บทที่ ๒ มู่ซูเจิน(๒)

1294 คำ
“ลูกแม่” ฮูหยินใหญ่ลูบแก้มบุตรสาวพลางสะอื้นไห้ออกมาไม่ขาดสาย “เจินเอ๋อของแม่ ในที่สุดแม่ก็ได้เห็นเจ้ามีชีวิตที่ดีอีกครั้ง เจ้าไม่รู้หรอกว่าหกปีที่เจ้านอนป่วยอยู่บนเตียง กินไม่ได้ เดินไม่ได้ ทำให้แม่ทุกข์ใจแค่ไหน ต่อไปนี้ได้โปรดเถิด เจ้าอย่าล้มป่วยอีกได้หรือไม่ ถือว่าแม่ขอร้อง...ขอร้องเจ้า” “ท่านแม่” อาจเป็นเพราะเจ้าของร่างนี้เห็นความทุกข์ใจของมารดามามากเกินไป จึงไม่อาจข่มกลั้นความเสียใจเอาไว้ได้ จนต้องโผเข้ากอดแล้วซุกหน้าเข้ากับอกของท่าน “ลูกขอโทษ ลูกอกตัญญูเหลือเกิน ท่านแม่ได้โปรดอภัยให้ลูกด้วยนะเจ้าคะ” “เจินเอ๋อ” แพขนตาชื้นด้วยวาวน้ำร้อนๆ ค่อยๆ ปิดลง ต่อไปนี้คงทำได้เพียงเป็นมู่ซูเจินแล้ว เพราะนางไม่อาจปฏิเสธความรักความห่วงใยจากสตรีผู้นี้ได้ การถูกอ้อมแขนอบอุ่นโอบกอดด้วยความรักเช่นนี้ทำให้นางคิดถึงมารดาเหลือเกิน ดังนั้นคงไม่ผิดใช่หรือไม่ ถ้าหากนางจะรับสมอ้างและใช้ชีวิตเป็นมู่ซูเจินตลอดไป สวรรค์คงเห็นใจและเวทนาใช่ไหม ถึงได้มอบชีวิตใหม่ที่มีครอบครัวพรั่งพร้อม มีบิดา มารดา และพี่ชาย น้องสาวให้กับนาง ในเมื่อสวรรค์รู้สึกผิดเช่นนี้ก็จะขอใช้ชีวิตเป็นมู่ซูเจินให้ดี และจะใช้โอกาสนี้แก้แค้นให้กับสกุลเดิมของนางด้วย ถึงแม้ต่อให้อยากข่มความเคียดแค้นเอาไว้แค่ไหน แต่ภาพเลือดสีแดงฉานที่ไหลท่วมจวนตระกูลเจิ้งก็ยังแจ่มชัดอยู่ในใจ จนไม่อาจลืมเลือนได้เลยแม้แต่นิดเดียว ดังนั้นจึงขอใช้โอกาสนี้สืบหาต้นสายปลายเหตุของเรื่องทั้งหมด นางอยากรู้เหลือเกินว่าทำไมคนเจ็ดสิบเจ็ดชีวิตในตระกูลของนางต้องตาย ใครเป็นผู้สั่งลงมือ ใครเป็นผู้ลงมือ ความสงสัยพวกนั้นไม่ว่ายังไงก็ต้องค้นหาความจริงให้พบ ในเมื่อตั้งใจที่จะใช้ชีวิตให้ดี ก็ย่อมต้องเรียนรู้การเป็น มู่ซูเจินให้ละเอียดถี่ถ้วนยิ่งขึ้น โชคดีที่ยังมีเสี่ยวเหยาคอยอยู่เป็นเพื่อน แม้สาวรับใช้ผู้นี้จะดูประหลาดใจกับท่าทีบางอย่างแต่ก็ไม่อาจเปิดปากพูดออกมาได้ว่ามีอะไรที่ไม่เหมือนเดิม และการเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตในร่างนี้ทำให้นางต้องรู้จักเผชิญหน้ากับสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อร่างกายค่อยๆ แข็งแรง การขังตนเองอยู่ภายในเรือนจึงไม่ใช่เรื่องจำเป็นอีกต่อไป เช้าวันนี้เพียงขยับตัวลงจากเตียงไม้ได้ก็ส่งเสียงเรียกบ่าวรับใช้ยกน้ำเข้ามาล้างหน้าล้างตา พอถึงตอนนี้ก็เพิ่งสังเกตเองว่าข้ารับใช้ในเรือนเร้นจันทร์แห่งนี้มีไม่น้อยเลยสักนิด ผู้ที่มีหน้าที่ยกอ่างน้ำ ยกเสื้อผ้าอาภรณ์เครื่องประดับเข้ามาล้วนมีมากมายยิ่ง วันนี้จึงเลือกอาภรณ์สีชมพูปักลายดอกไห่ถัง กับปิ่นหยกสลักลวดลายเดียวกันกับชุด ปล่อยให้คนใกล้ชิดอย่างเสี่ยวเหยาช่วยสวมอาภรณ์เกล้าผมให้ ระหว่างเกล้าผมครึ่งหนึ่งขึ้นเพื่อปักปิ่นนั้น เสี่ยวเหยาพลันมองไปนอกหน้าต่าง ปากพูดออกมา “วันนี้อากาศดีนัก คุณหนูออกไปเดินเล่นในสวนดีหรือไม่ บ่าวจำได้ว่านับตั้งแต่คุณหนูล้มป่วยก็ไม่ได้ออกไปชื่นชมสวนดอกไม้ในจวนของเราเลย ตอนนี้ดอกโบตั๋นในสวนล้อมจันทร์กำลังบานได้งามนักเจ้าค่ะ” สวนล้อมจันทร์หรือ มู่ซูเจินฉวยโอกาสที่เสี่ยวเหยาพูดไม่หยุดขบคิด ในหัวพลันผุดภาพสวนไม้ดอกไม้ประดับขนาดใหญ่ มีดอกไม้หลากหลายชนิดแข่งขันกันเบ่งบานตลอดสี่ฤดู ปลายฤดูใบไม้ผลิยามนี้ดอกโบตั๋นคงบานสะพรั่งอวดความงดงามให้ชมเป็นแน่ แต่ถึงจะอยากชื่นชมความงามของหมู่มวลดอกไม้มากแค่ไหน ภายในใจลึกๆ ก็อดหวั่นกลัวไม่ได้อยู่ดี หญิงสาวต่างเมืองอย่างนางจะเป็นคุณหนูสามมู่ซูเจินได้ดีแค่ไหนกัน แม้ยามนี้นางยังคงไม่เคยคุ้นกับร่างนี้นักแต่ก็ยังพอดูออกว่า สตรีผู้นี้ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน ไม่เช่นนั้นจะมีชีวิตรอดทั้งที่ป่วยเจียนตายมาตั้งหกปีได้เช่นไรกัน ดังนั้นเพื่อรู้จักร่างนี้ให้มากขึ้นต่อให้นางอยากหลบเร้นอยู่ในเรือนแค่ไหนก็ทำไม่ได้อีกแล้ว “กินมื้อเช้าเสร็จ เราก็ออกไปเดินเล่นสักหน่อยเถิด” คำพูดราบเรียบไร้คลื่นลมแต่ยังฟังดูอ่อนนุ่มคล้ายฝนแรกฤดูทำให้เสี่ยวเหยาชะงักงันเล็กน้อย เพียงพริบตาเดียวก็เบิกตากว้างร้องถามอย่างไม่ค่อยเชื่อหูเท่าไรนัก “คุณหนู จะออกไปเดินเล่นจริงๆ หรือเจ้าคะ” มู่ซูเจินสบตากับเสี่ยวเหยาในกระจกแล้วยิ้มหวาน “ในเมื่อเจ้าชักชวนทั้งที เหตุใดข้าจะไม่ไปเล่า” “คุณหนู” นางได้แต่ฉวยโอกาสที่เสี่ยวเหยาตั้งหน้าตั้งตาทำผมให้ด้วยฝีมือคล่องแคล่วลอบสำรวจร่างที่มาอาศัยอยู่ ใบหน้าเรียวของมู่ซูเจินดูงดงามยิ่ง คิ้วโค้งงอน จมูกเล็กๆ รับกับริมฝีปากสีชมพูระเรื่อราวกับกลีบเหมยส่งผลให้ดูงดงามเย้ายวนเป็นอย่างมาก ผิวพรรณดูเปล่งประกายประดุจไข่มุกล้อแสงตะวัน และโดดเด่นที่สุดคงเป็นดวงตากลมโตที่มีประกายคล้ายแสงดาวคู่นี้ เมื่อก่อนตอนที่เป็นเจิ้งซวีจู เคยได้ยินมารดาชมว่า นางเป็นสตรีอายุน้อยที่งดงามไม่แพ้คุณหนูคนใดในเมืองซูโจว แต่พอมาเห็น มู่ซูเจินก็รู้ทันทีเลยว่า งามปานล่มเมืองนั้นเป็นเช่นไร ถ้าหากเรียกความงดงามของมู่ซูเจินว่าเป็นลำดับสองละก็ เชื่อว่าไม่มีลำดับหนึ่งอย่างแน่นอน พอเห็นความงดงามเพียบพร้อมแล้ว ก็ไม่รู้เหมือนกันว่านิสัยเด็กเมื่อวานซืนแก่นกะโหลกกะลาในกาลก่อนจะทำลายรูปลักษณ์งดงามเหล่านี้ไปหรือไม่ หวังว่าร่างกายนี้ยังคงหลงเหลือกิริยาวาจาอ่อนน้อมและความเฉลียวฉลาดให้ใช้งานบ้าง ไม่เช่นนั้นถ้าเกิดนางกลายเป็นมู่ซูเจินผู้โง่งมขึ้นมาคงทั้งขายขี้หน้าและอาจรักษาชีวิตไว้ไม่ได้ด้วยซ้ำ หลังกินมื้อเช้าอิ่มแล้ว ก็ได้เวลาออกไปชื่นชมสวนล้อมจันทร์ เสี่ยวเหยาเองก็รีบร้อนหยิบเสื้อคลุมกันลมมาห่อหุ้มไหล่มนอย่างรู้งาน เพียงขยับตัวก็พลันมีบ่าวรับใช้ห้าหกคนเดินตามหลัง แม้พวกคนเหล่านี้จะก้มหน้าก้มตาเดินตามโดยไม่พูดอะไร แต่ถ้าสังเกตดีๆ แต่ละคนล้วนจับตาดูทุกย่างก้าวของนาง ดังนั้นแทนที่จะรู้สึกผ่อนคลายก็พลันอึดอัดขึ้นมาจนเดินต่อไปไม่ได้อีก “คุณหนูเป็นอะไรไปเจ้าคะ” พ้นประตูเรือนมาไม่เท่าไร เสี่ยวเหยาพลันเร่งฝีเท้าเข้ามาถามใกล้ๆ “เหตุใดถึงไม่เดินต่อล่ะเจ้าคะ” นางหันไปมองบ่าวผู้ติดตามแล้วสั่งเสียงเรียบ “พวกเจ้าห้าคนไปรอที่เรือนเถิด มีเสี่ยวเหยาไปเป็นเพื่อนข้าเพียงคนเดียวก็พอ” “คุณหนู” เสี่ยวเหยาเบิกตาโตแล้วมองไปรอบๆ “พวกนางเป็นบ่าวที่ฮูหยินใหญ่ส่งมารับใช้คุณหนูนะเจ้าคะ อีกอย่างในกลุ่มนี้ก็ยังมีคนที่คุณชายใหญ่ส่งมาปกป้องคุณหนูอีกด้วย” “คนของพี่ชายใหญ่หรือ”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม