สัปดาห์ถัดมา บูรณิมาก็เข้ามาที่สำนักพิมพ์เพื่อมาคุยงานกับบก. ที่จริงการเป็นนักเขียนสมัยนี้ไม่จำเป็นต้องเข้าสำนักพิมพ์ แค่ส่งอีเมลหรือโทรคุยกันก็ได้ แต่โปรเจกต์ใหม่ที่ทางสำนักพิมพ์วางไว้ทำให้เธอจำเป็นต้องมารับทราบถึงแนวทาง เนื่องจากนิยายที่ว่าไม่ใช่นิยายที่เธอเขียนเอง แต่เป็นนิยายที่เธอจะทำหน้าที่ผู้แปล
บูรณิมาไม่ได้เป็นแค่นักเขียน เธอยังเป็นนักแปล และผลงานที่สำนักพิมพ์จะให้แปลคราวนี้เป็นนิยายวายของจีนที่ซื้อลิขสิทธิ์มา นิยายที่ว่ามียอดวิวระดับพันล้าน เป็นนิยายฮอตแห่งปี แถมยังติดเทรนด์ของเว่ยปั๋วในทุกตอนที่นักเขียนอัพโหลดให้นักอ่านได้เข้าไปเสพความฟิน ความจิ้น และความมัน ด้วยเนื้อหาที่เข้มข้นชวนติดตามและแหวกแนวแบบสุดๆ ผสานกับบทรักฮาร์ดคอร์ของพระเอกกับนายเอก
“หวัดดีค่ะพี่จ๋า”
สาวน้อยเอ่ยทักทายเจ้าของร่างกำยำล่ำสันกล้ามเป็นมัดๆ ที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ พร้อมด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้าพริ้มเพราชวนมอง
“อืม…หวัดดี นั่งสิยายบี๋”
จักรกฤษณ์ พันรบ บรรณาธิการหนุ่มมาดตุ้งติ้ง เพราะใจเป็นหญิงเกินหุ่นล่ำๆ เอ่ยด้วยท่าทางเป็นกันเอง ก่อนจะพยักพเยิดไปยังหนังสือนิยายหกเล่มที่วางตั้งเทินกันอยู่ตรงหน้า
“เวอร์ชั่นจีน”
“ว้าว! ปกจีนสวยจังเลยค่ะ”
หญิงสาวหลุดอุทานตาโต พลางยกหนังสือเล่มบนสุดขึ้นพลิกไปมาด้วยท่าทีสนอกสนใจ รูปภาพหน้าปกสวยมากๆ ผู้วาดดึงคาแรกเตอร์พระเอกและนายเอกออกมาได้อย่างเด่นชัดลงตัว ตามต้นฉบับนิยายที่เธอได้อ่านมาบ้างแล้ว อันที่จริงเธอก็เห็นหน้าปกผ่านทางเว็บไซต์ออนไลน์ต่างๆ มาแล้วแหละ แต่เมื่อได้มาเห็นของจริงกลับว้าวยิ่งกว่า
“แล้วปกไทยเสร็จยังคะ”
“เพิ่งได้ลิขสิทธิ์มาจะรีบไปไหนยะแม่คุณ หน้าปกไม่เท่าไหร่หรอกทำไม่นานก็เสร็จ แต่เนื้อหาน่ะต้องพึ่งเธอนะนังหนูบี๋ ฉันขอสั่งว่าหลังจากนี้ห้ามอู้เด็ดขาด”
“หูยยยย เข้าตัวเลยอะ”
บูรณิมาทำหน้ายู่เมื่ออยู่ๆ ก็ดันเข้าตัวซะงั้น
“ใต้ตาคล้ำมากเลยแก ช่วงนี้ไม่ได้นอนหรือไง”
หลังจากหรี่ตาจ้องหน้าเธอเขม็งอีกฝ่ายก็เอ่ยถาม
“อืม ค่ะ” สาวน้อยพยักหน้าหงึกๆ ลูบๆ คลำๆ หน้าปกนิยายตรงหน้าแล้วเอ่ยต่อ “ถ้าเป็นห่วงน้อง พี่จ๋าก็อย่าเร่งต้นฉบับนักสิคะ บี๋ปั่นงานจนกินไม่ได้นอนไม่หลับเลยเนี่ย”
สาวน้อยตาโตแก้มป่องเอ่ยอย่างอ้อนๆ น่ารักน่าเอ็นดูเสียจนคนมองหลุดยิ้ม
“กินไม่ได้อะไรยะ ก่อนเข้ามาฉันยังเห็นหล่อนวิ่งปรู๊ดไปต่อคิวซื้อเบเกอรี่ด้วยท่าทางดี๊ด๊าน่าหยิกให้แก้มแตกอยู่เลย”
สาวสองยื่นมือมาบีบแก้มนุ่มๆ ของนักเขียนในสังกัดที่ตนรักและเอ็นดูประดุจน้องสาวในไส้ เล่นเอาคนถูกรู้ทันหัวเราะแหะๆ แก้เก้อ
“บี๋ใช้สมองหนักนี่นาก็ต้องบำรุงกันหน่อยสิ” แม่สาวแก้มกลมตัวนุ่มฟูทำปากยื่นอุบอิบแก้ตัวชวนมันเขี้ยว แล้วเอ่ยต่อ “แบบว่า…เวิร์คฮาร์ด อีทฮาร์ด ไงคะ”
“ย่ะแม่คุณ ฉันว่าแกคลั่งกินมากกว่า”
“พี่จ๋าอะ รู้ทันน้องอีกแล้ว”
“จะว่าไปฉันก็งงกับแกเหมือนกันนะ กินทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นทั้งของคาวของหวาน ขนม นม เนย ชานมไข่มุก แต่ทำไมแกไม่อ้วนยะ หรือว่าไอ้ที่กินๆ ไปน่ะ แกเอาไปสะสมไว้ที่นมบึ้มๆ กับสะโพกดินระเบิดของแกหมด”
“ไม่อ้วนอะไรล่ะ บี๋ทั้งเตี้ยทั้งตัน น้ำหนักขึ้น จนจะได้ลดความอ้วนอยู่แล้วเนี่ย”
“ว้าย! ฉันขอสั่งห้ามหล่อน ว่าห้ามลดความอ้วนเด็ดขาดเลยนะ หุ่นแบบนี้แหละที่ผู้ชายคลั่งนักคลั่งหนา มองทีน้ำลายแทบหก อกเป็นอก เอวเป็นเอว เนื้อนุ่มนิ่มจับตรงไหนก็น่าฟัดไปหมด แถมยังก้นเด้งงอนสวย ถ้ามีผัวล่ะแกเอ๊ย ไม่ได้ออกจากห้องนอน และไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันแน่นังหนู”
คำวิจารณ์ห่ามๆ ทำให้คนที่คิดว่าตัวเองอ้วนมาตลอดหน้าร้อนฉ่า
“พี่จ๋าก็พูดเกินไป”
“ไม่เกินไปเลยสักนิด ไม่เชื่อแกลองหาผัวดูดิ พนันกันเลยว่าเขาจะหลงแกหัวปักหัวปำ และที่สำคัญเขาจะยกซดแกไม่ต่ำกว่าวันละสามครั้งหลังอาหาร วุ้ย! พูดแล้วฉันล่ะอิจฉา อยากเกิดเป็นชะนีมีมดลูกบ้างจัง”
“เอ่อ…บี๋ว่าเราคุยเรื่องงานกันดีไหมคะ”
เจ้าของพวงแก้มแดงก่ำชวนเบี่ยงประเด็น เพราะยิ่งฟังอีกฝ่ายพูดมากเท่าไหร่เธอก็ยิ่งนึกกระดายอายเป็นทบทวี จนอยากจะลดน้ำหนักให้ได้วันนี้พรุ่งนี้ แต่ติดตรงที่ขี้เกียจ และรักการกินนี่แหละ
“เออ เกือบลืมบอกไปแน่ะ ฉันจะไม่อยู่เกือบสองเดือน เลยมอบหมายงานในส่วนของแกไปให้บก. มะเดี่ยว ดูแลแทน ยังไงก่อนกลับก็แวะไปหาเขาสักหน่อยแล้วกัน เห็นว่ามีเรื่องจะคุยด้วย”
น้ำคำบอกเล่าทำให้คนฟังตาโต
“พี่มะเดี่ยวกลับมาทำงานแล้วเหรอคะ!”
“เน้! ให้มันน้อยๆ หน่อยย่ะแม่คุณ”
“แหม…ก็คนมันปลื้มนี่นา”
“นี่นังชะนีน้อยหอยสังข์ ช่วยเก็บอาการหน่อยย่ะ ลืมไปแล้วหรือไงว่า บก.มะเดี่ยว ก็ไม่กินชะนีเหมือนกันกับฉัน”
ท่าทางตาโต อ้าปากค้าง ดีใจจนออกนอกหน้าชวนหมั่นไส้ ทำให้จักรกฤษณ์ค้อนปะหลับปะเหลือก ดีดหน้าผากนูนเข้าให้ คนถูกกระทำแสร้งสูดปากเสียงดัง ลูบหน้าผากป้อยๆ ขณะส่งสายตาตัดพ้อไปให้ผู้ที่นั่งในฝั่งตรงข้าม
“ว่าแต่…พี่จ๋าจะไปไหนคะตั้งเกือบสองเดือนแน่ะ น้องคงคิดถึงแย่”
ยายตัวอวบยังไม่วายเอ่ยอย่างอ้อนๆ ในท้ายประโยค
“ไปงานแต่งเพื่อนที่ยุโรป จากนั้นก็จะถือโอกาสลาพักร้อนยาวเที่ยวให้หนำใจ”
“แล้วเมื่อไหร่จะถึงคิวพี่จ๋าล่ะคะ บี๋อยากเห็นหน้าคนที่จะมาเป็น ‘เมีย’ พี่จ๋าใจจะขาด”
“ว้าย! ตบปากตัวเองเท่าอายุ”
จักรกฤษณ์ถลึงตาใส่แม่สาวตัวเล็กกระปุ๊กลุก ท่าทางแยกเขี้ยวทำให้สาวน้อยอดหัวเราะออกมาไม่ได้ หลังจากสัพยอกหยอกเย้าอย่างที่ชอบทำเป็นประจำพอหอมปากหอมคอ ทั้งคู่ก็เข้าสู่โหมดจริงจังคุยเรื่องงาน
กระทั่งเวลาผ่านไปเกือบชั่วโมงครึ่ง ไม่รู้ไปประจบออดอ้อนอีท่าไหนบูรณิมาถึงได้ค่าขนมจากบก. ที่ขึ้นชื่อว่าเขี้ยวลากดิน ไม่เคยปรานีต่อลูกน้อง และยากที่จะให้ความสนิทสนมกับนักเขียน สาวน้อยออกมาจากห้องทำงานของอีกฝ่ายด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ก่อนจะวิ่งปรู๊ดไปต่อคิวร้านเบเกอรี่ที่อยู่ตรงโซนอาหารของสำนักพิมพ์ เพราะรีบจึงไม่ได้กินข้าวเช้า แถมตอนมาถึงเธอได้กินเอแคลร์แค่สี่ชิ้นเอง แค่นั้นมันจะไปพอยาไส้อะไร
หลังจากได้ของที่สั่ง แม่สาวช่างกินก็จัดการขนมปังนมสดและชานมไข่มุกไปหนึ่งกรุบ ก่อนจะถือถุงของกินมุ่งหน้าไปยังห้องทำงานของบก. มะเดี่ยว ที่อยู่ทางปีกซ้ายของอาคารสำนักพิมพ์ เท้าก้าวเอื่อยๆ ไปข้างหน้า ขณะปากฮัมเพลงอย่างมีความสุข หลังจากร่างกายได้รับการเยียวยาด้วยของหวาน
รอยยิ้มสดใสมีชีวิตชีวา ทำให้มองผิวเผินเหมือนบูรณิมาไม่เคยมีเรื่องทุกข์ร้อนใด เพราะใครๆ ที่พบเห็นเธอก็มักจะเจอแต่รอยยิ้มและความสดใสเสมอ หากแต่จริงๆ แล้วเธอเครียดเรื่องหนี้สินของพ่อจนหัวจะแตก คิดมากเรื่องความฝัน หมกมุ่นจนแทบไม่มีสมาธิกับเนื้อหานิยายที่กำลังเร่งรีไรท์และยังไม่ลงตัว เพียงแต่เธอเลือกที่จะยิ้มเข้าไว้ ต่อให้เป็นทุกข์เธอก็ยังยิ้ม ไม่เผยความทุกข์เศร้าให้คนอื่นได้ล่วงรู้ นอกเสียจากคนที่สนิทสนมกันจริงๆ
“อ้าว! ยายหนูบู้บี้”
เสียงร้องทักทำให้เท้าที่กำลังก้าวไปข้างหน้าชะงัก สาวน้อยเบนสายตาไปมองยังต้นเสียง เมื่อเห็นว่าเป็นนีราและสามีของอีกฝ่ายก็ยิ้มแห้งๆ ออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“พี่นีรา สวัสดีค่า”
สาวน้อยยกมือไหว้รุ่นพี่สาวพร้อมด้วยยิ้มบางๆ จังหวะที่บูรณิมาหันไปทางร่างสูงใหญ่ที่นั่งอยู่ข้างๆ นีรา เธอก็ถึงกับต้องเผลอกลั้นหายใจ รอยยิ้มพลันเลือนหาย ทำหน้าไม่ถูก แววตาเหมือนตำหนิคู่นั้นทำให้เธอรู้สึกเหมือนจะครั่นเนื้อครั่นตัว จนจำต้องยกมือขึ้นพนมไหว้อีกฝ่ายอย่างแกนๆ
เห็นหน้าเขาแล้วพลอยทำให้เธอนึกถึงความฝันสุดแสนจะประหลาด หนำซ้ำยังนึกกระดากอย่างห้ามใจไม่ไหว และนั่นก็ทำให้เธอต้องรีบเบือนหน้าหนีไปทางอื่น ไม่อยากมองคนที่อยู่ๆ ก็โคจรมาเจอกันอีกครั้ง
มีคนเคยบอกว่าพบกันหนึ่งครั้งคือความบังเอิญ
พบกันสองครั้งคือความบังเอิ๊ญบังเอิญ ไม่ก็คงเป็นเพราะโชคชะตา
สาธุๆๆ ขออย่าให้มันเป็นโชคชะตาห่าเหวอะไรเลย
เธอไม่อยากมีโชคชะตาร่วมกับเขานักหรอก
“บู้บี้มาทำอะไรเอ่ย?”
“บี๋เข้ามาคุยงานกับบก. ค่าพี่นีรา”
บูรณิมาเอ่ยตอบด้วยท่าทางเป็นกันเอง นั่นก็เพราะในระยะหลังๆ เธอได้มีโอกาสถ่ายงานร่วมกับอีกฝ่ายอยู่หลายครั้ง พบหน้ากันบ่อยขึ้น และนีราก็ชอบหยอกเล่นแบบถึงเนื้อถึงตัว อย่างเช่นกอดและหอม ไม่ก็ตีหรือขยำก้นด้วยความมันเขี้ยว อีกทั้งนีราก็ไม่เคยถือเนื้อถือตัว เลยเกิดความสนิทสนมขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย แต่บูรณิมาเพิ่งเจอสามีของอีกฝ่ายเป็นหนที่สอง หากเลือกได้เธอไม่ขอเจอคนหน้าดุเย็นชานั่นไปตลอดชีวิตยังจะดีเสียกว่า
“หมายถึงมะเดี่ยวเหรอ”
ไม่แปลกที่อีกฝ่ายจะรู้ เพราะนีรากับสามีของหล่อนกำลังนั่งอยู่แถวๆ โซฟารับแขกตรงโถงไม่ไกลจากหน้าห้องทำงานของคนที่ถูกดึงเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบทสนทนา
“ใช่ค่า”
“งั้นบู้บี้คงต้องนั่งรอแล้วล่ะ เพราะพี่ก็มาพบมะเดี่ยวเหมือนกัน แต่เขายังไม่ว่างเลย” นางแบบสาวคนดังเอ่ยอย่างยิ้มๆ พลางดึงเก้าอี้ตัวที่อยู่ใกล้ๆ มาให้บูรณิมา
“นั่งด้วยกันสิ”
“เอ่อ…บี๋ว่า บี๋ไปนั่งตรงโน้นดีกว่าค่ะ”
ว่าพลางชี้มือไปยังโซฟาที่อยู่ไกลออกไป ก็ใครจะอยากนั่งร่วมโต๊ะกับคนที่จ้องเหมือนจับผิดอย่างสามีของอีกฝ่ายกันล่ะ อยากจะถามอีตาลุงนั่นนักว่าเป็นอะไรกับเธอมากปะ ถึงเอาแต่จ้องเอาๆ
“นั่งเถอะ”
นีราคะยั้นคะยอ พร้อมกับดึงมือเธอให้นั่งลง เล่นเอาบูรณิมาแทบจะยกมือไหว้ แล้วอ้อนวอนว่าพี่ขาปล่อยหนูไปเถอะ แต่ก็ทำได้เพียงคิดเท่านั้น เพราะเมื่อเห็นท่าทีกระตือรือร้นของอีกฝ่ายเธอก็ไม่กล้าหักหาญน้ำใจออกไปตรงๆ
“เอ่อ จะดีเหรอคะ”
เธอเอ่ยอย่างเกรงใจ ขณะปรายตามองสามีของอีกฝ่ายอย่างเกร็งๆ
“ดีสิ คุณคิงส์เขาไม่ว่าอะไรหรอก”
ไม่ว่า แต่แผ่รังสีอำมหิตใส่เธอเนี่ยนะ บรึ๋ยยยยย
“…”
“ใช่ไหมคะ คุณคิงส์”
โอ๊ย! อย่าไปถามเขาเลยค่า หนูกลัววงแตก
“อืม…”
คนประหยัดคำพูดเอ่ยห้วนๆ โดยไม่แยแสที่จะมองหน้าเธอสักนิด ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเขากำลังรำคาญ มองว่าไร้สาระ ถึงได้ตอบคำถามเมียไปส่งๆ แบบนั้น
“นะ…นั่งด้วยกันนี่ล่ะ จะได้มีเพื่อนคุย”
นีรายังไม่วายรบเร้า
“งั้นก็ได้ค่ะ”
ที่สุดสาวน้อยก็ใจอ่อน เอ่ยขอบคุณเบาๆ แล้วจำใจทรุดกายลงนั่งข้างนีรา ทั้งที่จริงๆ แล้วไม่อยากนั่งร่วมโต๊ะกับสามีของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย เพราะรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ กับสายตานิ่งเรียบของเขา ทว่าครั้นจะให้ปฏิเสธความหวังดีของคนที่อุตส่าห์ดึงเก้าอี้มาให้เธอก็ทำไม่ลง
เอาเถอะ นั่งอีกสักพักนีรากับสามีก็คงเข้าไปพบบก. แล้วมั้ง ก็พวกเขามาก่อนเธอนี่นา
“พี่นีรา รู้จักกับ บก.มะเดี่ยว ด้วยเหรอคะ”
เพราะทนความอึดอัดแปลกๆ ไม่ไหวบูรณิมาจึงหาเรื่องชวนคุย
“ช่าย เพื่อนซี้เลยล่ะ”
“เหรอคะ!”
สาวน้อยเผลอหลุดอุทานตาโตด้วยความลืมตัว ชั่วเสี้ยวนาทีเหมือนจะได้ยินเสียงฮึในลำคอของใครบางคน แต่คงไม่ใช่หรอกมั้ง เธอคงแค่หูฝาด เพราะปรายตามองก็ไม่เห็นว่าตาลุงนั่นจะสนใจฟังเธอกับนีราเสียหน่อย
“อย่าบอกนะ ว่าเราชอบมะเดี่ยว”
“เอ่อ…ก็ไม่เชิงหรอกค่ะ บี๋แค่ปลื้มพี่เขา เพราะแต่ก่อนพี่เขาเป็นนักเขียน และบี๋ก็คลั่งไคล้งานเขียนของพี่เขามาก” บูรณิมาเอ่ยถึงนักเขียนในดวงใจของตัวเองด้วยท่าทีขวยเขินชวนเอ็นดู
“อ๋อ เป็นงี้นี่เอง ดีแล้วแหละ ที่ไม่ชอบ เพราะนางก็ไม่ชอบชะนีอย่างเราเหมือนกัน”
วาจาในตอนท้ายทำให้คนฟังหลุดหัวเราะคิก
เธอคุยสัพเพเหระกับนีราไปเรื่อย ผ่านไปราวสิบห้านาทีอีกฝ่ายก็ถูกเรียกเข้าพบมะเดี่ยว แต่แค่นีราคนเดียวนะ ส่วนอีตาลุงหน้ายักษ์ตาดุยังนั่งอยู่ที่เดิม
“จะไปไหน?”
เสียงห้าวห้วนทำให้คนที่กำลังจะย้ายไปนั่งที่อื่นพลันชะงัก มองใบหน้าหล่อเหลาทว่าไร้อารมณ์ไม่เต็มตา ก่อนจะอุบอิบออกมา “เอ่อ…จะไปนั่งที่อื่นค่ะ”
“นั่งตรงนี้แหละ”
“…”
“นั่งลง”