“ว้าย!”
ร่างอวบอิ่มสาวเท้าวิ่งไปยังที่กั้นบังตาสำหรับเปลี่ยนเสื้อผ้า ส่วนคนที่เข้ามาแบบไม่ให้สุ้มให้เสียงก็รีบกลับหลังหัน หญิงสาวลนลานคว้าเสื้อคลุมตรงราวแขวนมาสวมปิดบังเนื้อตัวมือไม้สั่น ด้วยอับอายกับสภาพของตัวเอง อีกทั้งกลัวว่าอีกฝ่ายจะเห็นรอยแผลเป็นน่าเกลียดที่บริเวณหน้าท้องหลายรอย
บูรณิมาไม่รู้ว่าตนไปได้รอยแผลเป็นดังกล่าวมาได้อย่างไร โดยเฉพาะหนึ่งในนั้นมันเหมือนเป็นรอยผ่าตัดอะไรสักอย่าง แต่คิดยังไงก็คิดไม่ออก อีกทั้งไม่เคยได้มีโอกาสปริปากสอบถามหมอ เพราะแม่บอกว่าหมอที่รักษาเธอในตอนนั้นได้ย้ายไปประจำที่โรงพยาบาลต่างจังหวัดแล้ว และแม่ก็ยืนยันอย่างหนักแน่นว่ารอยแผลเป็นทั้งหมดนั้นเป็นผลพวงมาจากอุบัติเหตุร้ายแรงที่เธอประสบ ซึ่งบูรณิมาก็ไม่มีข้อโต้แย้ง เนื่องจากอุบัติเหตุในครั้งนั้น ไม่ได้ทำให้เธอแค่ปางตาย แต่ยังส่งผลให้ความทรงจำบางช่วงขาดหายไปด้วย หลังจากกลับมาเดินเหินได้ตามปกติ บูรณิมาก็ตัดสินใจไปสักลายดอกทานตะวัน ให้มองว่าออกแนวอาร์ตๆ ดูไม่น่าเกลียด และไม่แสลงใจอย่างที่รู้สึกอยู่ลึกๆ ซึ่งมันเป็นความรู้สึกที่พิลึกชวนสงสัยเอามากๆ แต่เธอก็มิอาจรู้ว่าต้นตอของไอ้ความรู้สึกที่ว่าคืออะไรกันแน่
ครั้นบูรณิมาก้าวออกมาจากหลังที่กั้นในสภาพมิดชิดในนาทีต่อมา สาวน้อยก็ต้องเม้มปากแน่น เมื่ออีตาลุงบ้านั่นยังไม่ไปไหน หนำซ้ำยังมีหน้าหันมาจ้องเธอเขม็ง
“คุณเข้ามาในนี้ได้ยังไง?”
เจ้าของพวงแก้มแดงเรื่อเอ่ยถามเสียงแข็งๆ ขณะหรี่ตาจ้องหน้าเขาไม่ลดละ ท่าทางเอาเรื่องของแม่มดตะนอยทำให้คิ้วหนาเหนือดวงตาดุๆ เลิกขึ้น สอดมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงด้วยท่าทีสบายๆ ก่อนจะเอ่ยตอบ
“ประตูไม่ได้ล็อก”
คำตอบทื่อๆ พร้อมกับการยักไหล่ ทำให้บูรณิมานึกเคืองขุ่นใจไม่น้อย เดาว่าคงเป็นเอวารินที่ลืมล็อกประตูหลังจากออกไปในก่อนหน้านี้ แต่ให้ตายสิ! เธอไม่น่าจะสะเพร่าเลย ถ้าสละเวลาไปตรวจดูประตูก่อนเปลี่ยนชุดเสียหน่อยก็คงไม่เกิดเรื่องชวนขายหน้าแบบนี้ขึ้น
“ถึงประตูจะไม่ได้ล็อก คุณก็ไม่ควรจะเข้ามาในห้องแต่งตัวของผู้หญิงแบบนี้”
เธอเอ่ยเป็นเชิงตำหนิอย่างไม่ไว้หน้า แววตาเหมือนนางกวางระวังภัยยังจ้องเขาเขม็ง
“โทษที ฉันผิดเองที่ทะเล่อทะล่าเข้ามา”
ดีที่ยังยอมรับว่าตัวเองผิด และรู้จักขอโทษ
แต่คำพูดของเขาในประโยคถัดมาก็ทำเอาสาวน้อยอ้าปากค้าง
“แต่เธอก็ไม่ควรจะเปิดเต้า โดยไม่ระวังตัวแบบนี้”
โว้ยยยย ปากร้าย!
คำว่า ‘เปิดเต้า’ ที่หลุดออกมาจากปากหยักทำให้ใบหน้างามร้อนวาบ อีกทั้งโมโหจนแทบอยากจะกระโจนเข้าไปข่วนหน้านิ่งๆ นั่นให้หายหงุดหงิดยิ่งนัก
“ก็นี่มันห้องแต่งตัว และเขาก็ห้ามคนนอกเข้าด้วย”
“อายุเท่าไหร่แล้วเรา”
เธอจะอายุเท่าไหร่ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเขา
“…”
ไม่ตอบ แถมยังลอยหน้าทำท่ามึนๆ ใส่
“ถามว่าอายุเท่าไหร่”
“ยี่สิบ”
“เด็ก”
เอ้า! อีตาลุงนี่ ไหงมาว่าเธอเด็ก
“อายุตั้งยี่สิบ ไม่เด็กแล้ว”
“พ่อแม่รู้หรือเปล่า ว่ามาทำงานแบบนี้”
บูรณิมาย่นจมูกใส่ เธอผิดมากหรือไงก็แค่เป็นนางแบบชุดชั้นใน ถึงแม้จะวาบหวิวไปบ้างตามคอนเซ็ปต์ แต่ก็เป็นอาชีพสุจริต หน้าก็ไม่ได้ถ่ายให้เห็นซะหน่อย เห็นอย่างมากก็แค่สรีระ ส่วนหน้าก็ใส่หน้ากากแฟนซีปกปิดเอาไว้ แล้วเขาเป็นอะไรมากไหมอยู่ๆ ถึงได้มาทำหน้าดุๆ ใส่ แถมยังตำหนิเธอเฉยเลย
“หนูโตแล้ว บรรลุนิติภาวะแล้ว ตัดสินใจเองได้”
เสียงหึในลำคอที่แว่วเข้าหูทำให้เธอหน้าตึง
“เป็นเด็กเป็นเล็ก ไม่ควรมาทำงานแบบนี้”
คนถูกหาว่าเด็กหน้าง้ำ ทำปากยื่นสวนกลับ
“เรื่องของหนู”
เวร! ทำไมเขาถึงรู้สึกคันยุบยิบในอก เพียงแค่เห็นท่าทางรั้นๆ หน้าเชิดๆ ดื้อตาใสนั่นด้วยวะ
“หึ! เก่ง”
ท่าทางยกยิ้มกวนประสาทของเขา ทำให้เธอนึกโมโหเป็นเท่าทวี ปกติบูรณิมานิสัยน่ารัก และไม่ก้าวร้าวต่อปากต่อคำกับผู้ใหญ่ แต่ผู้ชายตรงหน้าเธอนี่เหลือทนจริงๆ
ก่อนที่สงครามลูกย่อมๆ จะบังเกิดขึ้น นีราก็เดินออกมาจากห้องแต่งตัวที่อยู่ข้างกัน หล่อนมองสามีกับเด็กสาวสลับกันไปมา แล้วเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
“ก็ผู้ชายคนนี้น่ะสิคะพี่นีรา อยู่ๆ ก็ทะเล่อทะล่าเข้ามาในห้องแต่งตัวเฉยเลย เป็นโรคจิตหรือเปล่าก็ไม่รู้”
ได้ทีบูรณิมาก็รีบเอ่ยฟ้องผู้มาใหม่ ต่อให้จะยังไม่ได้สนิทสนมกันมากมายอะไร แต่ก็เคยร่วมถ่ายงานด้วยกันมาแล้วหลายครั้ง ในฐานะผู้หญิงด้วยกันยังไงเสียนีราก็ต้องเข้าข้างเธอ
“ผมนึกว่าคุณอยู่ในห้องนี้ก็เลยเข้ามา”
หลังจากมองยายมดตะนอยที่หาว่าเขาเป็นโรคจิตด้วยสายตาดุๆ ชายหนุ่มก็เอ่ยไปตามความเป็นจริง เพราะจวนจะถึงเวลาเที่ยงแล้ว ภรรยายังไม่เสร็จงานสักที เขาเกรงว่าจะสาย จึงเข้ามาตาม เนื่องจากทั้งคู่มีนัดทานข้าวเที่ยงกับญาติผู้ใหญ่ของนีราที่โรงแรมซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่นี่
“แต่คุณก็ควรจะเคาะประตูก่อน”
เสียงแข็งๆ ที่โพล่งขึ้นทำให้เขาหันไปถลึงตาใส่เด็กแสบ
“เอ่อ…ใจเย็นนะจ๊ะหนูบู้บี้ นี่คุณคิงส์สามีพี่เอง เขาคงคิดว่าพี่อยู่ในห้องนี้จริงๆ ก็เลยเข้ามาหา ยังไงก็ขอโทษด้วยนะจ๊ะ คุณคิงส์ขอโทษน้องเขาสิคะ”
ท้ายประโยคเจ้าหล่อนหันไปเอ่ยเป็นเชิงขอร้องสามีอย่างนุ่มนวล
“…”
“คุณคิงส์ขา ขอโทษน้องเขาเถอะนะคะ ถือว่านีราขอร้อง…นะคะ”
น้ำคำออดอ้อนทำให้คนฟังพ่นลมหายใจออกมา เพราะก่อนหน้าเขาได้ขอโทษสาวน้อยไปแล้ว แต่สุดท้ายก็ทนแววตาเว้าวอนของภรรยาไม่ไหว จำต้องเอ่ยปากออกมาอีกหน
“ขอโทษ”
ฟังคำขอโทษทื่อๆ ที่หลุดออกมาจากปากคนโอหังแล้วบูรณิมาก็นึกอยากจะแลบลิ้นใส่ เพราะยังฉุนไม่หาย หากแต่ทำได้เพียงกอดอกมองเมินเขา
“บู้บี้อย่าไปถือสาคุณคิงส์เขาเลยนะจ๊ะ”
“ค่ะ”
บูรณิมาหันไปคลี่ยิ้มบางๆ ให้นีรา เพื่อให้อีกฝ่ายคลายใจ
“น่ารักที่สุด”
คนสวยว่าพลางดึงร่างปุ๊กปิ๊กเข้าไปกอด ยกมือฟาดก้นงอนๆ แล้วเผลอขยำด้วยความมันเขี้ยว ทำเอาบูรณิมาสะดุ้งเฮือก เพราะไม่เคยชินกับการเข้าถึงเนื้อถึงตัวของอีกฝ่ายสักที ต่อให้นี่จะไม่ใช่ครั้งแรก ครั้นเห็นสามีมองมาด้วยสายตาชนิดหนึ่ง นีราก็รีบผละห่างไปยืนข้างเขา ก่อนจะนึกบางอย่างขึ้นได้
“เอ้อ…เกือบลืมแนะนำไปแน่ะ นี่ยายหนูบู้บี้ที่นีราเคยเล่าให้คุณฟังไงคะ”
“ผมไม่ได้อยากรู้จัก ‘เด็กนี่’ เสียหน่อย”
น้ำคำไว้ตัวทำให้บูรณิมาอ้าปากค้าง ส่วนภรรยาของเขาก็ถึงกับส่งยิ้มเจื่อนๆ เป็นเชิงขอโทษขอโพยมาให้ ครั้นนีราจะเอ่ยอะไรเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ เขาก็จูงมือหล่อนออกไปจากห้องแต่งตัวเสียดื้อๆ
“เฮอะ…ฉันอยากรู้จักคุณตายล่ะ อีตาลุงนิสัยเสียเอ๊ย!”
สาวน้อยยกมือเท้าสะเอว เบ้ปากบ่นอุบด้วยความหัวเสีย ก่อนจะเดินไปกดล็อกประตูห้องแต่งตัวที่คาดว่าเอวารินคงลืมล็อกตอนกลับออกไป หลังจากเอาชุดชั้นในมาให้เธอ