บทที่ ๑ วันคืนหนาวเหน็บ(๒)

1338 คำ
รถกระบะสีดำคันใหญ่ค่อยๆ ชะลอจนจอดสนิทเมื่อถึงบริเวณเรือนไม้สัก แสงไฟฉายถูกส่องลงมาจากด้านบน ต้นกล้าที่เตรียมพร้อมด้วยชุดกันฝนรีบก้าวลงมา เพราะชายหนุ่มเองก็ได้ยินเสียงคำรามของเจ้าเขี้ยวยักษ์ กำลังจะออกจากห้องไปดูให้เห็นกับตาเช่นกันว่าเกิดอะไรขึ้น ที่ส่งนายธงไปตามพญาอินทรีมาเพราะเกรงว่าตัวเองจะเอาไม่อยู่ ทุกคนในไร่รู้ดีว่ามีเพียงคนเดียวที่ปราบมันได้ “นายครับ” ลูกน้องทักทายและทำความเคารพ “ไปกันเถอะก่อนที่เจ้าตัวนั้นจะหลุดออกมาทำร้ายผู้คน” ทั้งสี่คนมุ่งหน้าเลียบเคียงทางเดินไปทางด้านหลังของเรือน เวลานั้นประตูกรงของเจ้าเขี้ยวยักษ์จวนเจียนจะหลุดออกเต็มที เพลิงอินทรีก้าวตรงมุ่งหน้านำพาร่างกายไปกระแทกประตูกรงกลับคืน “เจ้าเขี้ยวหยุด!” ชายหนุ่มตวาดแข่งกับสายฟ้าฝน เสือตัวใหญ่หยุดนิ่ง มันหมอบลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง ก่อนจะส่งเสียงคำรามให้ทุกคนได้ขนลุกขนพองอีกครั้ง กระแสลมพัดลู่รุนแรง จนกิ่งไม้หักโค่นลงมา ทุกคนรีบหาที่หลบกันจ้าละหวั่น ใบไม้ปลิวร่วงโรยลงมาราวสิ้นชีวิตขัย ทั้งที่มันยังเขียวขจียามต้องแสงฟ้า ประตูกรงถูกซ่อมแซมแข่งกันสายฝนที่เบาลงเรื่อยๆ จนกลายเป็นเพียงหยาดฝนปรอยๆ ให้ความชุ่มฉ่ำกับหมู่มวลมนุษย์ ในขณะที่สายฝนเริ่มหยุดสร่างซาลงน้ำตาของไอ้เขี้ยวยักษ์กลับรินไหล พ่อเลี้ยงเพลิงอาจมองแล้วใจหายวาบ ท่านมองบรรยากาศรอบด้านที่ปรวนแปรไปอย่างน่าตกใจ มืดมิดเงียบเชียบราวกับเมื่อสักครู่ที่ผ่านมาไม่มีพายุโหมกระหน่ำ “ไฟ! ไฟตามพ่อมา” น้ำเสียงของท่านตกใจไม่น้อย เพลิงอินทรีมองหน้าคนเป็นพ่อ ต้นกล้ามองอย่างสงสัย ก่อนจะรีบสาวเท้าตามไปในทิศทางที่พ่อเลี้ยงเพลิงอาจวิ่ง เส้นทางเลาะลัดผ่านลำธารที่มีสายน้ำเชี่ยวกราก คนวิ่งนำหน้าไม่เกรงอันตรายใดๆ ทั้งสิ้น “เส้นทางไปถ้ำคุณปู่” บุตรชายคนเดียวพึมพำ “หรือว่า...” คาดคิดเพียงเท่านั้นถ้าเป็นไปได้เพลิงอินทรีก็อยากจะเหาะไปให้ถึงอย่างรวดเร็ว ต้นกล้าวิ่งตามหลังไม่ลดละ ในขณะที่ส่งสัญญาณให้พยัคฆ์ดำและพยัคฆ์ขาวตามไปติดๆ แม้ทุกคนจะแยกย้ายกันไปพักร้อนจนหมด แต่เขารวมทั้งขาวและดำยังทำหน้าที่นี้เสมอ เสียงฝีเท้าก้าวเร็วไปยังจุดมุ่งหมายไม่มีลดละ จนกระทั่งมาหยุดอยู่บริเวณหน้าถ้ำที่ใบไม้ร่วงพรูลงมากองพะเนินเกือบครึ่งแข้ง เมื่อเช้านี้คุณเพลิงอาจยังมาที่นี่เล่าถึงความแสบซนของหลานชายทั้งสองให้ปู่อินทร์ได้ฟัง ใบหน้าของท่านยังอิ่มเอิบดูมีความสุขยิ่งนัก ขายาวๆ ของพ่อเลี้ยงแทบจะยกไม่ขึ้น เมื่อลมพัดลู่แนบกายจนตัวเย็นเฉียบ ได้ยินเสียงเหยี่ยวเวหากรีดร้องโหยหวน เม็ดเหงื่อของทุกคนก็ยิ่งผุดพรายขึ้นมาตอกย้ำว่าต่อไปอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้เรื่องที่ทุกคนไม่คาดคิดอาจจะเกิดขึ้น ทั้งสามคนมองหน้ากันก่อนจะค่อยๆ ก้าวเข้าไปในถ้ำด้วยหัวใจที่เต้นระส่ำ “ปู่ครับ... ปู่ครับ” เพลิงอินทรีเรียกขาน เสียงนั้นดังก้องทั้งถ้ำ แต่ไร้เสียงแหบๆ ตอบกลับมาเช่นเคย “พ่อครับ พ่อ...” ก้าวมาถึงกลางถ้ำใหญ่ ท่านเพลิงอาจก็เรียกขาน แสงไฟฉายที่ถือติดมือมากวาดส่องไปยังผ้าที่คนเป็นพ่อใช้ปูนอนแต่กลับไม่มีท่านแม้แต่เงา แสงไฟกวาดไปรอบๆ ถ้ำ จนเห็นปู่อินทร์นั่งขัดสมาธิราวกับกำลังนั่งญาณเหมือนที่ท่านทำอยู่เป็นกิจวัตรประจำวัน แต่ที่แตกต่างก็คือใบหน้านั้นซีดขาวจนน่าใจหาย “พ่อครับ...” ลูกชายแตะมือสัมผัสกับเนื้อหยุ่นบริเวณท่อนแขน ก่อนจะผละออกอย่างตกใจ ร่างกายของท่านเย็นเฉียบ หัวใจของคนเป็นลูกสั่นเทาด้วยความเจ็บปวด พ่ออินทร์จากไปอย่างสงบ ท่านเพลิงอาจหันมามองเสี้ยวหน้าของลูกชายก่อนจะก้มกราบแทบตักท่านเป็นครั้งสุดท้าย “คุณปู่ / คุณท่าน” เพลิงอินทรีกับต้นกล้าถลาเข้ามาพร้อมๆ กัน มือหนาของหลานชายเขย่าร่างของปู่อินทร์จนสั่นคลอน น้ำตาของลูกผู้ชายรินไหล คุณปู่ผู้เคารพรักจากไปอย่างสงบ แต่ท่านด่วนจากไปเหลือเกิน ท่านน่าจะรอพบหน้าเหลนทั้งสองคนอีกครั้งก่อน... มือหนาสองข้างประนมเป็นพุ่มดังดอกบัวตูม ก่อนจะก้มกราบแทบตักของคนเป็นปู่ ต้นกล้าก็เช่นเดียวกันเขาทำความเคารพอดีตเสือแห่งหน่วยพยัคฆ์ด้วยความอาลัยอาวรณ์ ต่อจากวันนี้ไปดวงตาของหน่วยพยัคฆ์ดับมืดแล้ว ถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้นใครเล่าจะชี้ทางให้ หลานชายของปู่อินทร์อุ้มร่างไร้วิญญาณของท่านขึ้นแนบอก ก่อนจะวางลงบนที่นอนผ้าขนสัตว์ลายเสืออย่างนุ่มนวล สีหน้าของท่านยามหลับใหลแบบนี้ดูแล้วท่านคงจากไปอย่างหมดห่วง ทุกสิ่งทุกอย่างท่านคงคลายความกังวล แววตาหนักใจก็เลยหันมาสบมองกับคนเป็นพ่อ พ่อเลี้ยงมองหน้าบุตรชายก่อนจะเอ่ยขึ้น “เราคงต้องทำพิธีตามศาสนา” ลูกชายพยักหน้า แต่ถ้าหากคุณแม่รู้เรื่องต้องเกิดคดีใหม่อย่างแน่นอน ข้อหาปิดบังท่านมาโดยตลอด ว่าคุณปู่หายสาบสูญไปแล้ว “อุ้มคุณปู่กลับบ้านเถอะไฟ” คำสั่งแผ่วๆ ดังขึ้น น้ำตาของคนเป็นลูกรินไหล ท่านเพลิงอาจปาดน้ำตาเล็กน้อยก่อนจะมองทั่วร่างของคนเป็นพ่อ ด้วยคำสั่งปนขอร้องทำให้เขาต้องปล่อยให้พ่อคนเดียวนอนพักอยู่ในถ้ำ ไร้ความสะดวกสบายอย่างที่ควรจะมี หากจะว่าไปแล้ว...ลูกคนนี้ช่างอกตัญญูเหลือเกิน พิธีฌาปนกิจเริ่มขึ้นตอนรุ่งเช้าและเสร็จสิ้นในเจ็ดวันถัดมา แม่เลี้ยงแพรวพัตราถือห่อผ้าที่บรรจุอัฐิของพ่อสามีด้วยน้ำตานองหน้า เมื่อเจ็ดคืนก่อนนางกับคนเป็นสามีแทบจะทำให้ทั้งไร่ลุกเป็นเพลิง แต่ด้วยความเห็นแก่คนที่ล่วงลับ ข้อพิพาทจึงต้องยุติ คืนนั้นหัวใจของลูกสะใภ้แทบแตกสลาย เห็นบุตรชายอุ้มชายชราหน้าตาซีดเซียวที่อยู่ในชุดฤาษีลายเสือโคร่ง แค่เพียงพินิจใบหน้าให้เห็นชัดๆ นางก็แทบถลาเข้าไปถามมือไม้สั่น “คุณพ่อ...คะ...คุณพ่ออินทร์” ดวงตาเหลือกลานจนแทบถลนออกมานอกเบ้า พ่อ เพลิงอินทร์ที่ทุกคนบอกว่าหายสาบสูญถูกบุตรชายสุดสวาทอุ้มขึ้นมาบนบ้าน แม่เลี้ยงแพรวพัตรากวาดสายตามองทุกคนก็ไม่มีใครสักคนยอมสบตา นางรู้สึกเสียใจเหลือเกิน จนกระทั่งให้ลูกชายวางท่านไว้บนที่นอนนุ่มในห้องของเดิมของท่าน พร้อมกับดวงตาคาดคั้นที่ตวัดไปมองคนเป็นสามี พ่อเลี้ยงเพลิงอาจก็เปิดปากเล่าให้ฟังจนหมด มาถึงวันนี้นางยังคงนึกเคืองโกรธอยู่ในใจ “พาคุณพ่อกลับไปอยู่กับคุณแม่เถอะแพรว” พ่อเลี้ยงเพลิงอาจเอ่ยปาก เมียรักค้อนขวับก่อนจะรีบเดินไปหาลูกสะใภ้ เนย์ญรินทร์ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก งานนี้คุณแม่คงเคืองไปอีกหลายวัน “ตาไฟดูแม่แกสิ” พ่อเลี้ยงแห่งศิรานนท์เปรยให้บุตรชายได้ฟัง “ตกอยู่ในสถานะเดียวกันครับพ่อ คุณแม่โกรธผมเหมือนกัน” เพลิงอินทรียิ้มแหยๆ ให้ หลังจากนั้นทุกคนก็มุ่งหน้าออกจากวัดตรงดิ่งเข้าเรือนอภิศิรานนท์พอมาถึงก็วางบรรจุอัฐิของคนเป็นปู่ให้อยู่เคียงข้างกับคนเป็นย่า เพียงนำทั้งคู่มาวางชิดใกล้กัน เสียงร้องไห้จ้าละหวั่นก็ดังออกจากห้องนอนของเพลิงอินทรี ลูกแฝดสองคนร้องไห้เสียงดังลั่นจนพี่เลี้ยงจำเป็นอย่างลิ้นจี่ต้องแตกตื่นตกใจ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม