“บางทีแม่อาจจะทำให้ความฝันของลูกเป็นจริงก็ได้”
ไม่รู้คิดไปเองหรือไม่อย่างไร ทำไมเธอถึงได้รู้สึกว่าแววตาของแม่น่าหวาดหวั่นพิลึก
“แม่คิดจะทำอะไรคะ”
“ก็ทำให้ผู้ชายคนนั้นหันมาสนใจลูกไง บางทีชีวิตของลูกอาจเป็นเหมือนที่ผีน้อยบอกก็ได้ ไม่อยากให้ความฝันเป็นจริงหรือไง” ท่าทางมุ่งมั่นแปลกๆ ของมารดาทำให้เธอรีบส่ายหน้าหวือจนผมกระจาย
“ไม่ค่ะ! ไม่! ผู้ชายคนนั้นเขามีเมียมีลูกอยู่แล้ว บี๋ไม่ขอยุ่งเกี่ยวเด็ดขาด อีกอย่างแม่ก็เป็นคนบอกบี๋เองนี่คะ ว่ามันก็เป็นแค่ความฝัน อย่าไปใส่ใจให้มันมากนัก”
“บี๋ไม่อยากได้เขาจริงเหรอ?”
“แม่!”
คราวนี้เธอถึงกับหลุดอุทานตาโต เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะลั่นวาจาออกมาแบบนั้น
นี่แม่ของเธอกำลังคิดอะไรกันแน่!
“ผู้ชายคนนั้นอาจเป็นพ่อของลูกบี๋ในอนาคตจริงๆ ก็ได้”
“เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ บี๋ไม่มีทางทำเรื่องผิดศีลธรรมแน่”
บูรณิมาเอ่ยปฏิเสธอย่างหนักแน่น เพราะผู้ชายคนนั้นมีครอบครัวแล้ว ฉะนั้นเธอจึงไม่มีสิทธิ์แม้กระทั่งจะนึกถึงเขา ไม่ว่าจะในแง่มุมไหนทั้งสิ้น จริงๆ เธอไม่ควรจะนำเอาบุรุษที่มีภรรยาแล้วมามโนเป็นพระเอกนิยายของตัวเองเสียด้วยซ้ำ หากว่าไม่หลวมตัวตามคำเว้าวอนของศรีจิตตราก็คงไม่รู้สึกกระอักกระอ่วนใจมากมายถึงเพียงนี้
“แค่ไม่มีเมียเขา ทุกอย่างมันก็จะกลายเป็นเรื่องถูกต้องแล้ว…จริงไหม?”
ท้ายน้ำเสียงของแม่กดลึกชวนใจสะท้านชอบกล
“ไม่ค่ะ ยังไงมันก็ไม่ถูกต้อง”
แค่คิดก็ผิดแล้ว
ผิดมากๆ
ผิดอย่างมหันต์
“แต่อะไรที่มันเป็นของเรา ยังไงมันก็ต้องเป็นของเราอยู่วันยังค่ำ”
แม่ยิ่งพูดเธอก็ยิ่งงงไปใหญ่
แล้วบูรณิมาก็นึกเอะใจอะไรบางอย่าง
“ยิ่งแม่พูดอย่างนี้ บี๋ยิ่งสงสัยว่าแม่มีอะไรปิดบังบี๋อยู่ หรือตอนที่บี๋ความจำเสื่อมมีผู้ชายคนนั้นเข้ามาเกี่ยวข้อง” คราวนี้เธอเอ่ยถามอย่างเครียดๆ ขณะจ้องหน้าอีกฝ่ายไม่วางตา
“ฮื่อ…แม่ก็แค่พูดเล่นไปงั้น บี๋คิดเป็นตุเป็นตะไปได้”
นางบูรณาบอกปัด พร้อมกับหัวเราะน้อยๆ ทำให้คนฟังนึกโล่งอก
“เฮ้อ…ว่าแล้ว ว่าแม่ต้องแกล้งบี๋”
“ถ้าไม่สบายใจ ก็หยุดคิดถึงเรื่องความฝันพิลึกนั่นได้แล้ว”
“ค่ะ บี๋จะพยายาม อาจเป็นอย่างที่แม่เคยบอกก็ได้ ว่าบี๋เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับนิยาย แต่เดี๋ยวมันก็หายไปค่ะ แม่ยังไม่รู้อะไร ลูกสาวของแม่มีสามีทิพย์หลายคนแล้ว นิยายเรื่องไหนบี๋ก็บ้ามโนว่าตัวเองเป็นนางเอกหมดแหละ แต่เดี๋ยวเขียนเรื่องใหม่บี๋ก็ได้ผู้ชายมโนคนใหม่แล้ว แม่ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ว่าความฝันบี๋จะผูกติดอยู่กับเขา”
“งั้นแม่ค่อยสบายใจหน่อย”
หญิงสาวคลี่ยิ้มบางๆ ยื่นมือไปรับขนมปังที่แม่เพิ่งทาแยมสับปะรดให้ อ้าปากกัดคำโตๆ เคี้ยวหมุบหมับจนแก้มกลมๆ พองชวนหยิก ก่อนจะขมวดคิ้วมุ่น เมื่อข้อความเฟสบุ๊คดังขึ้นแจ้งเตือน
“นนนี่ส่งข้อความมา ว่ามีเรื่องด่วนอยากคุยกับแม่อีกแล้วค่ะ แต่ติดต่อแม่ไม่ได้”
หลังจากกลืนขนมปังลงคอ ตามด้วยน้ำเต้าหู้อึกใหญ่ สาวน้อยก็กวาดนัยน์ตากลมโตอ่านข้อความ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาเอ่ยบอกคนที่นั่งในฝั่งตรงข้าม
“แม่ปิดโทรศัพท์น่ะ”
“เอ่อ…นอกจากเรื่องหนี้สินของพ่อแล้ว แม่มีอะไรกับนนนี่อีกหรือเปล่าคะ”
“ไม่นะ สงสัยเขาคงโทรมาปรึกษาเรื่องอาการป่วยล่ะมั้ง”
นางบูรณาบอกปัด
“จะว่าไปช่วงนี้นนนี่ก็แปลกนะคะ โทรหาก็ไม่ค่อยอยากรับอยากคุย” เธอเอ่ยเป็นเชิงชวนคุย
“เขาอาจจะกำลังยุ่งอยู่ก็ได้”
“เอ้อ…หนูเกือบลืมบอกแม่ไปเลยค่ะ ช่วงสองสามวันมานี้หนูเห็นมีคนมาทำลับๆ ล่อๆ แถวหน้าบ้านเรา”
คนฟังมีท่าทีชะงักงันไปชั่วขณะ
“คงเป็นพวกมาทวงหนี้เงินกู้ป้าบ้านข้างๆ ล่ะมั้ง แต่ออกไปไหนมาไหนก็ระวังด้วยล่ะ อยู่บ้านก็ปิดประตูดีๆ”
สาวน้อยพยักหน้ารับคำเตือนของมารดาอย่างแข็งขัน ไม่ซักไซ้อะไรมากไปกว่านั้น ด้วยพื้นนิสัยเป็นคนร่าเริงสดใส ง่ายๆ สบายๆ ไม่มีพิษมีภัย วันๆ ยุ่งอยู่แต่กับนิยายและเรื่องกิน โดยเฉพาะอย่างหลังนี่รู้สึกเธอจะคลั่งไคล้มากเป็นพิเศษ เรียกได้ว่าเลิฟอาหารการกินเป็นชีวิตจิตใจ ด้วยนิสัยชอบกิน และชอบลองของกินหลากหลาย เพราะต้องการลิ้มลองรสชาติใหม่ๆ แบบว่าเกิดมาครั้งเดียวก็อยากลองมันทุกอย่าง บางอย่างลองแล้วถึงกับท้องเสีย แต่เธอก็ไม่เข็ด หนำซ้ำยังชอบลองของใหม่ไปเรื่อย จนไปๆ มาๆ กระเพาะของเธอก็แข็งแรงขึ้นโดยปริยาย ไม่เคยท้องเสีย ไม่เคยเข้าโรงพยาบาลเพราะอาหารเป็นพิษ มีแต่เป็นโรคกระเพาะเพราะเครียดเรื่องนิยาย โดยเฉพาะตอนที่รีไรท์นิยายช่วงโค้งสุดท้าย
“แม่ไปทำงานแล้วนะ”
หลังจากยกแก้วน้ำส้มคั้นขึ้นดื่มนางบูรณาก็เอ่ยบอกลูกสาว พลางลุกขึ้นคว้ากระเป๋ามาคล้องไหล่
“ค่า เดี๋ยวตอนเย็นบี๋ทำกับข้าวรอนะคะ เอาเป็นแกงส้มสายบัวปลาทู ยำขนมจีน ตำป่า แล้วก็หมูทอดแดดเดียว แล้วกันนะคะ บี๋ใกล้จะเป็นเมนส์แล้ว อยากกินอะไรเผ็ดๆ แซ่บๆ มากกกก…”
คนช่างกินแถมยังทำอาหารเก่งและอร่อยสาธยายถึงเมนูในใจอย่างกระตือรือร้น
“บี๋ทำกินเลย ไม่ต้องรอแม่หรอก อาทิตย์นี้แม่อยู่เวรเกือบทั้งอาทิตย์”
“เคค่า โทรหาบี๋ด้วยน้า บี๋คิดถึง”
เสียงใสรับคำอย่างว่าง่าย ก่อนจะลุกไปกอดแม่อย่างอ้อนๆ คนเป็นแม่ดันตัวลูกสาวออกห่าง มองแก้มกลมๆ แล้วดึงแรงๆ อย่างมันเขี้ยว ก่อนจะคลี่ยิ้มบางๆ พร้อมเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ
“จ้ายายลูกหมูน้อย”
“แม่อะ…”
อาการพ้อปากยื่นๆ แก้มพองๆ ของลูกสาวทำให้คนเป็นแม่หลุดหัวเราะ ยกมือขึ้นยีหัวอีกฝ่ายด้วยความมันเขี้ยว ก่อนจะผละห่าง แล้วมุ่งหน้าออกจากบ้าน
คล้อยหลังมารดา บูรณิมาก็กลับไปนั่งลงจัดการกับมื้อเช้าอย่างเอร็ดอร่อย เธอเป็นสายกิน ที่กินทุกอย่างที่โปรดปราน ลองแทบทุกอย่างที่ยังไม่เคยลอง ยกเว้นเปิบพิศดาร เธอมีความสุขกับการกิน ถึงแม้จะไม่ได้อ้วนลงพุง ไม่ได้มีไขมันส่วนเกินมากมายจนดูน่าเกลียด แต่ก็ทำให้หน้าอกหน้าใจใหญ่เกินตัว พอๆ กับสะโพกที่ผายออกจนดูเทอะทะ หากแต่มีผู้หญิงหลายคนมองว่านี่แหละมันคือหุ่นในฝันชัดๆ หุ่นมดตะนอย ตัวไม่สูงมาก อกเป็นอก เอวเป็นเอว สะโพกบึ้ม และก้นเด้งน่าฟัด แถมผิวพรรณยังเปล่งปลั่งจากการกินอาหารและทานผักผลไม้ครบห้าหมู่