“ฉันเบื่อพี่เอื้อย”
คำว่าเบื่อที่หลุดออกมาจากปากของเด็กหญิงหลังรั้วกำแพงสูง ทำให้พัดชาต้องมองอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ
“เมื่อกี้ฉันยังได้ยินเธอชมว่าเล่นเปียโนเก่งไม่ใช่หรือ แล้วทำไมตอนนี้ถึงบอกว่าเบื่อล่ะ”
คนบ่นว่าเบื่อนิ่งไปชั่วครู่เหมือนชั่งใจว่าควรจะเล่าดีหรือไม่ ทว่าไม่นานก็หลุดปากว่า
“พี่เอื้อยชื่อโสคนธิกาจ้ะพัดชา เป็นลูกสาวคุณป้าหญิงพรรณ อายุมากกว่าฉันไม่กี่ปี ฉันได้ยินป้าชื่นบอกว่าพี่เอื้อยเป็นคนที่หม่อมแม่หมายมั่นปั้นมืออยากให้เป็นสะใภ้”
คนฟังพยักหน้าหงึกๆ ‘อ้อ เป็นคู่หมั้นของผู้ชายหน้าดุนั่น’
“พี่เอื้อยชอบทำตัวเด่นและเหนือกว่าคนอื่นเสมอ เธอชอบพี่ชายณุมาก และมักจะคอยกันท่าผู้หญิงทุกคนไม่ให้เข้าใกล้ แม้แต่ฉันซึ่งเป็นน้องสาวแท้ๆ อย่างวันนี้พอรู้ว่าพี่ชายฉันกลับจากโรงเรียนนายเรือ ก็ชวนหม่อมแม่จัดงานเลี้ยงต้อนรับ ฉันน่ะเบื่อจะแย่อยู่แล้ว” หม่อมราชวงศ์ฉัตรกมลพรั่งพรูความในใจให้เพื่อนใหม่ฟัง
คงฟังฟังแล้วก็อึ้ง หากเธอเจอคนนิสัยอย่างนี้ก็คงเบื่อเช่นกัน แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงเบื่องานเลี้ยง!
“เบื่องานเลี้ยงนี่นะ ออกจะน่าสนุก”
หัวคิ้วของคู่สนทนาขมวดเข้าหากัน
“ถ้าต้องอยู่ร่วมในงานเลี้ยงแทบจะทุกอาทิตย์ ต้องทนนั่งฟังคนนั้นคนโน้นพูดชื่นชมแต่ลูกหลานตัวเอง ว่าเก่งอย่างนั้นเก่งอย่างนี้ เธอคงจะรู้สึกเช่นเดียวกับฉันนะพัดชา ยิ่งกว่านั้นสิ่งที่น่าเบื่อที่สุดคงเป็นชุดที่ฉันสวม”
“เธอไม่ชอบแต่งตัวสวยๆ หรือหญิงนิ่ม” พัดชายิ่งแปลกใจกว่าเดิม เหตุผลของการเบื่องานเลี้ยงเธอฟังแล้วก็เห็นด้วย แต่เบื่อชุดที่เธอมองว่าสวยนี่สิแปลก
คนถูกถามมองชุดเสื้อกางเกงติดกันลายสกอตของอีกฝ่าย แล้วก้มลงมองชุดกระโปรงของตัวเอง ก่อนจะส่ายหน้า “ฉันอยากสวมชุดแบบเธอมากกว่าพัดชา”
เด็กหญิงตัวสูงก้มลงมองชุดอันแสนจะธรรมดาของตัวเอง ที่ตอนนี้อยู่ในสภาพมอมแมมแล้วก็อดขำไม่ได้ คนเราก็แปลกดีเหมือนกัน แต่งตัวสวยๆ ไม่ชอบ อยากมาแต่งแบบตัวเธอเสียอย่างนั้น
“เธอนี่แปลกดีนะ มีแต่คนอยากแต่งตัวสวยๆ ฉันเองยังชอบปีนต้นไม้แอบดูตอนบ้านเธอจัดงานเลี้ยงเลย เพราะมีแต่คนแต่งตัวสวยงามทั้งนั้น” พัดชาบอกยิ้มๆ เพราะเหตุผลที่เธอปีนขึ้นไปนั่งบนต้นกระท้อนก็เพื่อต้องการแอบดูนี่แหละ
“ถ้าเธอต้องสวมชุดกระโปรงแบบนี้แม้เวลาอยู่ในบ้านตัวเองทุกๆ วัน เธอก็คงรู้สึกเหมือนฉันนะพัดชา”
“ทุกวัน!? ไม่ใช่แต่งเฉพาะเวลามีงานเลี้ยงหรอกหรือ”
“เปล่า” เด็กหญิงซึ่งเป็นราชนิกุลส่ายหน้า พูดเน้นเสียงหนัก “กลับจากโรงเรียนฉันต้องแต่งอย่างนี้ทุกวัน หม่อมแม่บอกว่าเวลาใครไปใครมาจะได้ไม่อายเขา”
คนฟังถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วมองอีกฝ่ายอย่างเห็นใจ
“เฮ้อ ถ้าต้องแต่งตัวอย่างนี้ทุกวันเป็นฉันก็คงรู้สึกเหมือนเธอนะ แต่งแบบฉันน่าจะดีกว่า ทำอะไรได้คล่องแคล่วกว่ากันเยอะเลย”
คุณหญิงนิ่มส่ายหน้า “หม่อมแม่ไม่ยอมให้ฉันนุ่งกางเกงขาสั้น บอกว่าเป็นกุลสตรีที่ดีต้องแต่งกายให้มิดชิดเข้าไว้ จะให้ใครเห็นหัวเข่าของเราไม่ได้ ถ้าไม่ได้ไปโรงเรียน อยู่บ้านฉันก็ต้องสวมกระโปรงคลุมเข่าตลอด”
คนที่นุ่งกางเกงขาสั้นแทบทุกวันจนหัวเข่าด้านหัวเราะคิก
“ฉันชอบนุ่งกางเกงขาสั้น ขืนให้ฉันนุ่งกระโปรงแบบเธอ ฉันคงแย่แน่ๆ เลย เพราะฉันชอบปีนต้นไม้ขึ้นไปนั่งบนนั้น ได้เห็นอะไรๆ จากที่สูงแล้วรู้สึกดี”
“ฉันอยากแต่งตัวแบบเธอแล้วปีนต้นไม้ขึ้นไปมองอะไรบนนั้นบ้างจัง แต่คงเป็นไปไม่ได้” น้ำเสียงของคนพูดเหงาๆ จนคนฟังสงสาร พลางคิดในใจว่าอยู่บ้านช่องใหญ่โตทำไมยังเหงาอีก
“วันหยุดเธอทำอะไรบ้างหรือหญิงนิ่ม”
“ฝึกเปียโน ร้อยมาลัย ปักผ้า หัดปอกมะปรางริ้ว ทำขนม ทำกับข้าว” คนถูกถามสาธยายทำเอาคนฟังแทบจะล้มตึงลงไปนอนกลิ้งกับพื้น
“โอ้ มายก็อด” พัดชาเผลออุทานตามครูแหม่มที่โรงเรียน
“แล้วเธอล่ะพัดชา คงมีแต่เรื่องสนุกๆ ไม่น่าเบื่อเหมือนของฉันหรอกใช่ไหม” เมื่อถามไปแล้วคุณหญิงนิ่มก็นั่งรอฟังอย่างใจจดจ่อ
“ฉันไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันอย่างเธอหรอกหญิงนิ่ม แม่ชอบบอกว่าฉันเล่นซนไปเรื่อยทั้งที่จะโตเป็นสาวอยู่แล้ว ฉันไม่เห็นอยากจะเป็นเลย เป็นเด็กอย่างนี้แหละมีความสุขที่สุดแล้ว เป็นตลอดไปได้ยิ่งดี ได้ช้อนปลาในคลอง ได้ปีนเก็บกระท้อน วิ่งไล่จับผีเสื้อ”
“เรื่องอยากเป็นเด็กเธอมีความคิดเหมือนฉันไม่มีผิดเลยนะพัดชา” คุณหญิงนิ่มมองเด็กหญิงวัยเดียวกันอย่างถูกใจ เพราะนอกจากจะชะตาต้องกันแล้ว ยังมีความคิดคล้ายกันอีก “ถ้าเป็นเด็กตลอดไปได้อย่างที่เธอว่าก็ดีสิ พี่เอื้อยสิ อายุมากกว่าฉันแค่ไม่กี่ปีแต่ชอบทำตัวเป็นสาวเกินอายุ จนป้าชื่นแอบกระซิบบอกฉันว่าพี่เอื้อยน่ะทำตัวแก่แดดแก่ลม จริตจะก้านเกินเหตุ ส่วนเรื่องช้อนปลาในคลอง ปีนเก็บกระท้อน หรือวิ่งไล่จับผีเสื้อ น่าสนุกจังเลยนะ”
นัยน์ตาโตของคนพูดฉายแววตื่นเต้น ทว่าไม่นานก็สลดลง
“แต่คงยากที่ฉันจะทำอย่างเธอได้”
พัดชาที่จับสังเกตกิริยาของคู่สนทนาอยู่ ก็ยิ้มกว้างอย่างปลอบใจ พลางมองกระท้อนที่อีกฝ่ายถืออยู่ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องพูดเพื่อดึงความสนใจ
“หญิงนิ่ม เธอรู้ไหมว่ากระท้อนที่เธอถือมาน่ะ ถ้าเอามาจิ้มกับน้ำปลาหวานนะ อร่อยอย่าบอกใครเชียว”
คนถือกระท้อนก้มลงมองสิ่งที่ถืออยู่
“ฉันเคยกินแต่กระท้อนลอยแก้วที่ป้าชื่นทำ ไม่เคยกินกับน้ำปลาหวานสักที”
เด็กหญิงเจ้าถิ่นยิ้มกว้าง “เอาไว้คราวหน้าเธอออกมาหาฉันที่บ้านสิ แล้วฉันจะทำให้กิน บ้านฉันอยู่ไม่ไกลจากบ้านเธอนักหรอก หลังสีขาวโน่นไงล่ะ” พูดพลางชี้ไปยังบ้านหลังสีขาวของตัวเอง
เด็กหญิงจากรั้วกำแพงสูงหันไปมองตามมือที่ชี้แล้วอุทานเสียงดัง
“บ้านเธอสวยจัง อย่างกับบ้านตุ๊กตาแน่ะ แต่ไม่ต้องถึงคราวหน้าได้ไหม ฉันอยากกินกระท้อนน้ำปลาหวานจังเลยพัดชา”
เจ้าของบ้านยิ้มรับคำชม “เอาอย่างนี้ ถ้าเธอยังไม่อยากกลับเข้าไปในกำแพงนั่น แวะไปบ้านฉันก่อนดีไหม เดี๋ยวฉันทำน้ำปลาหวานให้กิน แม่ฉันนะทำขนมอร่อยที่สุด วันนี้แม่ทำข้าวต้มผัดด้วย”
“ข้าวต้มผัดหรือจ๊ะ หน้าตาเป็นอย่างไรหรือ” คนที่คุ้นเคยแต่อาหารชาววังถามอย่างสนอกสนใจ
พัดชาทำหน้าลำบากใจเพราะไม่รู้จะอธิบายให้อีกฝ่ายฟังอย่างไรดี “เธอต้องแวะไปดูเอง ป่านนี้คงสุกแล้วมั้ง”
คนถูกชวนมีท่าทีลังเลแวบหนึ่งแต่ไม่นานก็จางหาย
“ก็ได้จ้ะ ฉันอยากกินกระท้อนน้ำปลาหวานกับข้าวต้มผัด แล้วเธอต้องเล่นจะเข้ให้ฉันฟังด้วยนะพัดชา”
คนถูกขอให้เล่นจะเข้ให้ฟังยิ้มแป้นอย่างยินดี “ได้สิ”