ขณะเดียวกันพัดชาก็พาเพื่อนผู้สูงศักดิ์ที่เพิ่งรู้จักไปยังบ้านสีขาวหลังงามของตัวเอง โดยทั้งคู่ถือกระท้อนลูกโตคนละสองลูก
“บ้านของเธอมองเห็นไกลๆ ก็ว่าสวยแล้วนะ แต่เมื่อมาเห็นใกล้ๆ ยิ่งสวยกว่ามาก”
หม่อมราชวงศ์ฉัตรกมลเอ่ยชม เมื่อเดินตามหลังเด็กหญิงตัวสูงซึ่งเป็นเพื่อนใหม่เข้าไปหยุดยืนตรงบริเวณหน้าบ้าน ที่เต็มไปด้วยร่มเงาของต้นไม้น้อยใหญ่ก่อนจะรำพัน “ฉันชอบบ้านเธอจังเลยพัดชา”
เจ้าของบ้านหลังเล็กมองคนชมอย่างแปลกใจ
“เธอนี่แปลกนะหญิงนิ่ม มีบ้านช่องใหญ่โตอย่างกับวัง แต่จริงๆ ก็ต้องเรียกว่าวังเพราะเธอเป็นเจ้านี่นา แต่ทำไมถึงมาชอบบ้านหลังเล็กๆ ของฉันล่ะ”
คนถูกว่าเป็นเจ้าส่ายหน้าไปมา ก่อนจะอธิบายเสียงแผ่ว
“ท่านพ่อฉันต่างหากที่เป็นเจ้า ส่วนฉันเป็นแค่เชื้อพระวงศ์หางแถวเท่านั้นเอง แล้วที่เธอถามว่าทำไมฉันถึงชอบบ้านเล็กๆ ของเธอใช่ไหม”
“ใช่ ฉันสงสัย มีแต่คนอยากอยู่บ้านหลังใหญ่โตกันทั้งนั้นแหละ”
เจ้าของบ้านหลังใหญ่โตราวปราสาทยิ้มเนือยๆ ก่อนจะย้อนถามเสียงแผ่ว “แล้วเธอชอบบ้านหลังใหญ่โตของฉันไหมล่ะพัดชา”
คนถูกถามเหลียวไปมองบ้านหลังใหญ่ภายในรั้วกำแพงสูง คิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบว่า
“ไม่ชอบ ฉันว่าบ้านของเธอเหมือนไม่ใช่บ้าน ดูเหงาๆ อย่างไรบอกไม่ถูก”
“นั่นแหละคือความรู้สึกของฉัน บ้านของเธอหลังเล็กก็จริง แต่ดูเหมือนฉันจะเห็นความสุขลอยอวลอยู่ในอากาศ ไม่เหงาเหมือนบ้านฉัน”
พัดชาเห็นด้วยกับคำพูดของเพื่อนใหม่ บ้านหลังเล็กของเธอเป็นแบบที่อีกฝ่ายพูดจริงๆ เพราะอบอวลไปด้วยความสุขและเสียงหัวเราะอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ทว่ายังไม่ทันที่เด็กหญิงจะพูดอะไรอีก เสียงของอรสาผู้เป็นมารดาก็ดังขึ้นจากตรงระเบียงเสียก่อน
“อ้าวพัดชา นั่นพาใครมาด้วย แล้วทำไมไม่พาขึ้นมาบนเรือนล่ะจ๊ะ ข้าวต้มผัดสุกแล้วนะลูก”
เด็กหญิงส่งยิ้มให้คนพูด “กำลังจะขึ้นไปเดี๋ยวนี้แหละจ้ะ”
พูดจบเจ้าของร่างผอมสูงก็พาเพื่อนใหม่ขึ้นบันไดตรงไปยังริมระเบียงกว้าง ซึ่งมีชุดรับแขกไม้สักตั้งอยู่ และบนโต๊ะตัวเล็กตรงกลางก็มีถาดใส่ข้าวต้มผัดส่งกลิ่นหอม จนเด็กหญิงต้องแอบกลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อก ก่อนจะหันไปแนะนำเพื่อนใหม่ให้รู้จักกับมารดา
“หญิงนิ่ม นี่แม่อรของฉัน”
“สวัสดีค่ะคุณป้า” เด็กหญิงยกมือไหว้อย่างอ่อนช้อยงดงาม กระทั่งพัดชาต้องมองด้วยความทึ่งระคนชื่นชม เพราะเธอไหว้ได้ไม่สวยถึงเพียงนี้
“ไหว้พระเถอะจ้ะ ชื่อนิ่มหรือจ๊ะ แล้วบ้านช่องอยู่ที่ไหนล่ะเนี่ย”
อรสารรับไหว้พลางจ้องมองเด็กหญิงหน้าตาสะสวย กิริยามารยาทเรียบร้อยงดงาม ซึ่งน่าจะอยู่ในวัยเดียวกับบุตรสาวอย่างแปลกใจด้วยไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อน แต่ดูจากการแต่งกายแล้วน่าจะเป็นพวกลูกผู้ดีมีตระกูล
หรือว่า...
“คืออย่างนี้จ้ะแม่ หญิงนิ่มมีชื่อเต็มๆ ว่าหม่อมราชวงศ์ฉัตรกมล บ้านอยู่ในรั้วกำแพงสูงนั่นไงจ๊ะ” พัดชาอธิบายความเป็นมาของเพื่อนใหม่ให้มารดารับรู้
“อ๋อ เหรอจ๊ะ”
หญิงวัยกลางคนพยักหน้ารับ พลางเพ่งพินิจพิจารณาเด็กหญิงอีกครั้ง เป็นลูกหลานเจ้านี่เองถึงได้เปล่งรัศมีสูงส่ง เทียบกับบุตรสาวของนางแล้ว พัดชาอย่างกับเด็กกะโปโลก็ไม่ปาน ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นสูงเมื่อเห็นกระท้อนลูกโตที่ทั้งคู่ถืออยู่
“อ้าว แล้วนั่นไปเก็บกระท้อนที่ไหนกันมาจ๊ะ”
พัดชายิ้มแห้งๆ “ก็กระท้อนต้นที่พัดชาชอบปีนขึ้นไป...เอ่อ..แอบดูนั่นแหละจ้ะ พัดชาจะเอามาทำน้ำปลาหวานให้หญิงนิ่มกินจ้ะแม่ แต่พัดชาก็เก็บมะลิมาให้แม่ด้วยนะ” เอ่ยพลางยกขันเงินที่ใส่ดอกมะลิไว้เกือบครึ่งให้มารดาดู
ดอกมะลิไม่ได้ทำให้อรสาสนใจเท่ากับคำว่าน้ำปลาหวาน ผู้เป็นแม่อุทานด้วยความตกอกตกใจ ก่อนจะดุบุตรสาวเสียงเขียว
“น้ำปลาหวาน! เราเนี่ยซนใหญ่แล้วนะพัดชา เกิดให้หญิงนิ่มกินเข้าไปแล้วเสาะท้องขึ้นมาจะทำยังไง”
เด็กหญิงจากราชนิกุลส่งยิ้มให้มารดาของเพื่อนใหม่ ที่ตอนนี้ยืนทำหน้าจ๋อยเพราะถูกดุ แล้วพูดเสียงอ่อน
“หญิงเคยกินกระท้อนลอยแก้วมาแล้วค่ะคุณป้า”
มารดาของพัดชาส่ายหน้าไปมา “กระท้อนลอยแก้วกับกระท้อนน้ำปลาหวานไม่เหมือนกันนะจ๊ะ แตกต่างกันทั้งวิธีทำและรสชาติ”
“หญิงอยากลองกินดูบ้างค่ะ พัดชายังบอกอีกนะคะว่าคุณป้าทำข้าวต้มผัดได้อร่อยมาก” หม่อมราชวงศ์วัยแรกรุ่นบอกด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น พลางมองถาดข้าวต้มผัดด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย
“เอาละ เดี๋ยวป้าจะเอาข้าวต้มผัดให้ลองกิน ส่วนกระท้อนน้ำปลาหวานเอาไว้คราวหน้าดีกว่านะจ๊ะ” พูดจบก็พาเด็กหญิงทั้งสองไปนั่งที่ชุดรับแขก หยิบข้าวต้มผัดจากในถาดส่งให้ “แล้วหนูเคยกินข้าวต้มผัดหรือเปล่าล่ะ”
หม่อมราชวงศ์ฉัตรกมลส่ายหน้า มองข้าวต้มผัดในถาดด้วยสายตาสนใจใคร่รู้ อย่าว่าแต่เคยกินเลย เธอเพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรกด้วยซ้ำ
“ไม่เคยเลยค่ะ” พูดพลางดึงตอกที่มัดออก ตามด้วยแกะใบตองที่ห่อหุ้มอยู่ ส่งข้าวต้มผัดที่มีกลิ่นหอมของใบตองเข้าปากแล้วเคี้ยว ก่อนจะเอ่ยปากชมหลังกลืนคำแรกลงคอ “อร่อยมากเลยค่ะคุณป้า หญิงไม่เคยกินอะไรอร่อยเท่านี้มาก่อน”
อรสามองคนเอ่ยชมที่กำลังเคี้ยวตุ้ยๆ อย่างเอ็นดู
“เห็นไหมล่ะ บอกแล้วว่าแม่อรของฉันทำขนมอร่อยที่สุด” พัดชาพูดพลางก็หยิบข้าวต้มผัดห่อที่สามแกะเข้าปาก เคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย
“แล้วหนูออกมาอย่างนี้คนในกำ...เอ่อ..บ้านไม่เป็นห่วงแย่หรือจ๊ะ”
เด็กหญิงจากรั้วกำแพงสูงมีสีหน้าเปลี่ยนไปนิดหนึ่ง เริ่มลังเลอีกครั้ง
นั่นสิ...เธอรับปากพี่ชายไว้ว่าจะรีบเข้าไป แต่เข้าไปช้านิดหน่อยคงไม่เป็นไรหรอก อาจจะถูกหม่อมแม่บ่นบ้าง ครั้นตัดสินใจได้แล้วก็พูดยิ้มๆ ว่า
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ หญิงอยากฟังพัดชาเล่นจะเข้ด้วยค่ะ”
อรสาหันไปมองบุตรสาวที่คาดว่าคงอยากจะอวดฝีมือการเล่นจะเข้ให้เพื่อนใหม่ฟังจะแย่แล้ว
“เดี๋ยวแม่ไปหยิบจะเข้มาให้แล้วกัน พัดชาก็พาเพื่อนไปล้างมือในครัวให้เรียบร้อยนะลูก”
“จ้ะแม่”
เด็กหญิงรับคำก่อนจะหันไปจูงมือเพื่อนใหม่เข้าไปในครัว เมื่อกลับออกมาก็เห็นเครื่องดนตรีที่ทำมาจากไม้ขัดจนเงาวับตั้งอยู่ พัดชานั่งลงใช้มือลูบคลำตรงขอบที่ทำจากงาช้างอย่างแสนรัก เพราะเห็นแล้วทำให้นึกถึงสิริมา เจ้าของคนเก่า ที่มอบเครื่องดนตรีที่เจ้าตัวรักมากให้เธอ
“จะเข้ของเธอตรงขอบทำจากงาช้างเหมือนของท่านอาฉันเลยพัดชา” หม่อมราชวงศ์ฉัตรกมลมองเครื่องดนตรีที่มีความยาวเกือบเมตรครึ่งด้วยสายตาตื่นเต้น “แล้วเธอจะเล่นเพลงอะไรให้ฉันฟังหรือจ๊ะ”
“นางครวญจ้ะ”
ไม่นานเสียงเพลง “นางครวญ” อันแสนไพเราะเพราะพริ้งที่บรรเลงด้วยจะเข้จากฝีมือของพัดชาก็ดังกังวานแทรกไปกับสายลม ท่ามกลางความเงียบยามบ่ายที่แดดร่มลมตก