Chapter 3
ริมฝีปากหนาของชายหนุ่มคลี่ยิ้มเล็กน้อยอย่างใจเย็น ในขณะที่มือก็ค่อยๆ ดึงเนกไทที่อยู่บนคอเสื้อออกให้พอหลวมๆ เขาขยับเข้าไปและวางสูทไว้บนพนักโซฟา เงยหน้าสบตามารดา
“แค่คำสั่งประจำการ ผมคิดว่าคุณแม่ชินกับมันแล้วเสียอีก” ชายหนุ่มตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบพอกับประโยคที่หลุดออกมาจากปากของเขา
“มันคงทำให้แม่ชินไม่ได้หรอก”
“มันก็เป็นอาชีพของผมเหมือนกัน”
“แต่ป้องสัญญากับแม่แล้วว่าคราวนี้จะอยู่นาน ทำไมมันกะทันหันอย่างนี้ล่ะ คำสั่งออกไม่คิดจะบอกแม่เลยใช่ไหม” นางวรากุลถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
“ผมก็รู้ก่อนที่คุณแม่จะเห็นจดหมายไม่นานนี้เอง” น้ำเสียงของเขายังคงรักษาระดับความราบเรียบเอาไว้เฉกเช่นประโยคแรกที่เขาพูดกับมารดา
ชายหนุ่มขยับและหมุนตัวพร้อมกับยืดตัวเต็มความสูง สูดลมหายใจเข้าออกช้าๆ “คุณแม่มีอะไรกับผมอีกหรือเปล่าครับ พอดีว่าผมต้องตอบอีเมล์อีกหลายฉบับ” ชายหนุ่มบอกธุระของตัวเอง ซึ่งก็เป็นไปตามที่เขาบอก คำสั่งด่วนเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้เขาต้องรีบจัดการทุกอย่างให้เสร็จอย่างรวดเร็วที่สุด
นางวรากุลมองหน้าลูกชายอย่างจับผิด แต่ก็ไม่เห็นความผิดปกติในดวงตาคู่นั้น เขายังรักษามาดนิ่งเอาไว้ได้ดีเหมือนเดิม
“อะไรกัน ดึกขนาดนี้แล้วยังจะทำงานอีก” เมื่อเห็นว่าเขายังนิ่งนางก็แกล้งโวยวาย เพราะอาการแบบนี้เดาทางของเขาได้ยาก ไม่รู้ว่าลูกชายกำลังคิดอะไรอยู่
แม้ช่วงหลายปีที่ผ่านมานางเห็นลูกชายโหมงานหนักจนแทบไม่มีเวลาเจอหน้ามารดา บางทีงานเป็นเพียงเหตุผลที่เขาใช้อ้างในระยะหลังที่นางรุกหนัก จงใจจับคู่และนัดบอดดูตัวถี่มากขึ้นกว่าเดิม เพราะเขารู้ว่างานเป็นหนทางเดียวที่จะปฏิเสธนางได้
ชายหนุ่มถอนหายใจออกมา เขาจนใจที่จะอธิบายให้มารดาเข้าใจถึงความรู้สึกของเขา ไม่ว่าจะยกข้ออ้างใดๆ มาอ้าง นางก็มีทางออกคอยขัดแย้งเสมอ ในที่สุดเขาจำต้องบอกเหตุผลก่อนที่จะเกิดคำสั่ง และเหตุผลของเขาก็หนีไม่พ้นงานอีกตามเคย
“ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวคนก่อนเกิดเครื่องบินตกในระหว่างเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ ผมจึงได้รับคำสั่งแต่งตั้งเร็วกว่ากำหนด และต้องเดินทางทันทีเมื่อ ทุกอย่างพร้อม”
“เราคงต้องคุยกันจริงๆ สักที” นางวรากุลบอกด้วยน้ำเสียงเข้มขึ้น
“ครับ” ป้องเขตหันกลับมามองมารดา หัวคิ้วของเขาย่นเข้าหากันเพราะ ไม่เข้าใจสิ่งที่มารดากำลังบอกจริงๆ
“อย่ามาทำไขสือนะ เราคุยเรื่องนี้กันไม่รู้กี่รอบแล้ว” นางวรากุลรีบย้ำ เมื่อได้ยินแบบนั้นชายหนุ่มก็เข้าใจทุกอย่าง
“ถ้าคุณแม่จะพูดถึงเรื่องแต่งงาน เรื่องนัดบอดดูตัว ผมก็บอกคุณแม่ไป ทุกครั้งว่าผมสามารถหาภรรยาเองได้ แล้วตอนนี้ก็ยังไม่พร้อมที่จะใช้ชีวิตครอบครัวกับใคร”
“แล้วเมื่อไหร่ถึงจะพร้อมล่ะ” นางวรากุลถามทันที ด้วยอายุอานามของ ลูกชายที่เฉียดใกล้เลขสี่เข้าไปทุกที คนเป็นแม่อย่างนางก็ไม่สามารถทนรอไปเรื่อยๆ เหมือนอย่างที่ผ่านมาได้
“เราคุยเรื่องนี้กันหลายรอบแล้วนะครับคุณแม่”
“ก็เพราะว่าเราคุยกันหลายรอบแล้วน่ะสิ แม่ถึงต้องย้ำและถามอยู่บ่อยๆ ครั้งนี้แม่ขอเป็นครั้งสุดท้ายนะป้อง” น้ำเสียงของคนเป็นแม่อ่อนลงแฝงไปด้วยความเว้าวอน
ชายหนุ่มใจอ่อนอีกครั้ง เขาถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยล้า บางทีเขาก็ไม่อยากเป็นลูกชายเพียงคนเดียว เขาไม่อยากเป็นลูกโทน ลูกเพียงคนเดียวที่แบกรับความหวังทั้งหมดของพ่อแม่ ตั้งแต่เริ่มต้นเข้าเรียน เข้ามหาวิทยาลัย กระทั่งเรียนจบออกมาทำงาน จนถึงตอนนี้ความหวังที่มารดาผูกติดกับตัวเขาเอาไว้ยังไม่จบสิ้น
“ต้องให้ผมไปเจอใครอีกล่ะครับ” ชายหนุ่มถามกลับอย่างเหนื่อยหน่าย ทุกครั้งที่มารดาเอ่ยปากว่ามีเรื่องจะพูดคุยกับเขาในระยะหลังก็ไม่เคยหนีพ้นเรื่องนี้สักที
“แม่อยากมีหลาน” นางวรากุลโพล่งออกมา
ชายหนุ่มหัวเราะขำในลำคอ “ครั้งนี้คุณแม่มาเหนือเมฆนะครับ พอผม ไม่ยอมแต่งงานและลงเอยกับใครสักที คุณแม่ก็เร่งรัดเอาเรื่องหลานมาอ้าง ผมยังยืนยันคำเดิมครับคุณแม่” ชายหนุ่มย้ำเสียงหนักในท้ายประโยค คำว่ายืนยันคำเดิมเป็นที่รู้กันระหว่างเขากับมารดาว่าเขาไม่ยินยอมแต่งงาน ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ย้ำประโยคชัดเจนกับมารดาอีกครั้ง
“ผมยังไม่พร้อม และคุณแม่ก็ไม่ต้องห่วงเรื่องหลาน วิวัฒนาการทางการแพทย์สมัยนี้ก้าวหน้าไปมาก ผมรับรองว่าจะต้องมีหลานสืบสกุลให้คุณแม่อย่างแน่นอน”
“ป้องคิดว่าแม่จะอยู่รอดูหน้าหลานได้อีกกี่ปี” นางหันมาถามลูกชาย “อายุของแม่เกือบจะเจ็ดสิบแล้วนะป้อง มีลูกชายคนเดียวก็ใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่”
ชายหนุ่มสะอึกไป หยุดนิ่งหันกลับมามองใบหน้าของมารดา ท่านแก่ลงไปมากจริงๆ คำพูดของคนเป็นแม่สะท้อนถึงความตัดพ้อต่อว่า เป็นอย่างที่ท่านพูด ทุกอย่าง เขาเพียงใช้เงินดูแลมารดา จ้างทุกอย่างเพื่ออำนวยความสะดวกให้ท่าน ในขณะที่ตัวเขาเองแทบจะหาเวลาอยู่กับมารดาได้น้อยมากในแต่ละปี
“แม่จะไม่บังคับให้ป้องแต่งงาน เพียงแค่ป้องมีลูกกับเธอเท่านั้น จะไม่มีความสัมพันธ์หรือข้อผูกมัดใดๆ เกิดขึ้นระหว่างลูกกับเธอหลังจากที่เธอคลอด” นางวรากุลยื่นข้อเสนอ
ชายหนุ่มส่ายหน้า แม้เขาจะรู้สึกเห็นใจความรู้สึกของแม่ คล้อยตามท่านในเบื้องต้น แต่วิธีการของท่านก็ขัดกับความรู้สึกของเขาอยู่ดี
“ชีวิตของคนไม่ใช่ละครนะครับคุณแม่ เด็กที่เกิดมาจะต้องแบกรับความอาภัพรันทดมากแค่ไหน หากรู้ว่าเขาเกิดขึ้นมาเพราะเหตุผลบางอย่างและกำพร้ามาตั้งแต่เกิด พ่อกับแม่ของเขาไม่ได้รักกัน เด็กคนนั้นจะมีความอบอุ่นได้อย่างไร” ชายหนุ่มพยายามอธิบายให้มารดาเข้าใจ
“ก็ในเมื่อป้องไม่พร้อมที่จะแต่งงานและอยู่กับใคร แม่ก็ไม่บังคับ นี่เป็นทางออกเดียว แม่ขอป้องแค่เรื่องนี้ มีหลานให้แม่เอาไว้สืบสกุลสักคน หลังจากนี้แม่จะไม่ยุ่งวุ่นวายกับชีวิตอิสระของป้องอีก” นางวรากุลบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนลง
“แม่แก่แล้ว และลูกก็อายุมากขึ้น แม่ไม่รู้ว่าจะสามารถอยู่จนได้เห็นหน้าหลานหรือเปล่า แม่ขอนะป้อง”
ชายหนุ่มลอบถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เขาพยายามหาข้ออ้างมาหลายปี และเขาก็ยังตั้งมั่นและยืนยันคำเดิมว่ายังไม่พร้อมจะแต่งงานและใช้ชีวิตคู่ร่วมกับใคร
หากแต่ครั้งนี้เขาต้องจนมุมด้วยเหตุผลของมารดา ยิ่งได้เห็นแววตาและน้ำเสียงของท่านเขาก็อดสงสารไม่ได้
“แล้วผู้หญิงคนไหนพร้อมที่จะรับข้อเสนอโดยการรับเป็นแม่พันธุ์ให้หลานคุณแม่ล่ะครับ” เขาถามหยั่งเชิง แต่น้ำเสียงในประโยคของชายหนุ่มบอกได้ถึงความไม่พอใจ เขาไม่ค่อยชอบวิธีการแบบนี้เท่าใดนัก ยิ่งถ้าเป็นผู้หญิงไร้ค่า ไม่ทำงานทำการ รอวันที่จะมีสามีและให้ผู้ชายเป็นฝ่ายหาเลี้ยง เขายิ่งรู้สึกต่อต้าน
“เพียงแค่ป้องรับปาก” นางวรากุลยังไม่ตอบคำถามลูกชาย
ชายหนุ่มพยักหน้าแทนคำตอบ ที่ทำเพื่อความสบายใจของคนเป็นแม่ โดยที่เขาไม่รู้สึกคล้อยตามสักนิด หวังว่าเรื่องนี้จะจบลง
ป้องเขตเป็นผู้ชายหัวสมัยใหม่ เขารักผู้หญิงทำงาน ผู้หญิงเก่งที่จะสามารถยืนหยัดเคียงข้างเขา สามารถเชิดหน้าชูตาและเกื้อหนุนกันและกัน แต่ที่เขายอมตกลงกับมารดาอย่างง่ายดายก็เพราะไม่คิดว่าจะหยิบผู้หญิงคนนั้นมาเป็นภรรยาอย่างเด็ดขาด อย่างเก่งก็แค่แม่พันธุ์สร้างหลานให้มารดาของเขาเท่านั้น
การตอบรับทางกายของลูกชายทำให้นางวรากุลยิ้มออก แต่นางก็ย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ “เพียงแค่ป้องรับปากว่าก่อนเดินทาง ป้องจะผลิตทายาทให้แม่สืบสกุล เรื่องทุกอย่างแม่จะจัดการเอง”
ชายหนุ่มก็เพียงพยักหน้าเบาๆ เป็นเชิงตอบรับแบบผ่านๆ เหมือนเดิม เขาไม่สนใจจะถามรายละเอียดด้วยซ้ำ
“หมดธุระของคุณแม่แล้วใช่ไหมครับ” ชายหนุ่มบอกตัดบท
“ถ้าป้องสัญญา แม่ก็หมดธุระ พรุ่งนี้แม่จะพาหนูศกุนตลาเข้ามาอยู่ในบ้านเพื่อทำความคุ้นเคยกับลูก” นางวรากุลบอกย้ำอีกหน บอกรายละเอียดให้อีกฝ่ายรับรู้ แต่เขากลับไม่สนใจที่จะจดจำและใส่ใจรายละเอียดนั้นเลย
ป้องเขตทำหน้าเหนื่อยหน่าย เมื่อเขาไม่ยืนกรานที่จะขัดแย้งหรือคัดค้านนางก็ชอบ วางแผนต่อตามอำเภอใจ ทุกความคิดและการกระทำของมารดาแทบจะขัดแย้งและสวนทางกับความคิดของเขาในขณะนี้อย่างสิ้นเชิง แต่เขาก็ไม่ได้เอื้อนเอ่ยออกมาให้เรื่องราวบานปลายไปอีก
“แล้วแต่คุณแม่จะจัดการเถอะครับ”
นางวรากุลยิ้มกว้างเมื่อได้ยินคำตอบที่พอใจ จากเริ่มต้นนางไม่คิดว่าเรื่องราวจะจบลงและลงเอยอย่างง่ายดายเพียงนี้