ป้องเขตรู้สึกโล่งอกที่มารดาไม่พูดถึงเรื่องหลานและผู้หญิงคนไหนอีกหลังจากวันนั้น คิดว่าตอนนี้เขาคงทำตามความต้องการของตัวเองได้ หวังว่ามารดาคงจะเห็นดีเห็นชอบกับการตัดสินใจนี้ด้วย เพราะท่านเองก็ต้องการเพียงหลานเอาไว้สืบสกุลเท่านั้น
นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาไม่รู้สึกกลัวและสบายใจที่จะกลับบ้านเมืองนนท์
ในขณะที่ปลายสายกลับไม่ได้เป็นอย่างที่ชายหนุ่มเข้าใจ ช่วงระยะเวลาที่ผ่านมานางกับนางทิพย์สกุลเตรียมทุกอย่างเอาไว้พร้อมสรรพเช่นกัน แม้กระทั่งศกุนตลาก็ยังไม่ทราบว่าจะมีงานแต่งงานของตัวเองในอีกไม่กี่วันข้างหน้า และพวกนางเตรียมเหตุผลที่ชายหนุ่มและหญิงสาวไม่สามารถคัดค้านเอาไว้ หลังจากวางสายจากลูกชาย นางก็รีบต่อโทรศัพท์หานางทิพย์สกุลมารดาของหญิงสาวทันที
ในเมื่อต่างคนต่างมีแผนการของตัวเองเอาไว้ เห็นทีว่าเรื่องราวจะไม่จบลงแบบสวยงามง่ายๆ เสียแล้ว
ศกุนตลาใช้แปรงค่อยๆ หวีผมของเธอจากโคนถึงปลายอย่างแผ่วเบา หลังจากที่เตรียมของสำหรับทำขนมในวันรุ่งขึ้นเสร็จเธอก็ขึ้นบ้านและเตรียมเข้านอน วัฏจักรในชีวิตประจำวันของหญิงสาวมีเพียงเท่านี้ เพราะบ้านและร้านขนมไทยอยู่ในตัวตึกเดียวกัน หากวันไหนไม่มีงานออกร้านหรือรับจัดเลี้ยงเธอก็แทบจะไม่ได้ก้าวออกจากร้านไปไหน
ตลอดอายุยี่สิบเจ็ดปีของเธออยู่แต่ในกรอบแคบๆ ที่ตัวเองคุ้นชิน จะมีก็เพียงแต่ตอนเรียนมหาวิทยาลัยและฝึกงานที่หญิงสาวต้องอยู่ห่างไกลบ้านบ้าง แต่นางทิพย์สกุลไม่เคยเห็นว่าลูกสาวจะมีแฟนหรือสนใจใครเป็นพิเศษ ทั้งที่มีผู้ชายหลากหลายอาชีพมาเทียวไล้เทียวขื่อทำทีเป็นสนใจเธออยู่หลายคน
ปกติศกุนตลาเป็นคนพูดน้อยและเก็บความรู้สึกเก่ง คนอื่นจะเห็นเธอพูดบ้างก็ในกรณีที่มีลูกค้าเข้ามาในร้านและเธอต้องการอธิบายเพื่อที่จะขายของเท่านั้น หากเป็นเรื่องสัพเพเหระหรือเรื่องส่วนตัวของคนอื่น เธอจะเพียงรับฟังและยิ้มบางๆ แสดงถึงการรับรู้เท่านั้น
หลังจากที่สูญเสียบิดาหญิงสาวไม่เคยแสดงความอ่อนแอให้มารดาเห็น เธอพยายามทำตัวให้เข้มแข็งเพื่อที่จะเป็นหลักให้มารดาได้ยึดเหนี่ยว และเธอก็ทำได้สำเร็จ แม้ว่าตอนที่บิดาของเธอล้มป่วยและเสียชีวิตหญิงสาวจะยังอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย กับสภาพทางการเงินของครอบครัวที่ง่อนแง่นและมารดามีหนี้สินล้นพ้นตัวจากการกู้ยืมเพื่อนำมารักษาหัวหน้าครอบครัว
นางทิพย์สกุลยืนมองลูกสาวอย่างสงสาร หวนนึกไปถึงความหลังเมื่อหลายปีก่อน จู่ๆ บิดาของศกุนตลาที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักในบ้านล้มป่วยลง ทั้งที่สุขภาพแข็งแรงมาตลอด นางต้องนำเงินเก็บที่มีทั้งหมดพาสามีไปตรวจรักษาอย่างละเอียด กระทั่งนานวันเข้าเงินเก็บเริ่มร่อยหรอ บ้านและตึกหลังนี้ที่เป็นสมบัติเพียงชิ้นเดียวก็เริ่มขาดส่ง ผ่านไปเป็นปีดอกเบี้ยเพิ่มพูนทบต้นทบดอก มีหมายศาลมาแจ้งว่าตึกหลังนี้กำลังจะถูกธนาคารยึด
นางอับจนซึ่งหนทาง ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร สามีก็ป่วยหนักต้องการกำลังทรัพย์เพื่อรักษา ลูกสาวเพียงคนเดียวอยู่ในวัยเรียนที่ต้องใช้กำลังทรัพย์เช่นเดียวกัน ในขณะที่ที่ซุกหัวนอนและธุรกิจที่เป็นรายได้ทางเดียวก็กำลังจะถูกยึด
แต่นับว่ากรรมดีของครอบครัวยังมี เมื่อนางวรากุลยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือในวันที่มืดมน นางชำระหนี้สินทั้งหมดรวมถึงบ้านที่เป็นตึกสี่ชั้นสองคูหาแห่งนี้และสำรองค่ารักษาพยาบาลจำนวนหนึ่ง นับรวมจำนวนเงินทั้งหมดก็นับสิบล้าน แต่หลังจากนั้นเพียงไม่นานสามีคู่ทุกข์คู่ยากก็ลาจากโลกนี้ไป ปล่อยภาระทั้งหมดเอาไว้ให้ลูกสาวเพียงคนเดียวที่เรียนจบกลับมาพอดี
ศกุนตลากลับมาเริ่มต้นปรับปรุงและฟื้นฟูร้านอีกครั้ง ผลประกอบการในกิจการร้านขนมของเธอมีกระแสตอบรับดีขึ้นมาเรื่อยๆ เธอทยอยผ่อนชำระหนี้สินคืนให้นางวรากุล ถึงแม้ว่านางจะไม่คิดดอกเบี้ย แต่จำนวนเงินสิบล้านก็มากเกินกว่าที่จะชำระหมดในเวลาไม่กี่ปี
บุญคุณของนางวรากุลที่เป็นดั่งเพื่อนในยามยาก เจ้าหนี้ที่ใจดี ทำให้นางทิพย์สกุลไม่สามารถปฏิเสธคำขอเมื่อนางเอ่ยปาก เป็นเหตุผลที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ความรักลูกก็มีมาก บุญคุณก็ค้ำคอ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้นางยอมร่วมมือกับนางวรากุล
นางวรากุลต้องการให้ศกุนตลาเข้าพิธีแต่งงานกับลูกชายของนาง โดยให้เหตุผลว่านางต้องการจะให้เกียรติศกุนตลาและปกป้องชื่อเสียงของเธอให้มากที่สุด ทำให้นางทิพย์สกุลไม่สามารถปฏิเสธแผนการนั้นได้
เหตุผลทั้งหมดทำให้นางต้องมายืนหนักใจ ในเมื่อลูกสาวคือคนที่แบกรับภาระทั้งหมดหลังจากบิดาของเธอเสีย ตอนนี้เธอยังต้องเสียสละความสุขและความเป็นอิสระที่เธอพึงมี ชดเชยกับคำว่าบุญคุณอีกครั้ง
นางทิพย์สกุลย่อตัวลงนั่งบนเตียงของลูกสาว แววตาของนางทอดมองไปยังคนที่นั่งอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งด้วยความห่วงใยและเป็นกังวล ด้วยความรักของแม่... จะไม่มีแม่คนไหนเลยที่อยากผลักไสให้ลูกสาวไปจมอยู่กับความทุกข์ แต่เมื่อนางวรากุลรับปากอย่างหนักแน่นว่าเอ็นดูศกุนตลาเหมือนลูกสาว และอยากได้เธอเป็นลูกสะใภ้เป็นที่สุด นางจึงคลายความเป็นกังวลและลดความห่วงใยลงได้บ้าง
“ตลา” นางทิพย์สกุลเอ่ยเรียกชื่อลูกสาวเสียงเบา
ศกุนตลาหันกลับมามองมารดา “คะแม่”
นางทิพย์สกุลตบที่เตียงนอนเป็นเชิงบอกให้ลูกสาวเดินมานั่งข้างๆ ศกุนตลาส่งยิ้มให้มารดาและลุกจากโต๊ะเครื่องแป้งเดินตรงมาหานาง ย่อตัวลงนั่งแล้วซุกหน้าลงไปกอดมารดา และทิ้งตัวลงนอนหนุนตักอย่างออดอ้อนพร้อมกับเหยียดขาราบไปกับเตียง
เพราะเหลือกันอยู่สองคนทำให้ทั้งคู่ยิ่งผูกพันและสนิทแนบแน่น ศกุนตลาชอบอ้อนนอนหนุนตักมารดาในเวลาที่เธอเหนื่อยและท้อ แววตาของคนเป็นแม่และสัมผัสอ่อนโยนที่เรือนผมเป็นดั่งน้ำทิพย์และกำลังใจมหาศาล พร้อมที่จะฉุดให้เธอสามารถลุกขึ้นสู้กับอุปสรรคต่างๆ นานาได้อีกครั้ง
นางทิพย์สกุลทอดสายตามองลูกสาวนิ่ง ยกมือขึ้นลูบเรือนผมของเธออย่างแผ่วเบาเฉกเช่นทุกครั้ง ไม่มีคำเอื้อนเอ่ยใดๆ หลุดออกมาจากปากของนาง หากในแววตากลับทิ้งริ้วรอยแห่งความกังวลเอาไว้อย่างชัดเจน
ศกุนตลาทิ้งเวลาให้ผ่านไปสักพัก เมื่อเห็นว่ามารดายังคงเงียบเธอจึงเอ่ยปากถามขึ้นมา เธอพอจะเดาอากัปกิริยาของคนเป็นมารดาออก และเดาว่าเรื่องที่นางกำลังหนักใจคงหนีไม่พ้นเรื่องของเธอ
“แม่มีอะไรกับตลาหรือเปล่าคะ”
“แม่ขอโทษที่ทำให้ตลาลำบากนะลูก” นางทิพย์สกุลบอกออกมาอย่างแผ่วเบา หากน้ำเสียงของนางกลับสั่นเครือจนอีกคนจับความรู้สึกได้
“แม่กำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่คะ บอกตลามาตามตรงเถอะ” หญิงสาวถามอย่างแปลกใจ เพราะเธอเองก็ลืมเรื่องที่นางวรากุลพูดเอาไว้ ผ่านมาเดือนกว่าที่ไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้อีก
“ตลาจำเรื่องที่หนูรับปากกับคุณป้าวรากุลได้ไหมลูก” นางทิพย์สกุลเอ่ยถามลูกสาวเสียงแผ่วเบา
“ค่ะ” หญิงสาวตอบรับเสียงเบา คราวนี้แววตาของเธอแฝงไปด้วยความกังวลและหนักใจอย่างชัดเจน แต่แววตานั้นก็หายไปจากดวงหน้าของเธอเพียงไม่กี่วินาที เธอไม่อยากทำให้แม่เป็นกังวลหนักมากไปกว่านี้
หญิงสาวหัวเราะขำออกมากลบเกลื่อน “ตลาคิดว่าคุณป้าล้มเลิกแล้วเสียอีก”
“ปลายเดือนเราจะจัดงานแต่ง” นางทิพย์สกุลบอกออกมาเป็นประโยคสั้นๆ
เพียงแค่นั้นก็ครอบคลุมถึงเรื่องราวทั้งหมด หญิงสาวอ้าปากหวอ รีบลุกขึ้นนั่งและถามออกมาทันที “ทำไมต้องแต่งงานคะ”
เมื่อได้ยินแบบนี้เธอยิ่งแปลกใจไปกันใหญ่ ก่อนหน้านี้ไม่มีสักครั้งที่จะพูดถึงเรื่องแต่งงาน อีกทั้งคำว่าปลายเดือนของมารดาก็เหลือเวลาอีกไม่กี่วัน เวลาเพียงสัปดาห์ที่เหลือก่อตัวเป็นความหนักอึ้งในหัวใจของหญิงสาว
“คุณป้าคิดว่าควรให้เกียรติตลา เพราะถ้าเกิดว่าตลาท้องขึ้นมาโดยไม่ได้แต่งงาน จะกลายเป็นข้อครหาให้คนแถวนี้นินทาเอาได้ แต่ตลาสบายใจได้ จะไม่มีข้อผูกมัดทางกฎหมายถ้าหากว่าเป็นความต้องการของทางเรา หรือจะพูดอีกนัยหนึ่งว่า... คุณป้ายินยอมรับหนูเป็นลูกสะใภ้อย่างสมบูรณ์ ถ้าหากตลาต้องการจดทะเบียนสมรส”