เช้าวันถัดมา ร่างอวบแต่ไม่ได้อ้วนอย่างที่เจ้าตัวมักจะคิดไปเอง เดินออกมาจากห้องนอนด้วยสภาพอิดโรยเพราะนอนไม่หลับ ก้าวไปยังโต๊ะกินข้าวที่มารดากำลังนั่งจัดการกับอาหารเช้าอยู่เพียงลำพัง เดาว่าพ่อของเธอคงไม่ได้กลับบ้านอีกตามเคย หญิงสาวเลื่อนเก้าอี้ออกนั่ง พร้อมเอ่ยเบาๆ
“อรุณสวัสดิ์ค่ะแม่”
“อืม”
“พ่อไม่กลับบ้านอีกแล้วเหรอคะ?”
ถึงแม้จะพอเดาได้ แต่บูรณิมาก็อดถามไถ่ไปถึงบิดาด้วยความเป็นห่วงไม่ได้
“อือ…”
มารดาผู้เคยสดใสมีชีวิตชีวามาบัดนี้กลับตอบทื่อๆ เหมือนคนไร้ความรู้สึก ท่าทีดูไม่มีความสุขทำให้บูรณิมานึกกลัดกลุ้ม เพราะรู้ว่าสาเหตุที่ทำให้แม่ไม่สบายใจคือเรื่องหนี้สินของพ่อ ซึ่งตอนนี้ทุกอย่างกำลังเดินมาถึงทางตัน ต่อให้จะขายทรัพย์สินที่มีทั้งหมดก็ไม่สามารถชดใช้ได้ไหว เพราะมันมากมายมหาศาลเหลือเกิน
จะว่าไปครอบครัวเธอขายทรัพย์สินไปเกือบหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นรถของเธอ รถของพ่อกับแม่ สร้อยทองและกำไลแขนที่แม่รักนักรักหนา จะเหลือก็แต่คอนโดที่บูรณิมาซื้อด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง เก็บเงินที่ได้จากการขายนิยายมาซื้อ ซึ่งจุดประสงค์ที่ซื้อไว้ก็เพื่อจะได้ปลีกตัวไปอยู่เงียบๆ คนเดียวในช่วงที่ต้องการสมาธิในการคิดและรีไรท์งาน ที่จริงเธอบอกให้พ่อกับแม่ขายแล้วเอาเงินไปใช้หนี้ หากแต่แม่กลับไม่เห็นด้วย แถมยังค้านหัวชนฝา ไม่ยอมให้ขายท่าเดียว โดยให้เหตุผลว่ามันคือความภาคภูมิใจของเธอ มันคือน้ำพักน้ำแรงของเธอ ต่อให้ครอบครัวจะไม่เหลืออะไรเลยก็ต้องไม่ขายคอนโดที่ถือเป็นของชิ้นแรกที่ได้จากการขายนิยายของเธอ
“แม่คะ ตอนเกิดอุบัติเหตุ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับหนูจริงๆ เหรอคะ”
อยู่ๆ เธอก็โพล่งขึ้น ครั้นได้ยินว่าลูกสาวถามถึงเหตุการณ์ในอดีตนางบูรณาก็มีท่าทีกระตือรือร้นขึ้นมา
“ฝันประหลาดอีกแล้วล่ะสิ”
คนเป็นแม่ถามอย่างรู้ทัน เพราะทุกครั้งที่ถามคำถามนี้ลูกสาวมักจะฝันถึงเรื่องประหลาด
“ค่ะ”
สาวน้อยพยักหน้าด้วยท่าทางเนือยๆ คว้าปาท่องโก๋จุ่มลงไปในแก้วน้ำเต้าหู้จนชุ่ม จากนั้นก็ยกขึ้นกัดคำโต เคี้ยวตุ้ยๆ ถึงได้เอ่ยต่อ
“นอกจากบาดเจ็บสาหัส ความจำเสื่อม หนูเป็นอะไรอีกไหมคะ แล้วมีคนอื่นในเหตุการณ์ไหม แบบว่า…มีคนตาย หรือได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุเดียวกับหนูอะไรทำนองนั้น”
จากคำบอกเล่าของพ่อกับแม่ ตอนอายุสิบเก้า เธอประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ อาการสาหัส สมองได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ทำให้สูญเสียความทรงจำบางส่วนไป ตื่นมาอีกทีเธอก็อายุเกือบจะยี่สิบปีแล้ว บูรณิมาจำเหตุการณ์ตั้งแต่ในช่วงมหา’ลัยปีหนึ่ง เทอมหนึ่ง ซึ่งตอนนั้นก็น่าจะเป็นช่วงที่เพิ่งผ่านพ้นวันเกิดอายุครบสิบเก้าปีเต็มของเธอ จนกระทั่งถึงช่วงประสบอุบัติเหตุไม่ได้เลย มันเป็นช่วงเวลาที่เธอไร้ความทรงจำ ในสมองว่างเปล่า เหมือนว่าเหตุการณ์ช่วงนั้นถูกตัดออกไปจากสารระบบเสียดื้อๆ หรือไม่ก็สมองไม่อยากจดจำอะไรเทือกนั้น
ทั้งที่จริงๆ แล้วความทรงจำของเธอควรจะขาดหายไปแค่ช่วงที่ประสบอุบัติเหตุเท่านั้น แต่น่าแปลกที่เธอดันจำเหตุการณ์ก่อนหน้าที่จะประสบอุบัติเหตุ ซึ่งเป็นเวลาหลายเดือนไม่ได้ด้วย ช่วงเวลาเหล่านั้นมันเกิดอะไรขึ้นบ้างเธอไม่มีทางรู้เลย ต่อให้จะเพียรถามพ่อแม่กี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ไม่เคยได้ความกระจ่างแจ้งเสียที เพราะทุกครั้งที่เธอเอ่ยปากถามพ่อกับแม่ก็จะตอบแค่ว่ามันไม่มีอะไรมากไปกว่าที่พวกท่านเล่าให้ฟัง ซึ่งบูรณิมาก็ไม่ได้แย้งอะไร แต่ลึกๆ ในใจกลับค้านว่ามันต้องมีอะไรมากไปกว่านั้น และความลับนั้นอาจเป็นสิ่งที่พ่อกับแม่ไม่อยากให้เธอล่วงรู้ก็เป็นได้
อีกทั้งนึกยังไงก็นึกไม่ออก ว่าชีวิตตัวเองไปเชื่อมโยงกับผีน้อยตนนั้นได้อย่างไร แต่ก็คิดว่ามันน่าจะมีความเกี่ยวเนื่องอะไรกันสักอย่าง ไม่งั้นเธอคงไม่ฝันถึงผีเด็กหลังจากที่ฟื้นขึ้นมาได้ไม่นาน แต่ก็น่าแปลกเอามากๆ หากว่าวิญญาณเด็กจะเป็นลูกของเธอจริงๆ ตอนนั้นเธอเพิ่งจะเข้ามหา’ลัย ยังโสดสนิท ไม่เคยมีแฟน แล้วเธอจะมีลูกได้ยังไง
ตอนแรกคิดว่าเป็นวิญญาณเร่ร่อน ไม่ก็มีผีเด็กคอยตามขอส่วนบุญ แต่ไม่ว่าจะไปดูดวง ไปทำบุญอุทิศส่วนกุศล หรือไปหาพระ กี่ครั้งต่อกี่ครั้งวิญญาณผีเด็กก็ยังคอยตามวอแวไม่เลิก จวบจนกระทั่งถึงทุกวันนี้
“แม่เคยบอกแล้วไง ว่ามันไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น”
ว่าแล้วแม่ต้องพูดคำเดิม
“แต่ในความฝันครั้งนี้มันเหมือนจริงมากเลยนะคะ เหมือนกว่าทุกครั้ง”
หญิงสาวแย้งอย่างกระตือรือร้น พลางเอื้อมมือไปคว้าซาลาเปาไส้ครีมหอมกรุ่นในจานตรงหน้า ยัดเข้าปากแล้วเคี้ยวด้วยท่าทางเอร็ดอร่อยตามประสาคนช่างกิน
“เหมือนกว่าทุกครั้งยังไง?”
คิ้วของนางบูรณาเลิกขึ้น ขณะจ้องหน้าลูกสาว
“เอ่อ…หนูเห็นภาพ…คนคนนั้น”
“สามีของลูก?”
คำว่า ‘สามี’ ชวนกระดากจนสาวเจ้าหน้าร้อนผ่าว สำลักน้ำเต้าหู้คำโตที่เพิ่งยกแก้วซดลงคอ ไอโขลกๆ หน้าดำหน้าแดงจนผู้เป็นแม่ต้องยื่นมือมาลูบหลังให้ จากนั้นก็ขยับปากค้านอุบอิบ
“แม่ก็…เขาไม่ใช่สามีของหนูสักหน่อย”
“เออๆ แม่พูดผิด หมายถึงผู้ชายที่ผีเด็กนั่นมาขี้ตู่ว่าเป็นสามีของลูก”
“แม่อย่าใช้คำว่าสามีสิคะ มันชวนขนลุกยังไงไม่รู้”
“ฮื่อ ก็เหมือนๆ กันนั่นแหละ”
“ไม่เหมือนค่ะ เพราะหนูไม่ได้บ้าจี้ตามยายผีน้อยตัวแสบนั่นสักหน่อย”
หญิงสาวทำปากยื่นค้าน แล้วย่นจมูกในสภาพพวงแก้มสุกปลั่ง ผู้เป็นแม่ส่ายหัวระอากับความขี้อายแกมเอ็นดูความไร้เดียงสาของลูกสาว แล้วเอ่ยตัดบท
“สรุปก็คือลูกเห็นผู้ชายคนนั้นในฝันซ้อนฝันของตัวเอง”
“ใช่ค่ะ มันชัดเจนมาก”
แม่สาวแก้มกลมพยักหน้าหงึกหงัก
“ถ้าชัดเจนขนาดนั้น แสดงว่ารู้แล้ว ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร”
“ค่ะ”
“ใคร?”
ผู้เป็นแม่ถามอย่างใคร่รู้
“เอ่อ…คนที่หนูเอาอิมเมจมาเป็นพระเอกนิยายค่ะ”
ไม่รู้เธอคิดไปเองหรือยังไง ถึงรู้สึกว่าผู้เป็นแม่ชะงักไปเล็กน้อย เมื่อได้ฟังคำบอกเล่าจากปากเธอ
“เรื่องไหน?”
“เรื่องล่าสุดค่ะ”
สาวน้อยอ้อมแอ้มหน้าแดงเรื่อ ซึ่งคราวนี้ยิ่งแปลกไปใหญ่ เมื่อแม่ถึงกับเกือบจะสำลักกาแฟที่เพิ่งดื่มเข้าไป แค่เธอลงลึกถึงรายละเอียดความฝันให้ฟัง ทำไมแม่ถึงได้มีปฏิกิริยาชวนประหลาดเช่นนั้น
“ความฝันก็คือความฝันอย่าไปใส่ใจให้มันมากนัก”
“ค่า ว่าแต่…แม่ไม่มีอะไรจะเล่าให้บี๋ฟังจริงๆ เหรอคะ”
“ยายบี๋! ลูกเป็นคนที่ไม่ไว้ใจแม่ตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
เสียงแข็งๆ ทำให้บูรณิมาหน้าเสียเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยอย่างอ้อนๆ
“แม่ขา…อย่าเข้าใจผิดสิคะ หนูก็แค่สงสัย”
“ไม่มีอะไรจะต้องสงสัยทั้งนั้น แม่บอกว่าไม่มีอะไรก็คือไม่มีอะไร เลิกหมกมุ่นกับเรื่องนี้เสียที” คนเป็นแม่เอ่ยอย่างเด็ดขาด น้ำเสียงเข้มๆ ทำให้คนฟังหน้าจ๋อย
“ค่ะ” สาวน้อยรับคำเสียงอ่อย
“เกือบลืมบอกไปเลย นนนี่เขาบอกว่าติดต่อแม่ไม่ได้ค่ะ”
บูรณิมาเอ่ยบอกมารดาทันทีที่นึกขึ้นได้ แวบหนึ่งเธอเห็นเหมือนมีแววเครียดเขม็งพาดผ่านดวงตาของอีกฝ่าย แต่แค่เสี้ยวนาทีก็อันตรธาน แล้วแปรเปลี่ยนเป็นปกติดังเดิม
“เดี๋ยวแม่จะโทรหาเขาเอง”
“แม่กับนนนี่มีเรื่องอะไรกันเหรือเปล่าคะ”
หญิงสาวถามอย่างใคร่รู้ เพราะไม่เคยคิดมาก่อนว่าเพื่อนสนิทอย่างนลินนิภาจะติดต่อกับมารดาเป็นการส่วนตัว
“ก็เรื่องหนี้สินของพ่อเรานั่นแหละ”
น้ำคำบอกเล่าทำให้คนฟังเข้าใจได้ทันควัน เพราะระยะหลังๆ แม่เคยเปรยให้ฟังว่าจะให้นลินนิภาช่วยพูดกับพ่อของอีกฝ่าย เรื่องการขอยืมเงินมาใช้หนี้ของพ่อ เนื่องจากครอบครัวของเพื่อนรักมากทั้งบารมีและเงินตรา
“อ๋อค่ะ”
“ยายบี๋ ลูกอยากให้ความฝันเป็นจริงไหม”
อยู่ๆ ผู้เป็นแม่ก็โพล่งขึ้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำเอาลูกสาวถึงกับหน้าเหวอ
“แม่พูดอะไรคะ บี๋ไม่เข้าใจ”
“ก็เรื่องการมีสามีและลูก ตามความฝันไง”
คราวนี้บูรณิมาถึงกับหลุดขำพรืด เพราะคิดว่าแม่คงพูดเล่น คนเราทุกคนย่อมฝันได้ บางคนนอนมากก็ฝันมาก บางคนเครียด หมกมุ่น ฟุ้งซ่าน ฝังใจ จนเก็บไปฝันก็มี ซึ่งเธอเองไม่คิดว่าเรื่องราวในความฝันอันยาวนานจะเป็นเรื่องจริง เธอเพียงต้องการหาความจริงว่าช่วงที่เกิดอุบัติเหตุมีอะไรเกิดขึ้นกับเธอมากไปกว่าที่รู้หรือไม่ ซึ่งประเด็นหลักๆ เธอคิดว่ามีแนวโน้มเป็นไปได้มากที่ผีน้อยอาจจะเป็นหนึ่งในผู้เคราะห์ร้ายในเหตุการณ์เดียวกัน
“บางทีแม่อาจจะทำให้ความฝันของลูกเป็นจริงก็ได้”