บทที่ 9 เขาละเลย

1920 คำ
และเมื่อการศึกสงบเขาส่งข่าวบอกกับทางบ้าน งานแต่งงานของเขาและลู่ลี่ก็ถูกกำหนดขึ้นอย่างเร่งด่วน เมื่อกลับมาถึงเพราะเขาไม่เคยให้ความสำคัญกับนางจึงไม่ได้ไปพบที่เรือน นางไม่มาต้อนรับเขา เขาก็ไม่ได้ถามหาเพราะคิดว่านางอาจจะไม่อยากเห็นหน้าเขาก็เป็นได้ เมื่อคิดเช่นนั้นเขาที่ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับนางจึงปล่อยเลยตามเลยจนเรื่องกลายมาเป็นเช่นนี้จากนั้นเขาก็เข้าหอเพราะเรื่องวุ่นวายในการรับภรรยารองทำให้หานชางเหยียนไม่มีเวลาคิดถึงเมิ่งสืออี นางกลายเป็นหมอกควันจาง ๆ สำหรับเขาไปแล้ว เมื่อรู้ความจริงเขาก็ยอมรับว่าเป็นเขาที่มีความผิด ในเมื่อเขาผิดเขาก็คิดจะแก้ไขเพราะไหน ๆ นางก็คลอดบุตรสาวให้เขาคนหนึ่งแล้ว หานชางเหยียนรู้สึกว่าต้องยอมถอยสักก้าวเขาจึงเอ่ยว่า "ข้ายอมรับว่าไม่ได้อ่านจดหมายเจ้าจริง เรื่องนี้ข้าต้องขอโทษเจ้าด้วย" เมิ่งสืออีไม่รับคำขอโทษ "ไม่จำเป็นแล้ว ข้าจะพาลูกนอนท่านกลับไปเถิดเจี่ยเอ๋อร์ต้องนอนแล้ว ป่านนี้ภรรยาของท่านคงรอแล้วอย่าให้ข้าต้องเป็นตัวขัดขวางความสุขของท่านเลย เดี๋ยวสตรีนางนั้นจะเข้าใจผิดและหาเรื่องข้าอีก" หานชางเหยียนพ่นลมหายใจออกมา "เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ลู่ลี่มิใช่คนเช่นนั้นเป็นเพราะนางข้าถึงได้รู้ว่าเจ้าคลอดบุตรสาวให้ข้า นางบอกข้าเองว่าเจ้าเพิ่งคลอด นางดีเพียงนั้นเจ้าก็อย่ามองนางในแง่ร้าย เจ้าคือฮูหยินเอกต้องปรองดองกับนางอย่าหาเรื่องนางเลย ข้าเข้าใจเรื่องที่คนสกุลหานทำกับเจ้าย่อมไม่ถูกต้อง ในเมื่อข้ากลับมาแล้วข้าจะแก้ไขเรื่องนี้เอง" เมิ่งสืออีฟังคำแก้ต่างของเขาแทนลู่ลี่แล้วอยากจะอาเจียน ที่ผ่านมานางถูกลู่ลี่หาเรื่องมาตลอดและนางก็อดทนเพราะเกรงว่าจะมีผลกระทบต่อเด็กในท้อง บัดนี้คนผู้นี้กลับมาเตือนนางว่าอย่าหาเรื่องลู่ลี่ เมิ่งสืออีเบะปากเอ่ยว่า "ท่านควรเตือนสตรีของท่านมากกว่า นางก็เป็นแม่ดอกบัวขาวที่เสแสร้ง มีเพียงคนโง่เท่านั้นที่เชื่อนาง" หานชางเหยียนพ่นลมหายใจยาว พยายามเตือนสติตัวเองว่าอย่ามีโทสะ เมิ่งสืออีนางเพิ่งคลอดบุตรอารมณ์ย่อมไม่คงที่ "เห็นหรือไม่ ว่าเจ้ากล่าวหานางแล้ว อย่าเข้าใจลู่ลี่ผิดเลย" เพ้ย! เพ้ย! อ้ายอ้ายที่ดวงตาปรือจะหลับมิหลับแหล่ได้ยินหานชางเหยียนออกหน้าแทนเมียน้อยของตนแล้วถึงกับอยากถ่มน้ำลายใส่หน้าเขาแทนมารดานัก แต่ภาพของนางในยามนี้ก็คือนางกำลังส่งเสียงอ้อแอ้และพ่นน้ำลายออกจากปากเหมือนเด็กปัญญาอ่อนคนหนึ่ง "อือ อือ อา อา" อ้ายอ้ายเฝ้าเก็บข้อมูลและส่งเสียงเชียร์หม่าม้าอยู่ในใจเหมือนกำลังดูมวยคู่เอก แต่เมื่อเห็นท่านพ่อของนางปกป้องเมียน้อยเช่นนี้ก็อยากจะขึ้นสังเวียนชกแทน สิ่งที่ทำได้ก็คือการกำกำปั้นเล็ก ๆ ของนางแล้วชูแขนป้อม ๆ ขึ้นพร้อมกับเตะเท้าวุ่นวายไม่หยุด ให้ตายเถิดไยเป็นทารกจึงได้น่าสมเพชเช่นนี้ ในเวลาเช่นนี้ไยนางจึงไม่สามารถช่วยหม่าม้าได้นะ เพราะเสียงของเด็กทารกที่จู่ ๆ ก็ดังขึ้นทำให้เมิ่งสืออีรีบหันมามองบุตรสาว เห็นท่าทางประหลาดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนของบุตรสาวพร้อมกับที่ส่งเสียงไม่หยุดคนไร้ประสบการณ์เช่นนางจึงเป็นกังวลขึ้นมา "เจี่ยเอ๋อร์ของแม่เป็นอันใดหรือ" จากนั้นเมิ่งสืออีก็หันมามองหน้าไฉไฉที่นั่งอยู่หน้าประตูด้วยความสงสัย ไฉไฉรีบคลานไปหาเมิ่งสืออีเมื่อเห็นท่าทางกำหมัดแน่นของคุณหนูน้อยก็เอ่ยเบา ๆ พร้อมกับคว้าผ้ามาเช็ดน้ำลายให้ "คุณหนูไม่เป็นอันใดเจ้าค่ะ เด็กบางทีก็เล่นน้ำลายเช่นนี้เรื่องปกติเจ้าค่ะ" "ให้ข้าดูนางหน่อย" ในที่สุดหานชางเหยียนก็ทนไม่ไหวแล้ว เขาขยับเข้ามาใกล้เมิ่งสืออีแล้วคุกเข่าลงก้มหน้ามาใกล้ ๆ ใบหน้าของบุตรสาวอย่างรวดเร็ว เพราะบิดาเข้ามาใกล้นางเพียงนี้อ้ายอ้ายจึงเห็นใบหน้าของบิดาชัดเจน อ้า...ผู้ชายคนนี้คือพ่อของอ้ายอ้ายหรือ หน้าตาเขาไม่ธรรมดาเลย ใบหน้าคมขาว คิ้วกระบี่ ดวงตาเรียวยาว รูปงามดั่งเทพเซียน จะว่าไปก็เหมาะกับหม่าม้าราวกับกิ่งทองใบหยก เสียดายที่เขาเป็นผู้ชายที่ใช้ไม่ได้เลยสักนิด หล่อแล้วนิสัยหมา ๆ อ้ายอ้ายย่อมไม่อยากรับเป็นพ่อ หานชางเหยียนเห็นใบหน้าของบุตรสาวชัดเจนก็พลันตกตะลึง เด็กน้อยผู้นี้เขาเข้าข้างตนเองว่าเหมือนเขาถึงหกเจ็ดส่วน ช่างเป็นเด็กน้อยที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง ความรู้สึกของเขาในยามนี้เหมือนมีดอกไม้ที่แสนงดงามดอกหนึ่งกำลังเบ่งบานในใจ เจี่ยเอ๋อร์ของเขาช่างเป็นเด็กทารกที่น่ารักทั้งงดงามที่สุดที่เขาเคยเห็นมา ดวงตาของนางกลมโตใสกระจ่าง แก้มของนางห้อยยุ้ยสีขาวอมชมพู ร่างกายอวบขาวราวกับก้อนแป้งก้อนหนึ่ง และท่าทางที่นางจ้องเขาเขม็งในยามนี้ก็ยิ่งทำให้เขาบังเกิดความรู้สึกรักใคร่สุดประมาณ หานชางเหยียนเหม่อลอยไปแล้วเขาขยับนิ้วมาเขี่ยแขนขาวอวบราวกับหัวไชเท้าของเด็กน้อยพร้อมกับเอ่ยออกมาเบา ๆ "เจี่ยเอ๋อร์ บุตรสาวข้า ลูกของข้า ลูกของข้า" เมิ่งสืออีได้สติแล้ว นางจึงใช้มือข้างหนึ่งของตนเองผลักเขาออกห่าง แต่คนผู้นี้กลับนั่งนิ่งไม่ขยับตัวราวกับกำแพงหินหนา "อย่ามายุ่งกับลูกของข้า ถอยไป" อ้ายอ้ายเห็นด้วยกับหม่าม้า อ้ายอ้ายไม่อยากมีพ่อใจร้ายแบบนี้ อ้ายอ้ายโกรธและไม่พอใจจึงเริ่มเบะปาก จากนั้นเสียงอ้อ ๆ แอ้ ๆ ของอ้ายอ้ายก็กลายเป็นเสียงร้องไห้ระงม เพราะในใจของอ้ายอ้ายเศร้าและโกรธแค้นผู้ชายคนนั้นแทนหม่าม้า อ้ายอ้ายไม่อยากร้องไห้เลยสักนิดแต่ก็ไม่สามารถควบคุมตนเองได้ แน่นอนว่าเพราะว่านางยังเป็นเด็กทารกคนหนึ่งที่จิตใจอ่อนไหวยิ่งกว่ากิ่งหลิวเพียงถูกทำให้ไม่พอใจแม้จะเล็กน้อย ปากของนางก็เบะออกพร้อมตะเบ็งเสียงร้องและหลังน้ำตาได้ราวกับทำนบพัง อ้ายอ้ายอดทนเรื่องความหิวได้แต่ความเสียใจนี้ไม่สามารถอดทนได้จริง ๆ เมิ่งสืออีได้ยินเสียงร้องของบุตรสาวก็พลันตกใจ ตั้งแต่เกิดมาได้สามวันเจี่ยเอ๋อร์ของนางร้องไห้เพียงหนเดียวก็คือตอนที่คลอดออกมา จากนั้นก็มักจะอารมณ์ดีตื่นขึ้นมาก็ส่งเสียงเล็ก ๆ ร้องเรียกมารดาเพียงไม่กี่แอะ แต่ครานี้เมื่อได้ยินเสียงของบิดาผู้ใจร้ายอ้ายอ้ายก็แสดงความไม่พอใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด เมิ่งสืออีหันไปมองหานชางเหยียนด้วยดวงตาประดุจปีศาจร้ายที่น่ากลัว นี่เป็นครั้งแรกที่นางใช้สายตาเช่นนี้กับเขาทำให้หานชางเหยียนรู้สึกขนลุกได้อย่างประหลาด "นางร้องไห้เพราะท่าน หานชางเหยียนท่านทำให้ลูกของข้าไม่พอใจ ตั้งแต่เกิดมาเจี่ยเอ๋อร์ไม่เคยร้องไห้สักแอะเพียงท่านโผล่หน้ามาก็เป็นเช่นนี้แล้ว" หานชางเหยียนอ้าปากค้าง เขายกนิ้วชี้ที่ตัวเอง "ข้าหรือ..." เมิ่งสืออีตะโกนขับไล่ "ใช่นะสิ ไสหัวไปเลยนะอย่ามาให้ข้าเห็นหน้า บุตรสาวข้าต้องการนอนแล้วท่านกลับไปเถิดอย่ามายุ่งกับพวกเราแม่ลูกอีก" นางด่าเขาเสียงดังลั่นทั้งท่าทางที่แสดงออกก็เหมือนรังเกียจเขาหนักหนา พร้อมกับเสียงของบุตรสาวที่เขาเพิ่งตกหลุมรักจนถอนใจไม่ขึ้นยังร้องไม่หยุด หานชางเหยียนยิ่งตกตะลึงและทำสิ่งใดไม่ถูก เมื่อเห็นว่าบุตรสาวร้องไห้หนัก เมิ่งสืออีจึงอุ้มลูกลุกขึ้นโดยมีไฉไฉช่วยประคอง นางอุ้มบุตรสาวไปนอนที่เตียงจากนั้นก็หันหลังให้ เป็นการปิดการสนทนาทั้งหมด นางไม่อยากเห็นหน้าเขาอีกแล้ว อ้ายอ้ายยังส่งเสียงร้องไห้เพราะเจ็บแค้นแทนมารดายิ่งนัก คิดถึงเรื่องที่อ้ายอ้ายได้ยินในวันแรกที่ไฉไฉเคยพูดเรื่องจดหมายที่ส่งไปชายแดน ตอนนั้นอ้ายอ้ายยังไม่เข้าใจว่าพวกเขาพูดถึงเรื่องอะไรกันแต่ตอนนี้อ้ายอ้ายเข้าใจแล้ว ไม่เพียงแต่จดหมายที่หม่าม้าส่งถึงผู้ชายคนนั้น แต่ยังมีเสื้อคลุมที่หม่าม้าตัดเย็บและปักด้วยตนเอง และอาหารแห้งอีกหลายอย่างที่หม่าม้าตั้งใจทำส่งไปให้ ดูท่าทางแล้วเขาคงไม่เคยแตะต้องของพวกนั้นเลยแม้แต่น้อย ช่างเป็นหม่าม้าที่น่าสงสารจริง ๆ หานชางเหยียนมองแผ่นหลังบอบบางของเมิ่งสืออีที่กำลังปลอบเด็กน้อย ม่านคลุมเตียงถูกไฉไฉปลดลงมาก่อนที่ไฉไฉจะเอ่ยว่า "นายท่าน ฮูหยินกำลังจะให้นมคุณหนูเจ้าค่ะ" ไฉไฉย่อมไม่กล้าขับไล่เขา นางเอ่ยแค่นั้นก็ยืนเฝ้าอยู่หน้าเตียงเงียบ ๆ ไม่เอ่ยคำใดอีก เมื่อถูกมารดาโอบกอดทั้งปลอบโยนเมิ่งสืออีที่เริ่มหิวอีกแล้วจึงโผเข้าไปดูดนมของมารดาและหลับตาพริ้มส่งเสียงสะอื้นฮึก ฮึก พร้อมกับปากเล็ก ๆ ที่ขยับดูดเต้าของมารดาเบา ๆ ดูเอาเถิดอ้ายอ้ายถนอมหม่าม้าแค่ไหน ขนาดดูดนมยังค่อย ๆ ทำเลย ผู้ชายคนนั้นถึงจะขึ้นชื่อว่าเป็นพ่ออ้ายอ้ายก็จะไม่ปล่อยให้เขารังแกหม่าม้าเป็นอันขาด เสียงทารกเงียบไปแล้วหานชางเหยียนจึงค่อยใจสงบลง ทว่าในเวลานั้นเสียงของสตรีนางหนึ่งพลันดังลอดเข้ามาจากนอกเรือน "ท่านพี่เจ้าคะ เกิดอะไรขึ้น ให้ลู่ลี่เข้าไปได้หรือไม่" เมิ่งสืออีดวงตาเบิกกว้างเมื่อได้ยินเสียงนั้น นางไม่คิดว่าลู่ลี่จะมาตามคนถึงที่นี่ หัวใจของนางเจ็บช้ำเกินพอแล้ว นางจึงเอ่ยว่า "พวกท่านรีบไสหัวไปเถิด อย่ารบกวนเจี่ยเอ๋อร์ของข้าอีกเลย เด็กเล็กไม่ชอบความวุ่นวายท่านทำนางสะดุ้งหลายคราแล้ว หานชางเหยียนกับข้าท่านจะทำร้ายอย่างไรข้าทนได้ แต่อย่าคิดมาทำให้บุตรสาวของข้าได้รับความลำบาก ข้าเมิ่งสืออีต่อให้ต้องตายข้าก็จะปกป้องเจี่ยเอ๋อร์ด้วยชีวิต"
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม