บทที่ ๓ พานพบสหาย(๑)

1328 คำ
นับตั้งแต่ได้รับรายงานจากองครักษ์ลับข้างกายอย่าง อู่เจี้ยนเมื่อหกปีก่อนนั้น ทุกๆ ปีองค์รัชทายาทพร้อมองครักษ์ข้างกายอย่างมู่หยางมักออกจากเซียนโจวมุ่งไปยังเมืองซูโจวเสมอ แม้ระยะทางจะห่างไกลกันเจ็ดร้อยลี้ ต้องเดินทางด้วยการควบม้าฝีเท้าดีหลายตัว ทว่าก็ไม่อาจทำลายความตั้งมั่นในพระทัยของพระองค์ได้แม้แต่น้อยนิด แม้ว่าตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาพระองค์จะต้องทรงงานมากมายเพียงใดแต่ก็ไม่เคยละเว้นการมาเยี่ยมเยือนซูโจวเลยสักครั้ง โดยเฉพาะที่ตั้งของจวนสกุลเจิ้งในอดีตแห่งนี้ เพียงแค่นึกถึงจวนสกุลเจิ้ง เปลือกตาหนาหนักของบุรุษหนุ่มในอาภรณ์สีดำราบเรียบเฉกเช่นคนผ่านทางธรรมดาทั่วไปพลันปิดลง จินตนาการได้เลยว่าเมื่อหกปีก่อนนั้นมีเพลิงไหม้ เถ้าธุลี และซากปรักหักพังของเรือนไม้หลายหมู่มากมายแค่ไหน อู่เจี้ยนเคยบอกว่าเพียงชั่วข้ามคืน จวนสกุลเจิ้งที่โอ่อ่างดงาม เป็นหนึ่งในสองของซูโจวแห่งนี้ก็หลงเหลือเพียงกลิ่นมอดไหม้ บัดนี้จวนสกุลเจิ้งในปีนั้นถูกปรับเปลี่ยนเป็นร้านแลกเงินของคนผู้หนึ่ง เห็นทีผู้ที่จะเป็นเจ้าของร้านแลกเงินแห่งนี้ได้นอกจากองค์รัชทายาทแล้วก็ไม่สามารถเป็นผู้อื่นได้เลย ดังนั้นทุกๆ ปี ผู้ดูแลร้านแลกเงิน จินเฟิ่ง มักจะได้เห็นพระพักตร์ของพระองค์อยู่เสมอ ปีนี้เองก็หาได้แตกต่างจากปีก่อนไม่ ผู้ดูแลคนนี้แม้จะดูคล้ายปุถุชนคนธรรมดาทั่วไป แต่ถ้าใจกล้าสืบเสาะลึกลงไปอีกหน่อย ก็จะรู้ว่าคนผู้นี้เป็นถึงองครักษ์ลับลำดับต้นๆ ข้างกายองค์รัชทายาทเลยทีเดียว ทันทีที่เห็นชายชุดสีดำเข้มของบุรุษผู้มีประกายพิเศษทั้งสองคนเดินเข้ามาภายในร้าน ผู้ดูแลก็รีบประสานมือคำนับ ฉีกยิ้มกว้างทักทายอย่างเป็นกันเอง เรียกได้ว่าถ้าต้องแสดงให้ผู้อื่นชมก็ทำได้ดีจนน่าเหลือเชื่อ “คุณชายทั้งสอง เชิญๆ” ด้านหน้าร้านยังมีผู้คนเดินเข้าออกนำตั๋วมาแลกเงินเฉกเช่นปกติ แต่พอผู้คนบางตาลง บุรุษทั้งสองก็ใช้ประตูด้านข้างลอบเดินเข้าสู่ภายในห้องกักเก็บเงินทองอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ผู้ดูแลร้านอย่างเต๋อไห่ที่ฉีกยิ้มเป็นกันเองนั้นกำลังคุกเข่าประสานมือคำนับต่อหน้าคนผู้หนึ่ง ในมือคนผู้นั้นมีรายงานรับแลกเงินของร้านจินเฟิ่ง ทว่าแม้สายตาจะจับจ้องอยู่กับตัวอักษรตรงหน้าแต่ความคิดกลับวุ่นวายอยู่กับเรื่องอื่นแทน “เจ้าสืบเรื่องหกปีก่อนไปถึงไหนแล้ว” ดวงตาของผู้ดูแลร้านจินเฟิ่งหลุบต่ำลง พร้อมทูลถวายรายงานด้วยท่าทางนอบน้อมยิ่ง “เรื่องฉ้อราษฎร์บังหลวงทองคำกับเกลือในหกปีก่อน แม้กระหม่อมจะสืบทราบได้ว่าข้องเกี่ยวกับใต้เท้าเจ้าเมืองจริง แต่จะเกี่ยวข้องในส่วนใดนั้นยังไม่แน่ชัดพ่ะย่ะค่ะ” “ดูเหมือนความพยายามตลอดหกปีของเราจะไร้ค่า” “เป็นเพราะกระหม่อมไร้ความสามารถ ขอพระองค์ลงพระอาญาพ่ะย่ะค่ะ” หลังเสียงโขกศีรษะดังตึงๆ สามครั้งหลิ่งเซียวฉินถึงได้โบกมือห้าม “ช่างเถิด เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องสืบอะไรอีก ในเมื่อกาลก่อนข้าเคยเอ่ยปากว่าสิ้นวาสนากับคนผู้นั้น มาถึงบัดนี้ถือว่าไม่มีอะไรข้องเกี่ยวหรือติดค้างกัน” “ถ้าอย่างนั้นพระองค์จะทำเช่นไรกับร้านจินเฟิ่งแห่งนี้ พ่ะย่ะค่ะ” เป็นมู่หยางทูลถาม เพราะสาเหตุที่องค์รัชทายาทเปิดร้านตั๋วแลกเงินแห่งนี้ขึ้นมาก็เพื่อรับซื้อข่าวสารเกี่ยวกับจวนสกุลเจิ้งทั้งสิ้น ยามนี้ไม่มีข่าวสารใดต้องสืบอีกแล้ว หลิ่งเซียวฉินกวาดสายตามองไปรอบๆ ก่อนจะเอ่ย “ในเมื่อจินเฟิ่งอยู่เมืองซูโจวมาหกปีแล้ว ก็ให้คงอยู่ต่อไปเถิด ให้ที่นี่เป็นทั้งร้านแลกเงินและร้านรับซื้อข่าวสารให้กับเรา เรื่องนี้คงต้องลำบากเต๋อไห่สักหน่อย” เต๋อไห่เบิกตากว้าง องครักษ์ลับอย่างเขาจะกล้ารับคำว่าต้องลำบากจากองค์รัชทายาทได้เช่นไรกัน ต่อให้บุกน้ำลุยไฟ เดินลงทะเลเพลิงก็หาได้ขลาดกลัวไม่ ขอเพียงได้ถวายการรับใช้เจ้าเหนือหัวเป็นพอ ตอนนี้นอกจากคุกเข่าโขกศีรษะแล้ว เต๋อไห่ก็ไม่คิดจะทำสิ่งอื่นใดอีก “กระหม่อมน้อมรับพระบัญชา กระหม่อมจะดูแลร้าน จินเฟิ่งให้ดี ขอพระองค์ทรงวางพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” “ดีมาก ร้านจินเฟิ่งแห่งนี้ก็มอบให้เจ้าจัดการ” “รับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ” หลิ่งเซียวฉินได้แต่โบกมือให้ “เอาเถิด ลุกขึ้นมาได้แล้ว เวลานี้ข้าเป็นเพียงคุณชายเซียวเท่านั้น หาใช่องค์รัชทายาทของเจ้าไม่” แม้ท่าทีที่หลิ่งเซียวฉินแสดงออกจะเป็นกันเองมากกว่าเดิม แต่ใครจะกล้าเป็นกันเองกับองค์รัชทายาทกัน มารยาทที่ควรพึงมี ความเคารพยำเกรงที่ควรปฏิบัติก็ยังต้องคงอยู่เช่นเดิม แต่แทนที่จะคุกเข่ากลับลุกขึ้นยืนประสานมืออยู่ด้านข้าง ในเมื่อเรื่องสกุลเจิ้งไม่มีอะไรต้องสืบอีก แต่เรื่องของบ้านเมืองก็ยังต้องรับรู้อยู่ดี ระหว่างตรวจบันทึกรายงานก็เอ่ยปากถาม “ต้นปีมานี้ ชาวบ้านในเมืองซูโจวอยู่อย่างสงบสุขดีหรือไม่ พวกเขามีเรื่องทุกข์ร้อนอะไรหรือเปล่า” “ด้วยพระบารมีของฝ่าบาท ชาวเมืองซูโจวอยู่กันอย่างร่มเย็นดี เมืองนี้แม้จะอยู่ห่างจากเมืองหลวงหลายร้อยลี้ แต่การเพาะปลูก การค้าขาย การกินการอยู่ก็ไม่ได้ด้อยจากชาวเมืองหลวงเลยสักนิดเลย อีกอย่างข่าวสารจากชายแดนก็สงบดี พ่ะย่ะค่ะ” มุมปากของหลิ่งเซียวฉินกระตุกเล็กน้อย แน่นอนว่าชายแดนทั้งสี่ทิศทางย่อมต้องสงบดี เพราะการยกทัพเข้ามาใน จิ้งโจว กวางโจว เผิงโจว และซูโจว นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยสักนิด แต่ละเส้นทางล้วนลำบากยิ่ง เพราะทุกพื้นที่ล้อมรอบด้วยหุบเขาสูงชัน เส้นทางคับแคบ จะเดินทางง่ายหน่อยก็มีแต่เส้นทางน้ำอย่างแม่น้ำเจียนหลิวเท่านั้น ทว่าคิดจะยกทัพเรือเข้ามาก็ล้วนเป็นเรื่องสิ้นคิดดีๆ นี่เอง ดังนั้นเรื่องการทัพ การทำสงคราม สำหรับแคว้นหลิ่งซานเรียกได้ว่าเป็นเรื่องง่ายเพียงพลิกฝ่ามือเท่านั้น จะว่ากันตามความจริง แคว้นที่ร่ำรวยด้วยทองคำและแร่ธาตุล้ำค่าเช่น หลิ่งซานนี้ การทำศึกยึดดินแดนจากแคว้นรอบๆ ต่างหากที่เป็นเรื่องง่ายดาย ทว่าแม้จะเป็นเช่นนั้นตั้งแต่ไหนแต่ไรมาเจ้าผู้ครองแคว้นมักเลือกความสงบสุขของราษฎรมาก่อนเสมอ การขยายอำนาจพวกนั้นถ้าเทียบกับปากท้องของราษฎรแล้วหาใช่เรื่องสลักสำคัญ แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ข่าวสารจากชายแดนตั้งแต่เรื่องเล็กไปจนถึงเรื่องใหญ่ สิ่งที่ควรรู้ก็ต้องรู้ไว้อยู่ดี ในเมื่อเรื่องราวกาลก่อนของสกุลเจิ้งไม่มีอะไรต้องสืบอีก ระหว่างนั่งพักอยู่ในเหลาสุราขึ้นชื่อของเมืองซูโจว มู่หยางผู้ได้รับอนุญาตให้นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็อดถามขึ้นไม่ได้ “คุณชายจะกลับเซียนโจวเลยหรือไม่” หลิ่งเซียวฉินเหลือบมองคนที่เป็นศิษย์ร่วมสำนัก เป็นองครักษ์ เป็นสหายรู้ใจ และอนาคตยังเป็น... เพียงเล็กน้อยก่อนจะยกฝาถ้วยชาปาดเบาๆ ขับไอกรุ่นร้อนของน้ำชาที่ไม่ได้ใช้ใบชาขึ้นชื่อของแคว้นเฉกเช่นในตำหนักของตน แต่ถึงกระนั้นกลิ่นชานี้ก็ยังทำให้เขานึกถึงคนผู้หนึ่งอยู่ดี
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม