตระกูลสันติกุล ที่เป็นผู้มีอิทธิพลในจังหวัดใหญ่แห่งหนึ่ง ตอนนี้กำลังมีการขับไล่คุณนายรองออกไปจากบ้าน ด้วยสาเหตุคือการคบชู้ ซึ่งเธอบอกว่าเธอไม่ได้ทำ และโดนใส่ร้ายจากคนในตระกูล
“ออกไปจากบ้านฉัน” เสียงของอารยะดังก้องขึ้นอย่างน่ากลัว ท่ามกลางลูกน้องของเขาที่ยืนรายล้อมตัวเธอไว้อยู่
เขาเป็นชายหนุ่มวัยสามสิบห้าปีที่มีอิทธิพลมากที่สุดในจังหวัด เปรียบเสมือนมาเฟียขาวที่ทำงานอย่างถูกกฎหมาย
“พิมไม่ได้นอนกับไอ้บ้านี่ พิมถูกจัดฉาก” พิมพิลาบอกเขา ไม่ยอมรับความผิด
ลูกน้องของอารยะลากลูกน้องอีกคนที่อยู่ในสภาพเสื้อผ้ายับยู่ยี่ออกมาแล้วซ้อมต่อหน้าของพิมพิลา
“ผมไม่ได้นอนกับคุณนาย ผมถูกใส่ร้าย นายได้โปรดเชื่อผมเถอะครับ” เขาพยายามบอก น้ำเสียงอ้อนวอนขอความเมตตา
“พวกมึงนอนแก้ผ้าอยู่บนเตียงขนาดนั้น ยังบอกว่ากูเข้าใจผิดอีกเหรอ เลี้ยงไม่เชื่อง” อารยะพูดแล้วเดินไปเตะท้องของฝ่ายชายจนตัวงอ แล้วเดินไปตรงหน้าของพิมพิลา ภรรยารองที่เขาตบแต่งเธอเข้ามาเพื่อให้เธอเป็นผู้ให้กำเนิดทายาทของตระกูลแทนนุสราภรรยาเอกของเขาที่เธอไม่สามารถมีลูกให้เขาได้
อารยะใช้หลังมือตบเข้าที่ใบหน้าของเธออย่างแรง ด้วยความโมโห
“กูให้โอกาสมึงเก็บของออกจากบ้านกูภายในคืนนี้ แล้วอย่ากลับมาให้กูเห็นหน้า ไม่งั้นกูไม่เอามึงไว้แน่” อารยะพูดเสียงกร้าว
เขามองหน้าภรรยารองที่เขาให้เกียรติเธอพอๆ กับนุสรา แต่เธอยังไม่พอใจ กล้านอกใจเขากับลูกน้องชั้นปลายแถวที่บ้านของเขาเอง เหมือนภรรยารองอีกสองคนที่ผ่านมาไม่มีผิด
พิมพิลาร้องไห้แล้วเดินขึ้นไปเก็บข้าวของ เพราะเธอรู้ดีว่าอารยะจริงจังแค่ไหน แก้ตัวไปตอนนี้ก็เปล่าประโยชน์
เธอยอมตบแต่งเข้ามาเพราะเห็นแก่เงินก็จริง แต่เธอไม่เคยคิดนอกใจเขาแม้แต่ครั้งเดียว แต่แก้ตัวไปก็เท่านั้นในเมื่อเขาเชื่อในภาพที่เห็นไปแล้ว พิมพิลาจึงยอมจากไปแต่โดยดี แม้จะเสียดายความร่ำรวยของเขา แต่ก็รักชีวิตมากกว่าที่จะเอามาทิ้งไว้ที่นี่ เพราะอารยะสามารถทำให้เธอหายไปจากโลกนี้ได้
นุสรายืนมองเหตุการณ์อยู่ห่างๆ เธอรู้ว่าอารยะคาดหวังกับพิมพิลาเพียงใด และอยากให้เธอตั้งครรภ์ทายาทให้กับเขา แต่ก็มาเกิดเรื่องบัดสีแบบนี้ก่อน
นุสรารู้ดีว่าพิมพิลาเห็นแก่เงิน แต่เธอก็รู้ว่าคนเห็นแก่เงินอย่างเธอ ไม่น่าจะทำอะไรที่เสี่ยงต่อการสูญเสีย เพราะนอกจากอารยะจะรวยมากแล้ว เขายังเป็นผู้มีอิทธิพลในแถบนี้และมีหน้าตาที่หล่อเหลายากที่จะหาใครเทียบได้ในวัยสามสิบห้าปี
พิมพิลาถือกระเป๋าเดินจากไปทั้งน้ำตา เสียดายทรัพย์สมบัติของเขา แต่การที่เธอเอาชีวิตรอดออกไปจากที่นี่ได้ก็ถือว่าดีมากแล้ว เธอเลยรีบออกไปก่อนที่อารยะจะทำอะไรที่รุนแรงกว่านี้
อารยะเข้าหาพิมพิลาแทบทุกคืน แต่ไม่เคยนอนค้างด้วย เขาต้องกลับมานอนกอดนุสราอยู่เสมอ เพราะเขารักเธอมาก แต่ติดตรงที่ว่าเขาต้องมีทายาทไว้สืบสกุล เขาเลยต้องมีภรรยาอีกคนเพื่อทำหน้าที่แทนนุสรา
ในบ้านหลังนี้นอกจากจะมีอารยะและนุสราที่เป็นใหญ่ในบ้านแล้ว ก็ยังมีน้องสาวของอารยะชื่อไอรดา เธอครองตัวโสดมานานถึงสามสิบปี เพราะคนที่เข้ามาจีบเธอแต่ละคนนั้นไม่ได้รักเธอจริง แต่เข้ามาเพราะชื่อเสียง เงินทอง และอำนาจของตระกูลเธอที่พ่อแม่ทิ้งสมบัติไว้ให้ก่อนที่จะลาโลกไปเมื่อหลายปีมาแล้ว
ไอรดาเดินออกมามองพิมพิลาที่เดินออกไปด้วยความสะใจ เธอเป็นคนวางยานอนหลับพิมพิลาและลูกน้องปลายแถวคนหนึ่งแล้วจัดฉากให้ทั้งคู่นอนอยู่ด้วยกัน เพราะเธอไม่ชอบที่พิมพิลาชอบผลาญเงินของพี่ชายเธอไปวันๆ โดยไม่ทำงานทำการอะไร เหมือนภรรยารองคนอื่นๆ ของเขาที่ผ่านมาแล้วสองคนที่เธอใช้แผนนี้จัดการออกไปแล้ว
“พี่ใหญ่ค่ะ เล็กว่าพี่ไปพักผ่อนก่อนเถอะคะ ทางนี้เล็กจัดการต่อเอง” ไอรดาบอกพี่ชาย แล้วเดินไปสั่งลูกน้องให้จัดการพาทั้งสองคนออกไปจากเขตบ้านให้เร็วที่สุด
อารยะเดินไปสวมกอดภรรยาแล้วเดินขึ้นห้องไปกับเธอ
“ไม่เป็นไรนะคะ เดี๋ยวอ้อมหาคนใหม่ให้พี่ใหญ่เองนะคะ” นุสราปลอบใจสามีด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
“พี่ไม่อยากมีใครเลย แต่พี่อยากมีลูก อ้อมเข้าใจพี่นะ” อารยะพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง เขาไม่อยากให้เธอต้องเสียใจเวลาเขาไปนอนกับภรรยาอีกคน
“คราวนี้พี่ไม่แต่งเข้าบ้านแล้วนะ จ้างมาอุ้มท้องก็พอ ไม่ไหวแล้ว” อารยะพูดขึ้นตามความเห็นของไอรดาที่บอกเขาก่อนหน้านี้ ว่าอยากให้เขาหาผู้หญิงมาอุ้มท้องแต่ไม่ต้องยกย่อง ทำหน้าที่แค่ตั้งท้องแล้วก็จบ จะได้ไม่ต้องคาดหวังอะไรกับคนแม่ให้มันมาก
นุสรากอดเขาไว้แน่น เธอรักเขาและต้องยอมรับว่าตัวเองบกพร่องที่มีลูกไม่ได้ เลยยอมให้เขามีคนอื่นทั้งๆ ที่เธอก็เจ็บปวด
***************************
โสภิดา คือเด็กสาวที่มีฐานะทางบ้านค่อนข้างลำบาก ครอบครัวของเธอนั้นทำไร่ ผลผลิตที่ขายได้ก็พอใช้ได้แค่ประทังชีวิตให้อิ่มท้อง เธอเรียนจบแค่มัธยมศึกษาตอนต้นก็ต้องออกมาช่วยที่บ้านปลูกผักขายตามฤดูกาล
บ้านเธอไม่มีเงินเก็บเป็นก้อนแต่ก็ไม่ได้มีหนี้สินอะไร จึงไม่ได้ลำบากมากนัก แต่ก็ไม่ได้มีเงินส่งเธอเรียนต่อในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายอยู่ดี
โสภิดาจึงต้องปลูกผักขายผัก และเลี้ยงไก่ไว้เก็บไข่ขาย เพื่อส่งตัวเองเรียนชั้นมัธยมปลายในระบบการศึกษานอกโรงเรียนที่มีค่าใช้จ่ายในการสมัครไม่สูงมาก และเรียนแค่วันเสาร์และวันอาทิตย์เท่านั้น
และเธอก็สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมปลายได้สมใจเมื่ออายุสิบแปดปีเท่ากับเพื่อนๆ รุ่นเดียวกัน แล้วเธอก็ใช้วุฒินั้นในการสมัครงานที่สามารถทำรายได้มากกว่าการขายผัก ซึ่งก่อนหน้านี้เธออายุยังไม่ถึงสิบแปดเลยไม่มีใครรับเธอเข้าทำงาน
เธอทำงานที่โรงงานผลิตเส้นก๋วยเตี๋ยวได้ค่าจ้างเป็นรายวัน และพอเลิกงานจากโรงงานเธอก็ไปทำงานที่ร้านบะหมี่ในตลาดต่อโดยเป็นพนักงานเสิร์ฟและล้างจาน ได้ค่าแรงพอๆ กับโรงงาน ตั้งใจจะเก็บเงินก้อนนี้เพื่อศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยที่มหาวิทยาลัยเปิดวิทยาเขตใกล้บ้าน
เธอทำงานและเก็บเงินอยู่สองปีจนมีเงินเก็บก้อนเล็กๆ และสมัครเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัยอย่างที่ตั้งใจไว้ตอนอายุยี่สิบปี
ตอนนี้เธอทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย ในวันเสาร์-อาทิตย์โรงงานหยุดเธอก็ไปเรียนได้สะดวก ตอนค่ำก็มาทำงานที่ร้านบะหมี่ต่อไม่เคยขาด
ชีวิตของโสภิดากำลังดีขึ้นเรื่อยๆ จนตอนนี้เธออายุยี่สิบสองปีและเรียนอยู่ชั้นปีที่สองในมหาวิทยาลัยเปิดในคณะบัญชี เพราะเป็นสาขาที่หางานได้ง่ายที่สุดแล้ว ถึงแม้จริงๆ เธออยากเรียนเกี่ยวกับคหกรรมเพราะชอบทำอาหารก็ตาม
แล้วในที่สุดวันที่ชะตาเล่นตลกกับชีวิตเธอก็มาถึง พ่อของเธอล้มป่วยกะทันหันต้องได้รับการผ่าตัดอย่างเร่งด่วน สิทธิการรักษาพยาบาลของรัฐฯ ก็มีจำกัด การผ่าตัดนี้นอกเหนือจากสิทธิในการรักษาเพราะต้องส่งตัวไปที่โรงพยาบาลเอกชนที่มีเครื่องมือพร้อมเท่านั้น
แม่ของโสภิดาจึงตัดสินใจเอาโฉนดที่ดินใบเดียวที่มีไปจำนองไว้กับไอรดาเพื่อมาทำการรักษาสามี และไม่เคยส่งเงินใช้หนี้เลยสักบาทโดยไม่บอกให้โสภิดารู้ว่าเอาเงินมาจากไหน
โสภิดาเข้าใจว่าแม่คงมีเงินเก็บไว้ใช้ยามฉุกเฉินแบบนี้ เลยไม่ได้ถามอะไรมาก
แต่เมื่อพ่อของเธอหายดีและกลับมารักษาตัวต่อที่บ้านได้สักระยะ ไอรดาก็ส่งคนมาติดป้ายของยึดบ้านและที่ดิน ให้พวกเธอย้ายออกไปในอีกสามวัน โสภิดาถึงรู้ว่าเงินที่แม่ใช้มารักษาพ่อนั้นมาจากการเอาบ้านและที่ดินไปจำนองไว้
โสภิดาร้อนใจขอเข้าพบไอรดาเพื่อขอต่อรอง เธอนั่งร้องไห้อยู่หน้าบริษัทเงินกู้อย่างน่าเวทนา จนในที่สุดไอรดาก็ให้เธอเข้าพบเพราะไล่เท่าไรโสภิดาก็ไม่ยอมกลับไป
“หนูมาขอความเห็นใจ อย่าเพิ่งยึดที่ดินของหนูเลยนะคะ บ้านเราลำบากมาก พ่อก็เพิ่งจะหายป่วยกลับมาพักฟื้นที่บ้าน ให้โอกาสหนูอีกสักครั้งนะคะ หนูจะหาเงินมาทยอยจ่ายคืนให้คุณจนกว่าจะครบทั้งต้นและดอกเลย” โสภิดาขอร้อง เธอยกมือไหว้ขอความเห็นใจจากไอรดา
ไอรดาพินิจดูหน้าตาของโสภิดาแล้วก็นึกอะไรดีๆ ออก
“ที่จริง ฉันก็ไม่ได้อยากได้ที่ดินตรงนั้นอยู่แล้ว จะว่าไปมันก็ไม่ได้มีทำเลที่เหมาะกับการลงทุนสักเท่าไร” ไอรดาพูดขึ้นมา ทำให้โสภิดายิ้มอย่างมีความหวัง
ไอรดาไล่ให้ลูกน้องของเธอออกไปจากห้องเพื่อคุยกับโสภิดาตามลำพัง
“ฉันมีข้อเสนอให้เธอ เป็นข้อเสนอเดียว ถ้าเธอไม่รับไว้ ฉันก็ช่วยอะไรเธอไม่ได้” ไอรดาบอกแล้วยิ้มกริ่ม
“ข้อเสนออะไรคะ” โสภิดาถามอย่างมีความหวัง
“เป็นเมียเก็บพี่ชายของฉัน จนกว่าเธอจะท้องแล้วมอบเด็กนั่นให้เขา จะเป็นหญิงหรือชายก็ไม่เกี่ยง แล้วเธอก็ไปซะ ห้ามกลับมายุ่งเกี่ยวกับเด็กอีก ถ้าเธอรับปากฉันจะให้เธอเซ็นสัญญาแล้วคืนโฉนดให้เธอตอนนี้ พร้อมจ่ายเงินเดือนให้เธอทำหน้าที่ปรนนิบัติพี่ชายของฉันเดือนละสองหมื่น ถ้าเขาพอใจเธอ เธออาจได้มากกว่านั้น แต่ถ้าเมื่อไหร่เธอร้องขออะไรกับเขามากเกินไป ฉันไม่เอาครอบครัวเธอไว้แน่” ไอรดาบอกโสภิดาและลงท้ายด้วยการขู่เธอ
โสภิดานิ่งเงียบไปสักพักและตอบตกลง
“หนูตกลงคะ แต่หนูมีข้อแม้แค่เรื่องเดียว หนูขอกลับบ้านทุกวันเสาร์และอาทิตย์เพื่อดูแลพ่อแม่ และเรียนต่อให้จบ ได้หรือเปล่าคะ” โสภิดาบอกเงื่อนไขให้เธอ
“ได้สิ” ไอรดายิ้มอย่างพอใจ แล้วร่างสัญญาให้เธอเซ็นทันที
“เรื่องโฉนดฉันเปลี่ยนใจแล้ว ฉันจะถือไว้ก่อน แต่จะเปลี่ยนสัญญาเงินกู้เป็นชื่อเธอและขยายเวลาชำระหนี้ออกไปแทน เผื่อเธอตุกติก อย่างน้อยฉันก็มีโฉนดไว้เป็นประกัน” ไอรดาบอก โสภิดาพยักหน้าตอบตกลงทันทีอย่างไม่ต้องคิด แค่ตอนนี้เธอไม่โดนยึดที่ดิน มีที่ซุกหัวนอนแค่นี้เธอก็พอใจแล้ว
“แล้วหนูต้องทำยังไงบ้างคะ”
“เดี๋ยวฉันให้คนพาเธอกลับไปบอกพ่อแม่ ไม่ต้องเก็บเสื้อผ้า เพราะฉันจะพาไปซื้อใหม่ แล้วไปอยู่ที่บ้านของฉันตั้งแต่วันนี้”
เธอใจหายเมื่อรู้ว่าต้องจากพ่อแม่ไปอยู่ที่อื่นรวดเร็วขนาดนี้ แต่ในเมื่อเธอเซ็นสัญญาแล้วก็ต้องทำตามอย่างที่พูด
โสภิดากลับไปพร้อมกับคนของไอรดา เธอบอกพ่อแม่แสร้งทำเป็นร่าเริงว่าบ้านไม่โดนยึดแล้ว เพราะไอรดาใจดีให้เธอไปทำงานที่บ้านของเธอเพื่อใช้หนี้แทน
พ่อกับแม่โล่งใจที่บ้านไม่ถูกยึด แต่ก็ยังเป็นห่วงลูกสาวคนเดียวมาก แต่โสภิดาบอกว่าเธอหยุดทุกเสาร์และอาทิตย์ จะกลับมาเยี่ยมพวกท่านบ่อยๆ พ่อแม่ของเธอจึงวางใจและปล่อยให้เธอขึ้นรถไปกับคนของไอรดา
***************************