หนึ่งเดือนต่อมา @โรงแรมหรู ภูเก็ต
วันนี้เป็นวันที่ต้องไปทำงานต่างจังหวัดครั้งแรกก็ว่าได้ตั้งแต่ที่ฉันเข้ามาเป็นผู้จัดการวงแบดกาย ซึ่งการไปทำงานครั้งนี้สร้างความวิตกกังวลให้กับฉันอยู่ไม่น้อย เพราะว่าฉันจะต้องไปค้างอ้างแรมกับผู้ชายถึงห้าคนแม้จะมีทีมงานไปด้วยแต่การเดินทางไปทำงานนั้นฉันต้องไปกับหนุ่มๆทั้งห้าในรถคันเดียวกัน ต่างจากทีมงานที่รวมกันไปในรถตู้คันเดียวทำให้ฉันแอบอิจฉาเหล่าทีมงานเล็กน้อยที่ไม่ต้องปั้นหน้าขณะที่นั่งอยู่ในรถจนตลอดทาง
ส่วนเรื่องห้องพักของโรงแรม ฉันก็ต้องพักโรงแรมเดียวกับเหล่าหนุ่มๆทั้งห้า ชั้นเดียวกัน แล้วยังเป็นห้องที่ถัดกันไป ซึ่งห้องของฉันที่พักนั้นอยู่ถัดจากห้องของควินน์ พอคิดแล้วว่าต้องอยู่ด้วยกันเกือบตลอดเวลาที่ทำงาน โดยเฉพาะกับควินน์ ฉันรู้สึกประหม่าทุกครั้งเวลาที่อยู่ใกล้เขา แลัวยังเจอสายตาของเขาที่มองมาที่ฉันอีกทำให้ฉันรู้สึกอึดอัด
ดูเหมือนว่าการเฟ้นหาผู้จัดการคนใหม่ที่ต้องมาดูแลหนุ่มๆทั้งห้าคนนั้น ไม่มีวี่แววว่าจะมีคนมาทำแทนผู้จัดการวงคนเก่าที่ออกไปอย่างกะทันหันได้เลย แต่ละคนที่บริษัทเลือกมา พอได้ลองทำงานร่วมกับห้าหนุ่ม แต่ละคนก็ล่าถอยโดยที่ทำงานร่วมกันได้ไม่กี่ครั้ง จนฉันต้องมาทำหน้าที่นี้ชั่วคราวในช่วงที่ตัวเองยังหางานไม่ได้ ซึ่งฉันไม่มีเวลาในการที่จะหาใหม่เลยในช่วงที่ดูแลพวกเขาทั้งหา ทำให้ฉันต้องหน้าที่ผู้จัดการวงนี้ไปก่อน จนกว่าจะหาผู้จัดการวงคนใหม่ที่เข้าตาเจ้าของบริษัทและถูกใจสมาชิกในวงแบดกายนั่นแหละ ถึงได้มีเวลาหางานใหม่ให้ตัวเองแบบจริงจัง
“พี่ควินน์ครับ ขอคีย์ต่ำลงมาอีกนิดนึงครับ” เสียงของลมดังขึ้นมาในขณะที่พวกเขาทั้งห้าคนกำลังซ้อมใหญ่สำหรับแสดงจริงในวันพรุ่งนี้
ฉันที่กำลังนั่งคิดถึงเรื่องต่างๆอยู่ต้องหันมาสนใจพวกเขาทั้งห้าที่อยู่ตรงหน้า แล้วสายตาของฉันก็ดันหันไปมองคนที่ลมบอกขึ้นมาโดยบังเอิญอย่างไม่ตั้งใจ แล้วเหมือนว่าไม่ใช่เพียงฉันที่มองไปยังเขาเท่านั้น ฉันรู้สึกได้ว่าสายตาของเขาก็มองมาที่ฉันเช่นเดียวกัน
“อืมม ประมาณนี้ได้หรือเปล่า” เสียงควินน์ถามกลับไปยังลม แล้วพวกเขาทั้งห้าคนก็พากันเริ่มเล่นเพลงต่อไป
“ผู้ชายในฝัน... ฉันคงเป็นไม่ไหว
ถ้าแม้ลำบากใจ วันไหนจะเดินแยกทางไม่โทษเธอ
ผู้ชายอย่างฉัน... แค่รักเธอได้เสมอ
แค่รักเธอหมดใจ แค่นี้ที่ทำเพื่อเธอได้ดี... ยิ่งกว่าใคร”
Credit เพลงผู้ชายอย่างฉัน ของ เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์
ฉันนั่งมองภาพตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อตัวเองเลยว่า ในชีวิตหนึ่งจะได้มีโอกาสมานั่งดูการแสดงคอนเสิร์ตแบบใกล้ชิดของวงดนตรีดังระดับเอเชียได้มากขนาดนี้ อย่าว่าแต่คอนเสิร์ตของศิลปินดังระดับเอเชียเลย แค่คอนเสิร์ตเล็กๆ ฉันยังไม่มีโอกาสได้ไปดูกับเขาเลยสักครั้งเดียว เพราะทั้งชีวิตสิ่งที่ต้องทำคือทำงานหาเงินเพื่อส่งตัวเองเรียนให้จบ แล้วยังต้องหาเงินมารักษาคุณลุงที่เลี้ยงดูฉันมาตั้งแต่ฉันยังจำความไม่ได้อีกด้วย อันที่จริงในครอบครัวของฉันตอนนี้ก็เหลือเพียงคุณลุงคนเดียวเท่านั้นจริงๆ
“โอเค พี่ว่าเพลงนี้เล่นประมาณนี้ใช้ได้แล้ว รีแลกซ์กันก่อนสักสิบนาทีดีกว่าค่อยเริ่มเล่นเพลงต่อไป” เสียงชินบอกกับสมาชิกทุกคนในวงหลังจากที่เล่นเพลงแรกลงตัว ทำให้ฉันที่ได้ยินต้องรีบจัดเตรียมเครื่องดื่มและของว่างให้กับพวกเขาทั้งห้าที่กำลังเดินลงมาจากเวทีอย่างด่วนจี๋เพราะเวลาพักของพวกเขาทั้งห้าไม่มีมากนัก
“น้ำค่ะ น้องชิน” ฉันยื่นขวดน้ำแร่ยี่ห้อดังซึ่งเป็นแบรนด์ที่สปอนเซอร์ในคอนเสิร์ตที่จะจัดขึ้นในครั้งนี้ด้วยให้กับชินที่เดินเข้ามาตรงจุดพักเป็นคนแรกด้วยรอยยิ้มบางๆ
“ขอบคุณครับพี่โรส” ชินรับน้ำแร่ไปก่อนจะเอ่ยออกมาพร้อมกับส่งยิ้มตอบกลับให้ฉันเช่นเดียวกัน
“น้ำค่ะน้องตุลย์ น้องคิง” ฉันถือน้ำแร่อีกสองขวดด้วยสองมือยื่นให้อีกสองหนุ่มที่เดินตามหลังชินมาติดๆพร้อมกับยิ้มให้เช่นกัน
“ขอบคุณครับ / ขอบคุณครับพี่โรสคนสวย” ตุลย์เอ่ยขอบคุณพร้อมกับส่งสายตาเจ้าชู้เบาๆใส่ฉัน ส่วนคิงนั้นก็อย่างที่หลายคนให้ฉายาเสือตัวพ่อ รับน้ำพร้อมกับเอ่ยชมฉันก่อนจะกะพริบตาให้หนึ่งทีแล้วไปนั่งพักไม่ไกลจากชินที่ไปนั่งก่อนหน้านี้แล้ว
“น้ำค่ะน้องลม” ฉันยื่นขวดน้ำแร่ให้กับลมพร้อมกับยิ้มให้
“ขอบคุณครับ” ลมรับน้ำแร่จากมือของฉันพร้อมกับยิ้มให้เช่นเดียวกัน ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งข้างกับคิงพร้อมกับพูดคุยกันตามประสาเพื่อน
“น้ำค่ะ” ฉันยื่นขวดน้ำแร่ให้กับควินน์เป็นคนสุดท้ายด้วยสีหน้าเรียบนิ่งแต่ก็ยิ้มมุมปากให้ ไม่กล้าที่จะยิ้มให้เขาเยอะ เพราะทุกครั้งที่ฉันทำแบบนั้นฉันมักจะเจอสายตาดุดันของเขาใส่ฉันอยู่เสมอ ฉันเลยคิดว่าเขาคงไม่ชอบให้ฉันทำสีหน้าแบบนั้นต่อหน้าเขา
“อย่ายิ้มให้ผู้ชายคนอื่น” ควินน์รับขวดน้ำแร่ไปจากมือของฉันก่อนจะพูดออกมาให้ได้ยินเพียงสองคนพร้อมกับมองฉันด้วยแววตาไม่พอใจอีกเช่นเคย จนฉันต้องเบือนหน้าไปทางอื่นเพื่อหลบแววตาคู่นั้นอย่างประหม่า
“ได้ยินหรือเปล่า” คนตรงหน้ายังพูดขึ้นมาอีกครั้งเหมือนรอคำตอบจากฉันซึ่งเขายังยืนอยู่อย่างนั้นไม่ยอมไปนั่งรวมกับเหล่าเพื่อนสมาชิกอีกสี่คน
“อืมม” ฉันตอบกลับไปเบาๆ เมื่อเขาได้ยินคำตอบจากฉันจึงยอมเดินไปนั่งรวมกับกลุ่มเพื่อนสมาชิก
“ของว่างที่พี่เตรียมไว้ให้ไม่รู้จะถูกใจพวกเรากันหรือเปล่า ถ้าอยากทานอะไรบอกพี่ได้นะคะ พี่จะได้เตรียมให้ถูก” ฉันหันหลังมาบอกทุกคนที่มองของว่างที่มีอยู่เต็มโต๊ะ มันก็ไม่มีอะไรมากหรอก แต่ไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาต้องทำหน้าตกใจกับของบนโต๊ะด้วยก็ไม่รู้
ฉันได้ข้อมูลมาจากพี่วาวถึงการเตรียมอาหารให้พวกเขาว่าของทุกอย่างต้องทานแล้วไม่อ้วน รวมถึงต้องมีประโยชน์ต่อร่างกายด้วย ฉันจึงเตรียมพวกขนมที่ทานแล้วไม่ลายสุขภาพพวกเขารวมไปถึงผลไม้สดหลายอย่างให้พวกเขาแบบจัดเต็ม อย่างพวกผลไม้ที่ทานแล้วไม่อ้วนเพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกายที่ฉันเตรียมไว้ให้ก็มี ส้มที่ปอกเปลือกและดึงใยออกแล้วด้วย ชมพู่ที่หั่นอย่างสวยงาม และแตงโมที่หั่นพอดีคำ ขนมแบบไม่อ้วน อย่างอัลมอนด์อบเกลือ แมคคาดาเมียอบเกลือ คุกกี้ข้าวโอ๊ตอัลมอนด์ พายแป้งกรอบ ของมีประโยชน์ทั้งนั้นเลย
“ไม่ชอบกันเหรอคะ” ฉันตัดสินใจเอ่ยถามอย่างเป็นกังวล เมื่อเห็นสีหน้าของพวกเขาทั้งห้าคนที่นิ่งเงียบ ไม่หยิบของว่างที่ฉันจัดเตรียมไว้ให้เลย
“เปล่าครับพี่โรส ผมไม่คิดว่าพี่โรสจะใส่ใจรายละเอียด แม้กระทั่งของว่างของพวกเราขนาดนี้” เป็นคิงที่พูดขึ้นมาก่อนที่เขาจะหยิบแตงโมเข้าปากด้วยสีหน้าเหมือนมันเอร็ดอร่อย
ส่วนคนอื่นๆอีกสี่คน บางคนก็เริ่มหยิบขนมเข้าปากบ้าง บางคนก็หยิบผลไม้ที่ฉันหั่นเตรียมไว้บ้าง ส่วนควินน์นั้น เขาหยิบส้มขึ้นมาแล้วมองมันอยู่สักพักก่อนจะเข้าปากไป การกระทำของทุกคนทำให้ฉันแอบถอนหายใจอย่างโล่งอก
หลังจากที่ทุกคนรับประทานของว่างกันเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็ขึ้นไปซ้อมเพลงกันต่อ ส่วนฉันก็มองดูว่าพวกเขาต้องการอะไรเพิ่มเติมหรือเปล่าในช่วงที่ซ้อมเพลงกัน ทำให้การเป็นผู้จัดการวงนี่ก็ไม่ต่างจากการเป็นแม่เลยนะในความคิดของฉัน ต้องคอยดูแลแทบทุกเรื่องของศิลปินที่ตัวเองดูแล
“พี่โรสค่ะ มีนักข่าวจากช่อง xx ต้องการขอสัมภาษณ์สมาชิกวงแบดกายค่ะ” น้องที่เป็นผู้ช่วยของฉันเดินเข้ามาแจ้งในขณะที่ฉันกำลังดูการซ้อมของทุกคนอยู่
“เราไม่ได้อนุญาตให้ใครเข้าสัมภาษณ์วงแบดกายในช่วงนี้นี่นา แจ้งไปว่าตอนนี้วงแบดกายไม่สะดวกให้สัมภาษณ์ พวกเขาซ้อมจริงกันอยู่สำหรับคอนเสิร์ตในวันพรุ่งนี้” ฉันบอกกับน้องที่เป็นผู้ช่วยของฉันไปก่อนจะหันไปสนใจหนุ่มๆทั้งห้าคนบนเวทีต่อ
“เขาบอกว่าจะรอขอสัมภาษณ์ให้ได้ค่ะ” น้องที่เป็นผู้ช่วยของฉันบอกออกไปด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
“เฮ้อ เดี๋ยวพี่ออกไปคุยกับเขาเอง” ฉันบอกน้องผู้ช่วยออกไปเมื่อคิดว่าอีกฝ่ายไม่น่าจะห้ามคนที่จะขอสัมภาษณ์ได้
“ขอบคุณค่ะ พี่โรส” ฉันเดินออกไปพบนักข่าวช่องดังกล่าวเพื่อไม่ให้พวกเขาเข้ามารบกวนทุกคนที่กำลังซ้อมเพลงกันอยู่
ฉันเดินออกมาทางด้านนอกแล้วก็ได้เห็นผู้ชายสองคนยืนหันหลังรออยู่ โดยคนหนึ่งถือกล้อง อีกคนหนึ่งถือไมค์เล็กๆไว้
“สวัสดีค่ะ” ฉันเดินเข้าไปทักทายบุคคลทั้งสองด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“สวัสดีครับ” คนที่ถือไมค์เล็กๆเอ่ยทักทายฉันกลับพร้อมกับยื่นมือมาตรงหน้าฉัน
“ฉันเป็นผู้จัดการของวงแบดกายค่ะ” ฉันเลือกบอกสถานะตัวเองกับเขาโดยไม่ยื่นมือไปตอบรับอีกฝ่าย
“อืมม ผมเป็นนักข่าวของช่อง xx อยากมาขอสัมภาษณ์สมาชิกวงแบดกายหน่อยครับ”
“คือพอดีว่าตอนนี้ทุกคนกำลังซ้อมจริงเพื่อแสดงคอนเสิร์ตในวันพรุ่งนี้ค่ะ อีกอย่างถ้าหากว่าต้องการจะขอสัมภาษณ์สมาชิกวงแบดกายต้องทำการยื่นเรื่องเข้ามาก่อนเพื่อให้ทางบริษัทพิจารณาว่าควรอนุญาตหรือไม่ ไม่ใช่ walk in เข้ามาขอสัมภาษณ์แบบนี้นะคะ”
“ครับ ผมทราบ ผมจึงอยากขอสัมภาษณ์หลังพวกซ้อมคอนเสิร์ตจบ” บอกขนาดนี้ยังจะตื้ออยู่อีก ไม่เข้าใจในภาษาไทยที่ฉันบอกออกไปหรือไงนะผู้ชายคนนี้
“ดิฉันบอกแล้วไงคะ จะขอสัมภาษณ์พวกเขาต้องทำหนังสือเข้ามาขออนุญาตกับบริษัทต้นสังกัดเสียก่อน อีกอย่าง พวกเขาซ้อมกันเสร็จก็คงจะเหนื่อย ไม่มีอารมณ์อยากจะให้สัมภาษณ์กันสักเท่าไหร่หรอกค่ะ อันนี้ฉันบอกจากใจจริงเลย เป็นไปได้ไหมคะว่าจะทำนัดล่วงหน้ากันไว้แล้วฉันทำการเคลียร์คิวพวกเขาให้พวกคุณได้เข้ามาสัมภาษณ์”
“งั้นถ้าผมขอไปเก็บภาพพวกเขาหลังซ้อมจบแล้วจะได้ไหมครับ ถือว่าครึ่งทางกันและกัน ผมอุตส่าห์มาจากกรุงเทพฯเพื่อมาทำข่าวพวกเขาทั้งห้าคน ถ้าไม่ได้ข่าวอะไรของพวกเขากลับไปเลย ผมก็คงโดน บก. เฉ่งแน่นอน” น้ำเสียงที่แสดงให้ดูเศร้าของนักข่าวหนุ่มทำให้ฉันต้องถอนหายใจและยอมในที่สุด
“เฮ้อ ก็ได้ค่ะ ฉันให้พวกคุณเข้าไปเก็บภาพหลังซ้อมเสร็จเท่านั้น ย้ำ เก็บภาพเท่านั้นห้ามมีการเข้าไปยื่นไมค์ขอสัมภาษณ์เป็นอันขาดนะคะ การเข้าไปของพวกคุณสองคนจะไม่มีการเข้าไปสัมภาษณ์ใดๆทั้งสิ้น”
“ขอบคุณครับ ผม เบนซ์ บดินทร์ ครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณ...”
“ฉัน รสาค่ะ”
“ครับ คุณรสา งั้นพวกผมขอรอแถวนี้นะครับ เอ่อ ไม่ทราบว่าจะเป็นไปได้ไหมถ้าผมจะขอแลกไลน์หรือเบอร์โทร เผื่อว่าถ้าพวกเขาซ้อมกันเสร็จแล้ว คุณจะได้ไม่ต้องลำบากเดินตามหาพวกผม”
“ไม่ดีกว่าค่ะ เดี๋ยวฉันให้น้องออกมาตามพวกคุณอีกทีหลังจากที่พวกเขาทั้งห้าคนซ้อมเพลงกันเสร็จแล้ว ขอตัวก่อนนะคะ ฉันต้องไปดูพวกเขาทั้งห้าคนซ้อมเพลงต่อ”
“ครับ ขอบคุณนะครับที่ยอมให้พวกเราเก็บภาพ”