ในเมื่ออีกฝ่ายเล่นได้ทำไมเขาจะเล่นบ้างไม่ได้ รูปร่างของเขากับหม่อมราชวงศ์พิษณุวัชร์ก็สูงพอฟัดพอเหวี่ยงกัน แม้ตัวเขาจะบางกว่าก็ตาม และเป็นเพราะต้องการเอาชนะ จึงทำให้หม่อมหลวงนพรุจลืมสิ่งที่เคยพูดไว้ว่า รักบี้เป็นกีฬาที่ใช้แต่พละกำลัง ไม่ใช้สมอง แม้ต้องยอมฝึกซ้อมอยู่ที่โรงเรียนไม่ได้กลับบ้านเขาก็ยินยอม และที่เขามาร่วมงานเลี้ยงในวันนี้ทั้งที่ไม่ได้อยากมาเลยก็เป็นเพราะรู้ว่าโสคนธิกามาเท่านั้น
ขณะกำลังครุ่นคิดหาคำมาตอบอยู่นั้น อาวุธก็พูดช่วยชีวิตขึ้นมา
“ฉันเป็นคนแนะนำเองแหละณุ เพราะเห็นช่วงนี้ไอ้หม่อมไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่ ก็เลยแนะนำให้ลองเล่นรักบี้ดู”
หม่อมหลวงนพรุจรีบรับสมอ้างทันที
“ใช่ๆ ช่วงนี้ฉันไม่สบายบ่อย วุธเลยแนะนำให้เล่น”
คนเป็นน้องชายมองผู้เป็นพี่ชายอย่างรู้ทัน แล้วเขาก็แน่ใจว่าคนถามก็ย่อมรู้เหมือนกัน
“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง ฉันก็สงสัยไง เพราะปกติไม่เห็นแกชอบเล่นกีฬาอะไรสักอย่าง แล้วจู่ๆ ก็มาเล่นรักบี้”
โสคนธิกาซึ่งบ่มเพาะความหงุดหงิด เพราะหม่อมราชวงศ์พิษณุวัชร์นอกจากจะไม่สนใจในสิ่งที่เธอกระทำแล้ว ยังไม่แม้แต่จะชำเลืองมองอีก จะไม่ให้เธออารมณ์เสียได้อย่างไร
นี่แสดงว่าเขาไม่ได้ให้ความสำคัญแก่เธอเลยหรือไร
แล้วดูสิ ตอนนี้คุยกันแต่เรื่องกีฬารักบี้อะไรก็ไม่รู้! ถ้ารู้ว่าเรื่องไม่เป็นอย่างที่คิด เธอคงไม่เดินนำอีกฝ่ายมานั่งตรงนี้หรอก
“แหม คุยอะไรกันคะเนี่ย เอื้อยไม่เห็นจะชอบดูรักบี้เลย ไม่เข้าใจว่าทำไมพี่ชายณุชอบเล่นไปได้ เอื้อยเห็นแต่ละคนเล่นกันเอาเป็นเอาตาย อย่างกับต้องการแค่เอาชนะกันเพียงอย่างเดียวเท่านั้น”
คุณชายณุตักกระทงทองใส่ปากเคี้ยวตามด้วยน้ำชาอีกอึกใหญ่ ก่อนจะพูดเสียงเรียบ
“รักบี้เป็นกีฬาแห่งศักดิ์ศรี ไม่ใช่กีฬาที่แข่งขันเพื่อผลแพ้ชนะอย่างเดียว เป็นกีฬาของลูกผู้ชายบวกกับสุภาพบุรุษ ดังนั้นคนเล่นกีฬารักบี้จึงต้องคำนึงถึงทั้งสองสิ่งนี้ด้วย”
น้ำเสียงของคนพูดบวกกับสีหน้าเรียบๆ ที่ไม่รู้ว่าจะสื่อความนัยถึงใคร ทว่าคนฟังอย่างโสคนธิกากลับมีสีหน้าจืดเจื่อนลงทันที นึกก่นด่าตัวเองที่ไม่น่าให้อารมณ์หงุดหงิดครอบงำจนทำให้พูดจาไม่คิดออกไป กลัวจะเสียคะแนนนิยม จึงรีบเปลี่ยนเรื่องพูดทันใด
“แล้วนี่หญิงนิ่มไปไหนหรือคะพี่ชายณุ”
พอได้ยินคำถามที่เกี่ยวกับน้องสาว ก็ทำให้หม่อมราชวงศ์พิษณุวัชร์เหลียวไปมองประตูทางเข้า ความรู้สึกห่วงใยบังเกิดขึ้นมาทันที ‘ทำไมป่านนี้หญิงนิ่มยังไม่กลับเข้ามาอีกนะ’
ชายหนุ่มนึกหวั่นว่ายายเด็กจอมซนนั่นจะชักชวนน้องสาวเขาเล่นอะไรแผลงๆ เพราะดูท่าทางแล้วจะแสบไม่น้อย
“หญิงนิ่มเดินออกไปดูดอกไม้ด้านนอกจ้ะเอื้อย”
“เดินไปดูดอกไม้ด้านนอกเนี่ยนะ?” โสคนธิกาทำเสียงสูง “หม่อมน้าบอกเอื้อยว่าคนข้างนอกกำแพงส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านจนๆ ทั้งนั้น ถ้าเกิดคนพวกนั้นรู้ว่าหญิงนิ่มเป็นใคร แล้วเกิดอันตรายขึ้นจะทำยังไงกันล่ะคะพี่ชายณุ”
“นั่นสิณุ น่าเป็นห่วงอย่างที่คุณเอื้อยว่าจริงๆ นั่นแหละ เพราะตอนนั่งรถเข้ามาก็มีแต่คนมองตาม อย่างกับไม่เคยเห็นรถยนต์กันอย่างนั้นแหละ” หม่อมหลวงนพรุจพูดด้วยน้ำเสียงกึ่งดูถูกเหยียดหยาม
คำพูดดังกล่าวทำให้หม่อมราชวงศ์พิษณุวัชร์นึกถึงนัยน์ตาวาววับของเด็กหญิงเจ้าของนามพัดชา ยามเขาพูดถึงเรื่องทำนองนี้ขึ้นมาทันที เรื่องอันตรายอะไรนั่นเขาไม่นึกห่วงหรอก ห่วงแต่กลัวเด็กนั่นจะพาน้องสาวเขาเล่นซนต่างหาก
“เรื่องอันตรายที่แกกับเอื้อยกลัวคงไม่มีหรอก ฉันว่าชาวบ้านแถวนี้ดูเป็นมิตรดีออก”
“พี่ชายณุเอาอะไรมาวัดคะว่าชาวบ้านจนๆ พวกนั้นดูเป็นมิตร” โสคนธิกาเถียงอย่างไม่ยอมแพ้
“นั่นสิครับคุณเอื้อย ฉันว่าแกมองคนในแง่ดีเกินไปนะณุ” นพรุจทำตัวเป็นขุนพลอยพยัก เห็นด้วยกับโสคนธิกาทุกเรื่อง
คนถูกถามยังไม่ทันได้ตอบอะไร ฉัตรพงษ์ที่นั่งฟังอยู่เงียบๆ ก็โพล่งขึ้นมา
“ผมว่าคุณเอื้อยมองชาวบ้านในแง่ลบเกินไปหรือเปล่าครับ คนจนกับคนรวยแยกออกด้วยตาได้หรือครับว่าใครดี ใครไม่ดี”
ชายหนุ่มพูดเพราะหมั่นไส้โสคนธิกา รวมทั้งขุนพลอยพยักอย่างนพรุจด้วย
“แหม คุณฉัตรก็ว่าเอื้อยเกินไปนะคะ” คนถูกว่าส่งค้อนขวับใหญ่ นึกเคืองคนว่าเป็นยิ่งนัก ถ้าไม่นึกว่าอีกฝ่ายเป็นเพื่อนสนิทของหม่อมราชวงศ์พิษณุวัชร์ละก็ เธอคงไม่เกรงใจแล้ว
“ใช่ แกก็ว่าคุณเอื้อยเกินไปจริงๆ นะฉัตร คนชั้นต่ำพวกนั้นจะเป็นคนดีไปได้อย่างไร”
นพรุจพูดเข้าข้างโสคนธิกาอย่างออกนอกหน้าตามเคย และคำพูดดังกล่าวก็ทำให้ฉัตรพงษ์ผุดลุกขึ้นยืนทันที เพราะถ้าขืนยังนั่งอยู่ตรงนี้ คงได้ลุกขึ้นฟาดปากญาติของเพื่อนสนิทเป็นแน่แท้ คนอะไรพูดจาไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย
“เดี๋ยวฉันออกไปตามหญิงนิ่มให้แล้วกันณุ”
“ฝากด้วยแล้วกัน”
หม่อมราชวงศ์พิษณุวัชร์มองเพื่อนด้วยสายตาขบขัน ปกติฉัตรพงษ์จะอารมณ์ดีและใจเย็น คราวนี้คงเหลือจะทน เขาเองก็ใช่ว่าจะเห็นด้วยกับคำพูดของโสคนธิกากับญาติหนุ่ม และเกือบจะพูดอะไรแรงๆ ออกไปเหมือนกัน แต่ยั้งปากไว้ได้ทัน
“พี่ณุครับ แล้วนี่ท่านอาไม่อยู่หรือครับ”
“ท่านพ่อเสด็จไปทรงกอล์ฟกับเพื่อนๆ น่ะวิน” บอกพลางมองตามหลังเพื่อนสนิทไปจนลับตา
“อ้าว แล้วนั่นพี่ณุไปเอากระท้อนมาจากไหนหรือครับ น่ากินเชียว” ชัชวินเอ่ยถามเมื่อเหลือบเห็นกระท้อนที่วางอยู่บนเก้าอี้
“อ๋อ กระท้อนตรงริมกำแพงน่ะวิน เห็นเด็กแถวนี้กำลังเก็บอยู่ เจ้าฉัตรอยากกินก็เลยขอมาน่ะ”
เมื่อเอ่ยถึงกระท้อน ดวงหน้าเอาเรื่องของเด็กที่ว่าก็ลอยเข้ามาในห้วงสำนึกทันที ไม่ใช่ว่าป่านนี้เจ้าตัวจะชวนน้องสาวเขาไปปีนต้นกระท้อนหรอกนะ ชายหนุ่มนึกภาวนาให้น้องสาวตามเพื่อนเขากลับบ้านโดยเร็ว