วันต่อมา
ฉันเม้มปากแน่นเดินเข้าโรงพยาบาลที่ฉันฝึกงาน วันนี้เป็นวันแรกที่ฉันจะต้องตั้งใจทำงานอย่างจริงจัง หลังจากเกิดเหตุการณ์เมื่อวานรูปที่ฉันถอดแว่นก็หลุดไปทั่วเพจมหาลัยเลย ไม่นานก็มีคนจำนวนมากที่ติดตามฉัน แต่โชคดีจะออกฝึกงานพอดีเลยไม่เจอเรื่องวุ่นวายมากเท่าไหร่
ตอนนี้ก็ประมาณเกือบหนึ่งทุ่มแล้วแต่ฉันยังทำงานไม่เสร็จ เป็นวันแรกที่ฉันได้สัมผัสกับศพจำนวนมาก บางศพก็มีสภาพไม่ดีสักเท่าไหร่ "ข้าววันนี้ลงไปซื้อกาแฟหรือเปล่า" พี่หนิ๋งที่เดินมาถามฉันด้วยอาการง่วง
"ไปค่ะ พี่จะเอาด้วยใช่ไหม เดี๋ยวข้าวซื้อขึ้นมาให้" พี่หนิ๋งพยักหน้าตอบรับ
"งั้นเราเอาไปให้พี่ที่ห้องนะ พอดีพี่มีอะไรให้ช่วยหน่อย"
"ได้ค่ะ" ฉันเดินลงไปร้านกาแฟโดยบนใบหน้าไม่มีแว่นตาเพราะฉันจะไม่ใส่ตอนทำงาน จริงๆฉันไม่ได้สายตาสั้นแต่ที่ฉันใส่ก็เพราะฉันไม่อยากเป็นจุดสนใจ ซึ่งตอนนี้อยู่ในที่ทำงานมันคงไม่มีปัญหาอะไรมาก
"พี่แป้งเหมือนเดิมเลยค่ะ" พี่แป้งคือเจ้าของร้านกาแฟ พี่แป้งจะเป็นคนคุยเก่ง อย่างวันนี้ตอนเช้าพี่เขาถามฉันไม่หยุดเลย
"วันแรกสนุกไหมกับงาน"
"สนุกมากเลยค่ะ ศพเต็มไปหมดเลย พี่แป้งสนใจเลิกกิจการแล้วไปเป็นนักศึกษาแพทย์กับข้าวไหมคะ" ฉันเอ่ยแซวพี่แป้งเล่นก่อนที่เจ้าตัวจะส่ายหน้าอย่างมั่นใจ
"พี่ว่าพี่เป็นลมก่อนแน่ๆ" พี่แป้งพูดไปหัวเราะไป ทำให้ฉันยิ้มตามทันที
"โอ้ย ออกไปให้ไกลฉัน สกปรก" เสียงที่ดังเข้ามาในร้านทำให้ฉันกับพี่แป้งหันไปมอง ก่อนจะเห็นนักศึกษามหาลัยเดียวกับฉันกำลังผลักผู้ชายตัวมอมแมมคนหนึ่ง
"เกิดอะไรขึ้น" พี่แป้งหันมาถามฉันอย่างสงสัย
"เดี๋ยวข้าวออกไปดูก็ได้ค่ะ"
หลังจากฉันเดินออกจากร้านก็หยุดชะงักเมื่อเห็นผู้หญิงคนนั้นกำลังผลักผู้ชายคนหนึ่งอีกครั้ง "เธอทำอะไรของเธอ" ฉันเดินไปดักหน้าเธอทันทีเพื่อไม่ให้เธอผลักผู้ชายคนนั้น
"ก็ไอ้บ้านี่มันลวนลามฉัน มันเดินมาชนฉัน เพราะคิดไม่ดีกับฉัน" ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะหันไปมองผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างหลังฉัน
"คุณทำแบบที่เขาบอกจริงๆใช่ไหม" ผู้ชายคนนั้นไม่แม้จะเงยหน้าขึ้นมามองฉัน
"เหมือนเขาจะมีความผิดปกติทางสติปัญญานะคะ และอีกอย่างเธอไม่ควรที่จะทำแบบนี้กับเขา"
"เข้าข้างมันเหรอ จนก็จน สกปรกก็สกปรก" ฉันเสยผมตัวเองเพื่อระงับอารมณ์ทันที
"ถึงเขาจะจนแต่เธอก็ไม่ควรพูดจาดูถูกเขาแบบนี้ ฉันว่าเธอรีบไปเถอะ ก่อนที่คนอื่นจะออกมาดูว่าคนสวยๆอย่างเธอมองคนที่ฐานะ" ฉันพูดบอกเธอด้วยสีหน้าเรียบนิ่งพร้อมกับมือสองข้างที่กำลังกำแน่นอยู่ในชุดกาว
"ถ้าอยากอยู่กับพวกโรคจิตก็เชิญ" ฉันได้แต่ส่ายหน้าก่อนจะย่อตัวนั่งตรงหน้าผู้ชายคนนั้น
"คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม มีแผลด้วยนี่"เขาส่ายหน้าตอบก่อนจะเงยหน้ามองฉัน เนื้อตัวเขามอมแมมถ้าเป็นคนที่ฉันรู้จักก็ดูไม่ออกเหมือนกัน
"งั้นรอตรงนี้ก่อนนะ อย่าไปไหนนะ" ฉันบอกเขาก่อนจะวิ่งเข้าไปขอยากับพี่แป้ง
"พี่แป้งข้าวขอกล่องยานะคะ" ฉันหยิบกล่องยาเมื่อพี่แป้งอนุญาต
ฉันเดินออกจากร้านอีกครั้ง ก่อนจะเห็นผู้ชายคนนั้นเขาไม่ได้ไปไหน ตรงที่ฉันอยู่มันค่อนข้างมืดพอสมควร แต่ความรู้สึกของฉันมันบอกว่าเขาไม่มีอันตรายพร้อมกับกลิ่นอายความคุ้นเคยที่เกิดขึ้นกับฉัน
"งั้นเข้าไปทำแผลในร้านดีกว่านะ" แขนเสื้อฉันที่ถูกจับไว้ บ่งบอกว่าเหมือนเขาต้องการนั่งอยู่ตรงนี้
"ก็ได้ งั้นทำแผลตรงนี้ก็ได้ เอ่อ ขอโทษนะ" ฉันเอ่ยขอโทษก่อนจะเชิดคางเขาเพื่อทำแผลที่มุมปาก คาดว่าน่าจะถูกแม่นั่นตบ จะว่าไปผิวของเขาค่อนข้างดีมากเลย ขนาดฉันสัมผัสด้วยมือยังรู้สึกว่านุ่มเลย แถมกลิ่นน้ำหอมมันกลิ่นคุ้นเคย กลิ่นเหมือนน้ำหอมราคาหลักหมื่นที่ฉันไปดูกับยัยฝ้ายวันนั้นเลย แต่ไม่ได้ไปซื้อหรอกนะ ไม่มีตังค์ ฉันขมวดคิ้วทันที ก่อนจะสะบัดความคิดนั้นออก
ผมนั่งมองหน้าหวานใสที่กำลังทำแผลให้ผม ถึงมันจะมืดแต่ก็ไม่สามารถทำให้ผมผละสายตาออกจากใบหน้าหวานๆนั้นได้ สงสัยใช่ไหมว่าทำไมผมมาอยู่ในสภาพนี้ ก็ผมดันแพ้พนันไอ้ปลื้มกับไอ้ติณหน่ะสิ แต่หลักๆเลย มันไม่เอาเงินแต่ให้ผมแต่งตัวเป็นคนสติไม่ดี แรกๆผมก็ไม่เอาด้วยหรอก แต่คำพูดของไอ้ติณทำให้ผมคิดว่า ถ้าผมแต่งตัวแบบนี้จะมีผู้หญิงคนไหนสนใจไหม แต่โชคไม่ดีเมื่อผมเดินชนกับผู้หญิงคนหนึ่งเข้า ซึ่งเป็นหนึ่งในคู่นอนของผม ผมก็จำไม่ได้เหมือนกันเพราะผมไม่กินซ้ำ จากนั้นมันก็เกิดเรื่องขึ้นทันที
แต่กลับมีผู้หญิงที่ทุกคนเคยเรียกว่ายัยหมอเฉิ่มเดินมาช่วยไว้ แรกๆผมก็คิดว่าเธอจะรังเกียจผมเสียอีก แต่กลับตรงกันข้าม น้องช่วยผมแถมยังทำแผลให้ผมอีก ตั้งแต่เกิดเรื่องเมื่อวานผมก็ไม่ได้เจอน้องอีกเลย ส่วนที่ผมมาอยู่ที่ฝึกงานน้องได้ยังไง อันนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน พอรู้ตัวอีกทีผมก็รู้ว่าอยากเจอน้องแล้วก็มาถึงที่นี่แล้ว
"เจ็บหรือเปล่าค่ะ" ผมส่ายหน้าโดยสายตายังจ้องมองใบหน้าหวานๆนั้นอยู่
"ข้าว กาแฟได้แล้วจ้า"เสียงผู้หญิงเจ้าของร้านกาแฟดังขึ้นก่อนน้องจะหันไปมอง
"ค่ะ เดี๋ยวข้าวเข้าไปเอาค่ะ" น้องรีบเก็บกล่องยา ดึกขนาดนี้ยังไม่เลิกงานอีกเหรอ
"ว่าแต่บ้านอยู่ที่ไหน แล้วมีเงินกินข้าวยังคะ" ให้ตายเถอะ ทำไมต้องทำเสียงแบบนั้นด้วย ผมเม้มปากก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ
"งั้นเอาไปเป็นค่าข้าวนะ พอดีมีต้องทำงานแล้ว ขอตัวก่อนนะ" ผมแบมือตัวเองออกมาก่อนจะพบแบงค์ร้อยสองใบ ก่อนจะเงยหน้าไปมองน้องที่เดินเข้าร้านกาแฟที่ผมจะเข้าประจำเวลามารอรับพ่อ ผมยกยิ้มขึ้นมาทันที ครั้งแรกเลยที่ผมได้เงินจากผู้หญิงตั้งสองร้อยบาท
ทว่า จู่ๆ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นก่อนที่ผมจะกดรับ (หายเลยนะ เจอกระทืบตรงไหนหรือเปล่าว่ะ" เสียงไอ้ติณที่กำลังเหมือนขำพูดขึ้น
"อยู่โรงพยบาลตำรวจ"
(เฮ้ย ทำไมได้ไปโผล่ที่นั่นว่ะ กูให้มึงอยู่แค่แถวๆผับไม่ใช่เหรอ)
"กูไม่รู้ รู้ตัวอีกทีกูก็มาอยู่ที่นี่แล้วว่ะ งั้นกูกลับคอนโดเลยแล้วกัน" ผมบอกไอ้ติณก่อนจะกดวางสาย
ฉันวางกาแฟบนโต๊ะทำงานพี่หนิ๋ง "พี่มีอะไรให้ข้าวช่วยเหรอคะ"
"พอดีพี่อยากให้เราช่วยดูผลชันสูตรให้หน่อย พี่ว่ามันมีอะไรแปลกไป" ฉันรับเอกสารก่อนจะตรวจดู
"นี่มัน..." เมื่อเห็นผลชันสูตร จู่ๆภาพมันก็ฉายขึ้นทันที
"เป็นอะไรหรือเปล่า ไม่สบายเหรอ"
"เปล่าค่ะ เหมือนข้าวเคยเจอการตายลักษณะนี้ที่ไหนสักที่" สภาพศพที่มีรอยของมีดที่กรีดแขนขวา และมีรอยเชือกรัดคอ
"คนนี้ตายเมื่อวานช่วงตอนดึก เจ้าหน้าที่คิดว่าถูกฆาตกรรม" ฉันเบิกตากว้างทันที
"ฆาตกรต่อเนื่อง ผู้หญิงคนนี้ตายในลักษณะเดียวกันกับเหตุการณ์โศกนาฏกรรมที่สวนสนุก เมื่อ 10 ปี ที่แล้ว" พี่หนิ๋งขมวดคิ้วทันที
"ทำไมเราถึง..."
"ข้าวเป็นเหยื่อของโรคจิตคนนั้น จริงๆคืนนั้นมันไม่ใช่การลอบวางเพลิง การวางเพลิงเป็นแค่ฉากบังหน้าของฆาตกรโรคจิต และคืนนั้นกลับมีการตายของคนจำนวนมาก ผู้ชายคนนั้นถูกจับในข้อหาทำอานาจาร ส่วนการตายของเหยื่อมันกลับเป็นการถูกไฟครอบ แต่จริงๆแล้วมันเป็นการฆาตกรรมค่ะ"
"พี่ไม่คิดเลยว่าผู้หญิงบอบบางอย่างข้าวต้องมาเจอเรื่องแบบนี้" ฉันยิ้มให้พี่หนิ๋งที่กำลังกุมมือฉันแน่น แต่ไม่นานก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นแต่มันเป็นของพี่หนฺิ๋ง ก่อนที่พี่เขาจะส่งยิ้มแห้งมาให้ฉัน
"ดึกแล้ว พี่ว่าข้าวกลับบ้านได้แล้วล่ะ" ฉันขมวดคิ้วทันที
"แต่มันยังไม่ถึงเวลากลับเลยนะคะ"
"เอ่อ พี่ก็ไม่รู้ เขาบอกว่าให้ข้าวกลับบ้าน ถ้าข้าวไม่กลับพี่เดือดร้อนแน่" มันกลับทำให้ฉัน งง หนักมากกว่าเดิม
"เขาไหนค่ะ"
"เอ่อ พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน หัวหน้าโทรมาบอก"
"แต่ยังไม่เลิกงานนะคะ ข้าวคงกลับไม่ได้"
"งานก็ไม่มีแล้ว ข้าวกลับเถอะนะ" ฉันได้แต่เดินอย่าง งงๆ โดยพี่หนิ๋งที่ผลักให้ฉันเดินเบาๆ
"เขาคนนั้นหน้ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอค่ะ" พี่หนิ๋งพยักหน้าเหมือนจะร้องไห้
"งั้นข้าวกลับก็ได้ค่ะ"