บทที่ 8

1492 คำ
“คืออย่างนี้ค่ะคุณพัน อย่างที่ทราบกันดีว่าเมื่อวันก่อนอาจารย์สุชาติล้มป่วยกะทันหัน และนุ้ยก็ไปเยี่ยมแกที่โรงพยาบาลมาแล้ว หมอให้แกพักฟื้นรอดูอาการอีกหลายวันเลยค่ะ ยังไงอาจารย์สุชาติก็ไปสัมมนาที่นครนายกกับคณาจารย์คณะเราไม่ได้แน่ นุ้ยก็เลยจะมาขอให้คุณพันไปแทนแกหน่อย ได้มั้ยคะ” “คุณนุ้ยก็รู้ว่าผมจะขอปฏิเสธ” ช่ออัญชันยืนฟังเงียบๆ แต่ก็รู้ดีว่านับพันจะตอบเช่นนี้ ทุกปีเหล่าอาจารย์แต่ละคณะจะได้งบประมาณไปสัมมนาต่างจังหวัด และแน่นอนว่าคนที่โลกส่วนตัวสูง เข้าถึงยากอย่างนับพัน สิงหโชติเดชาไม่เคยเข้าร่วมสักปี ด้วยความที่เขาเป็นเพียงอาจารย์พิเศษเท่านั้น จึงไม่เคยเป็นปัญหา “โถ่ ช่วยนุ้ยหน่อยนะคะ ปีนี้นุ้ยเป็นแม่งานซะด้วย แล้วก็อย่างที่รู้ๆ กันอยู่ คณะเราอาจารย์ชายน้อยมาก และถ้าได้จำนวนอาจารย์เข้าร่วมไม่ถึงเกณฑ์ สัมมนาคราวนี้ล่มแน่ๆ ค่ะ” การสัมมนาต่างจังหวัดก็เหมือนการพักร้อนของเหล่าราชการอย่างพวกเธอ ปีละครั้งโดยไม่ต้องออกค่าใช้จ่ายเอง แถมยังได้อบรมความรู้ใหม่ๆ เอามาใช้งานได้จริงในเรื่องการเรียนการสอน ได้มีปฏิสัมพันธ์กับอาจารย์ท่านอื่นๆ เพิ่มความแน่นแฟ้นในหมู่คณะ “คุณนุ้ยใส่ชื่อใครไปสักคนก็ได้นี่ครับ” ใช่ทั้งคณะจะมีเขาเป็นอาจารย์พิเศษผู้ชายเพียงคนเดียวซะที่ไหน “ได้ยังไงล่ะคะ ขืนถูกตรวจสอบขึ้นมาละแย่แน่” “ลองใส่ชื่อใครก็ได้ไปสักคน พอถึงวันนั้นก็แค่ให้เขาบอกว่าป่วย หรือติดปัญหาอะไรสักอย่าง ถ้าหาใครไม่ได้จริงๆ ผมให้ยืมชื่อไปใช้ก็ได้นะครับ” ช่ออัญชันคิดอยู่ในใจเงียบๆ ว่านี่แหละคืออาจารย์นับพัน ตัวจริงเสียงจริง ทำเหมือนกับว่ามีน้ำใจให้ขอยืมใช้ชื่อตัวเองได้ แต่ที่จริงแล้วคือการปฏิเสธต่อหน้านั่นเอง อาจารย์หนุ่มเกลียดความวุ่นวาย ความร้อนและที่ที่มีผู้คนเยอะๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงมาเป็นอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิในมหาวิทยาลัยชื่อดัง นักศึกษาเรือนแสนได้ “เฮ้อ นุ้ยก็ว่าแล้วเชียวว่าคุณพันต้องไม่ยอมใจอ่อน” “ขอโทษจริงๆ ครับ” นริศราถอนหายใจเบาๆ อย่างจำนน เมื่อรู้แน่แล้วว่าอาจารย์หนุ่มคงไม่ช่วยตามคำขอ และเธอไม่น่าจะเกลี้ยกล่อมเขาได้ “ก็ได้ค่ะ ถ้าอย่างนั้นคุณพันต้องไถ่โทษด้วยการพานุ้ยไปส่งที่แมนชันนะคะ” เหมือนนริศราจะนึกขึ้นได้ว่าลืมบางอย่าง หรือบางคนไป “เอ้อ แล้วช่ออัญชันมีธุระอะไรต่อกับอาจารย์พันหรือเปล่าจ๊ะ” ช่ออัญชันไม่ได้ตอบออกมาในทันที แต่หันไปหาอีกคน อยากรู้ว่าเขาจะพูดอาจารย์นริศราว่ายังไง ทั้งที่เธอบอกไปแล้วว่ามีเรื่องจะคุยกับเขา และเราก็ยังไม่ได้เริ่มคุยกันด้วยซ้ำ “เราคุยกันเสร็จแล้วล่ะครับ ใช่มั้ยช่ออัญชัน” ประโยคท้ายเขาหันไปสั่งแม่นักศึกษาสาวด้วยสายตาบังคับอยู่ในที “แต่...” “ก็อย่างที่ผมบอก ถ้างานที่ผมตรวจแล้ว คุณไม่มีสิทธิ์ขอแก้เพื่อขยับคะแนนขึ้น ถ้าคุณตัดสินใจส่งมาแล้ว ก็ต้องยอมรับผลของมันนะครับ” เขามันร้ายกาจ ! “เชิญทางนี้ดีกว่าครับคุณนุ้ย” “ไม่เป็นไรนะช่ออัญชัน เดี๋ยวอาจารย์ช่วยคุยกับอาจารย์พันให้อีกแรง แต่อย่างน้อยวิชาของอาจารย์หนูก็ได้เอบวกนะจ๊ะเทอมนี้” เพราะคิดว่าพอปลอบใจนักศึกษาสาวแสนสวยที่ตอนนี้ใบหน้าซีดสลด เหมือนผิดหวังอย่างรุนแรง นริศราจึงเปิดเผยเกรดอย่างไม่เป็นทางการในวิชาที่เธอสอนให้ช่ออัญชันได้รู้ เธอจำได้แม่นเพราะมีนักศึกษาไม่กี่คนหรอกที่จะได้คะแนนเต็มแบบนั้น นับพันเปิดประตูรถ เชิญอาจารย์นริศราเข้าไปนั่งข้างในอย่างสุภาพ ไม่เหมือนที่ทำกับเธอก่อนหน้านี้สักนิด นั่นคือแทบจะลากและโยนเธอเข้าไปในนั้น ตื๊อจริง ! นั่นคือสิ่งที่เขาอยากตะโกนใส่หน้าหญิงสาวที่มายืนปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่ที่ ‘ม่านเมฆ’ หน้าบ้านของเขาเอง ใช่ !... นี่เจ้าหล่อนกล้ามาดักรอเขาถึงที่ ‘บ้าน’ ทั้งที่ช่ออัญชันไม่เคยมา เพราะเขาไม่เคยพามา “นี่มันหมายความว่ายังไง” “ช่อบอกแล้วว่ามีเรื่องจะคุยกับอาจารย์” เธอรู้จักเขามานานพอที่จะรู้ว่าไม่ควรเสี่ยงทำให้ผู้ชายคนนี้โกรธ แต่ถึงจะกลัวเขา เธอก็ต้องลองต่อรองดูสักครั้ง “เลยต้องถ่อมาถึงนี่เลยงั้นสิ” เสียงเข้มทุ้มเอาเรื่อง “ช่ออยากมาที่นี่ค่ะ อยากมาเห็นบ้านของอาจารย์” ม่านเมฆ สวยมากสมชื่อของมัน เงียบแต่ไม่ถึงกับวังเวง อากาศเย็นสบาย สงบ สิ่งปลูกสร้างที่นับพันเรียกมันว่าบ้านนี้กะทัดรัด ไม่ใหญ่โตเทอะทะจนเกินไป แม้ระหว่างทางกว่าจะขึ้นมาจนถึงตรงนี้จะลึกพอสมควร แต่เพราะเป็นที่ทางของตระกูลสิงหโชติเดชา ถนนจึงลาดยางทั้งหมด สองข้างทางมีทั้งรั้ว ต้นไม้น้อยใหญ่ตามธรรมชาติและที่ถูกปลูกขึ้น ดอกไม้เมืองหนาวหลายชนิดเป็นช่วงๆ ละลานตาเธอเหลือเกิน ราวกับนี่ไม่ใช่บ้านคนแต่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวและเมืองในฝัน “ผมไม่ชอบให้ใครรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัว และผมมั่นใจว่าบอกช่อชัดเจนแล้ว” เขาจงใจย้อนเธอ “ระหว่างที่อาจารย์ไปส่งสาวถึงแมนชัน ช่อมารออยู่สักพักแล้วค่ะ และตั้งแต่มาถึงช่อยังไม่เจอใครเลยสักคน ดังนั้นอาจารย์คงไม่ต้องกลัวละมั้งคะว่าช่อจะทำให้อาจารย์เสื่อมเสียชื่อเสียง หรือเป็นที่ครหา หรือแม้แต่ใครจะมาเห็นเข้า” สิ่งที่ช่ออัญชันเห็นและเข้าใจมันถูกต้องแล้ว เขาไม่ชอบความเอิกเกริกวุ่นวาย คนงาน เด็กรับใช้วิ่งกันให้วุ่นเต็มบ้านเหมือนที่เหนือฟ้า หรือเป็นหนุ่มสังคมอัธยาศัยดีอย่างพี่ชายคนรอง เวลานี้ม่านเมฆของเขาจึงไม่มีใครเลย เด็กรับใช้ คนงาน และเวรยามตรวจตรารอบพื้นที่จะทำงานตามตารางเวลาของแต่ละวันเท่านั้น ซึ่งจะต้องไม่รบกวนเวลาพักผ่อนของเขาเด็ดขาด ... เพราะแค่ไอ้น้องชายคนเล็กอย่างนับสิบ ที่รักหลงพี่ชายอย่างเขาปานจะกลืนกิน มาหาเขาเกือบทุกวัน ! หอบเอาเรื่องอะไรต่อมิอะไรมาให้เขาได้สนุกสนานจนน่าปวดหัว เท่านั้นก็เกินพอแล้วสำหรับความวุ่นวายในชีวิตเขา “เลยคิดว่าตัวเองมีสิทธิ์จะโผล่มาได้โดยไม่บอกผมก่อนงั้นสิ” ช่ออัญชันสะดุ้งผวาเมื่ออาจารย์หนุ่มกระชากเนกไทตัวเองแรงๆ เพื่อคลายมันออก จนเธอกลัวว่าคอเขาจะหลุดออกมาด้วย สูทสีเข้มตัวนอกก็ถูกถอดออกอย่างรุนแรง ฉุนเฉียว แล้วเหวี่ยงไปที่โซฟาสีขาวข้างระแนงตรงระเบียง เหมือนนับพันระบายมันกับสิ่งของพวกนั้นแทนที่จะเป็นเธอ ที่เขาอยากจับเหวี่ยงออกไปแทน “ไหนๆ ช่อก็มาแล้ว ใจคออาจารย์จะไม่ชวนช่อเข้าบ้านหน่อยเหรอคะ” แต่เธอก็ยังทำใจดีสู้เสือ... แถมเสือที่ว่าวันนี้ยังดุร้ายมากซะด้วย “มีแค่เรื่องจะพูดนี่ พูดมาสิ ผมรอฟังอยู่” สายตาเขาห่างเหิน ดูแคลนโกรธเคืองและสื่อเป็นนัยอย่างชัดเจนว่าเธอไม่มีค่าพอได้ย่างกรายเข้าไปในพื้นที่ส่วนตัวของเขา ซึ่งเธอก็ทำใจมาแล้วว่าถ้าหากทำแบบนี้นับพันจะต้องไม่พอใจเป็นอย่างมาก แต่เธอรักเขา ยังไงก็จะขอสู้เพื่อความรักของตัวเองอย่างเต็มที่ดูสักตั้ง “ตกลงเราเลิกกันแล้วใช่มั้ยคะ” เสียงนั้นเศร้าสลดลงจนอาจารย์หนุ่มเกือบใจอ่อน ก่อนความรู้สึกนั้นจะถูกกลบทับด้วยคำพูดต่อมาของนักศึกษาสาวที่เขามีสัมพันธ์สวาทด้วยมาหลายปี “อาจารย์บอกว่าเราควรห่างกัน แต่หลังจากนั้น อาจารย์ก็ไม่เคยให้เวลาช่อได้ทำใจหรือตั้งตัวเลย ช่อเหมือนโดนทิ้งขว้าง เหมือนมีช่อคนเดียวที่คิดถึงอาจารย์” “ผมก็ยังโอนเงินให้ช่อไม่เคยขาดนี่” เสียงนับพันอ่อนลง ก้อนสะอื้นขึ้นมาจุกอยู่ที่ลำคอ ตลอดเวลานับพันเข้าใจว่าเธอคบเขาเพื่อเงินแค่นั้นจริงๆ น่ะเหรอ และที่ยังคอยตามตื๊อเขาอยู่แบบนี้ก็แค่เห็นเขาเป็นอู่ข้าวอู่น้ำ ขาดเขาคือขาดรายได้ เลยไม่ยอมจบง่ายๆ แบบนั้นสินะ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม