กริ๊งๆ ๆ ๆ
เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นติดๆ กันในยามอรุณรุ่ง ทำเอาบุรุษชาติอาหรับผู้สูงส่งด้วยฐานันดรศักดิ์ ซึ่งกำลังแต่งกายเตรียมออกไปรับมอบใบปริญญาดุษฎีบัณฑิตจากมหา
วิทยาลัยชื่อดังในกรุงลอนดอน มีอันต้องชะงักพระหัตถ์ไปครู่หนึ่ง คิ้วหนาขมวดเข้าหากันยุ่ง สงสัยว่าใครโทรมาหาพระองค์ตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางดีด้วยซ้ำไป
เมื่อเสียงโทรศัพท์ยังคงดังขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงง่ายๆ บุรุษชาติอาหรับผู้หล่อเหลา จึงเอื้อมพระหัตถ์ใหญ่ไปยกหูโทรศัพท์มาแนบหู แต่ไม่ทันได้ทักทายปลายทางที่โทรมา ก็มีน้ำเสียงร้อนรนของปลายทางเอ่ยพูดมาอย่างรวดเร็ว
“เจ้าชาย ฝ่าบาทถูกลอบปลงพระชนม์พ่ะย่ะค่ะ”
เจ้าชายคาริม อัลมาส ไคยล์ แทบทรุดกับข่าวร้ายที่สุดในชีวิต พระหัตถ์ใหญ่เอื้อมไปยันโต๊ะโทรศัพท์ไว้ เพื่อช่วยให้กายแข็งแกร่งสามารถหยัดยืนต่อไปได้
“เมื่อ...เมื่อไร ท่านพ่อถูกลอบปลงพระชนม์เมื่อไร”
เจ้าชายคาริมหลุดสุรเสียงตรัสถามออกมาได้อย่างยากลำบาก กล้ำกลืนความเจ็บอันเกิดจากข่าวร้ายที่ได้รับโดยไม่ทันตั้งตัว เข้าลำคอตีบตันแห้งเป็นผง
“เมื่อสองชั่วโมงที่ผ่านมาพ่ะย่ะค่ะ”
ปลายทางเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเทา ต่อให้เป็นองครักษ์ผู้อาจหาญมากเพียงใด แต่เมื่อต้องสูญเสียเจ้าเหนือหัวอันเป็นที่รักไปอย่างกะทันหัน ก็เกิดการหลั่งน้ำตาได้อย่างไม่อาย
“เราจะกลับบ้านเดี๋ยวนี้”
ราชนิกุลหนุ่มตรัสบอกสุรเสียงแผ่วเบา ดวงเนตรแดงก่ำ พระพักตร์คมเข้มเต็มไปด้วยริ้วรอยของความเสียพระทัย ไม่รู้ตัวว่าพระองค์ว่าปล่อยให้โทรศัพท์หลุดจากพระหัตถ์ไปตั้งแต่เมื่อใดกัน
โครม!!!
เสียงโทรศัพท์ที่หล่นกระแทกพื้นห้องจนแตกกระจาย ทำให้องครักษ์เอกซึ่งเพิ่งเดินเข้ามาในห้องนอนของเจ้าชายคาริมต้องเลิกคิ้วขึ้นสูง พร้อมกับเอ่ยถามเจ้าเหนือหนุ่มเพราะความสงสัย
“เจ้าชาย เกิดอะไรขึ้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านพ่อถูกลอบปลงพระชนม์...”
เจ้าชายคาริมตรัสตอบองครักษ์เอกด้วยสุรเสียงแผ่วเบาไม่ต่างลอยมากับสายลม ดวงเนตรแดงก่ำเสียยิ่งกว่าดวงตาของราชสีห์ได้รับบาดเจ็บ
“อะ...อะไรนะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ”
องครักษ์รามีล ริดา ซาติน ผู้เป็นองครักษ์เอกเบิกตาโต เอ่ยถามเจ้าเหนือหัวด้วยความตกใจ ไม่นึกว่าจะได้ยินข่าวร้ายในวันนี้
“องครักษ์ของท่านพ่อ โทรมาบอกเราเมื่อสักครู่นี้ว่า ท่านพ่อถูกลอบปลงพระชนม์ในห้องบรรทมของพระองค์ เมื่อสองชั่วโมงที่ผ่านมา”
ขณะตรัสตอบด้วยสุรเสียงอันแผ่วเบาเช่นเคย เจ้าชายคาริมก็ยกพระหัตถ์ลูบพระพักตร์อันหมองเศร้า พร้อมกันนั้นก็แอบเช็ดหยาดน้ำตาที่ซึมดวงเนตรอันแดงก่ำ ไม่อยากให้องครักษ์รามีลต้องเห็นน้ำตาของพระองค์
แม้จะเกิดมาเป็นชายชาติบุรุษ เกิดมาเพื่อเป็นองค์รัชทายาทปกครองรัฐไบลาร์ แม้จะถูกพระบิดาสั่งสอนให้เป็นบุรุษที่เข้มแข็ง เพื่อเป็นที่พึ่งของราษฎรรัฐไบลาร์ แต่เมื่อได้รับข่าวร้ายที่สุดในชีวิต และไม่มีโอกาสได้สวมกอดพระบิดา ไม่มีโอกาสได้มอบใบปริญญาดุษฎีบัณฑิตให้พระบิดาได้ชื่นชมกับความสามารถของพระองค์ เจ้าชายคาริมจึงไม่อาจหักห้ามน้ำตาให้เอ่อคลอดวงเนตรอันแดงก่ำได้
และไม่ว่าจะแอบซุกซ่อนหยาดน้ำตาแห่งความโศกเศร้าไว้มากเพียงใด องครักษ์รามีลก็ยังคงเห็นอยู่ดี และใช่ว่าจะมีแค่เพียงเจ้าชายคาริมที่เสียน้ำตาให้กับความสูญเสียในครั้งนี้ ตัวเขาเองก็เสียน้ำตาให้เจ้าเหนือหัวผู้ปกครองรัฐเช่น
เดียวกัน
“เจ้าชายจะกลับบ้านเดี๋ยวนี้เลยไหมพ่ะย่ะค่ะ”
เจ้าชายคาริมพยักพระพักตร์รับ พร้อมกับตรัสสั่งองครักษ์รามีลในคราเดียวกัน “เราจะกลับบ้านเดี๋ยวนี้ เจ้าไปเตรียมเรื่องการเดินทางให้พร้อมภายในหนึ่งชั่วโมง”
“พ่ะย่ะค่ะเจ้าชาย กระหม่อมจะจัดการเดี๋ยวนี้ อีกหนึ่งชั่วโมง เจ้าชายก็จะได้กลับบ้านแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
องครักษ์รามีลรับคำสั่งของเจ้าเหนือหัวหนุ่ม ให้เวลาตัวเองจัดการเรื่องการเดินทางกลับยังแผ่นผืนทะเลทรายแค่เพียงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น เพราะรู้ดีว่าตอนนี้เจ้าชายคาริมกำลังร้อนเป็นไฟ!
สิ่งที่องครักษ์รามีลคิดไว้ไม่มีผิด เจ้าชายคาริมกระชากเสื้อครุยและชุดที่ใส่เตรียมไปรับใบปริญญาออกให้พ้นตัว ก่อนจะคว้าเสื้อเชิ้ตสีดำสนิทไม่ต่างจากสีดวงเนตรของพระองค์มาสวมใส่แทน ก่อนหน้านี้พระพักตร์หล่อเหลา ดวงเนตรคมกล้าเต็มไปด้วยริ้วรอยของความหมองเศร้ากับการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ แต่! เมื่อนึกถึงคนที่บังอาจลอบปลงพระชนม์พระบิดาของพระองค์ ดวงเนตรที่เผยแววโศกเศร้ากำลังถูกแทนที่ด้วยเปลวไฟของความพิโรธ พระพักตร์ที่หม่นหมองถูกแทนที่ด้วยความแค้น
“เราจะกลับบ้านของเรา กลับไปตามเด็ดหัวคนที่มันบังอาจทำร้ายท่านพ่อของเรา” เจ้าชายคาริมเค้นสุรเสียงเย็นยะเยือก ดวงเนตรวาวโรจน์เพราะไฟแค้น
เจ้าเหนือหัวหนุ่มแค้นจัดมากเพียงใด องครักษ์รามีลก็แค้นจัดไม่แพ้กัน “กระหม่อมจะช่วยเจ้าชายตามล่าคนชั่วพวกนั้นเองพ่ะย่ะค่ะ”
“แน่นอนรามีล เจ้าต้องเป็นแขนเป็นขาช่วยเราลากคอคนพวกนี้มารับโทษ ตาต่อตา ฟันต่อฟัน มันเอาชีวิตของท่านพ่อไป เราก็จะกระชากวิญญาณออกจากร่างของมันเอง”
สุรเสียงที่ตรัสออกมาอย่างเย็นยะเยือก ไม่ต่างจากเสียงที่หลุดออกมาจากขุมนรก ทำเอาองครักษ์รามีลถึงกับขนหัวลุกพอง
“หนึ่งชีวิตของท่านพ่อ จะต้องแลกกับชีวิตของพวกแก ไม่ว่าแกจะเป็นใคร เจ้าชายคาริมสาบานว่าจะตามล่าพวกแกให้ถึงที่สุด!”
เจ้าชายคาริมกัดฟันดังกรอด พระหัตถ์ใหญ่ทั้งสองกำเข้าหากันแน่น สาบานกับพระองค์เองว่าจะไม่ปล่อยให้คนร้ายได้มีลมหายใจนานเกินควร
ในขณะเครื่องบินหลวงกำลังทะยานสู่ท้องฟ้า พาเจ้าชายคาริมกลับยังแผ่นดินทะเลทราย ภายในตำหนักของเจ้าชายคาดีม อัลมาส ไคยล์ เจ้าผู้ปกครองรัฐไบลาร์ ซึ่งถูกลอบปลงพระชนม์อย่างโหดเหี้ยม กำลังเต็มไปด้วยความอลหม่านวุ่นวาย บรรดาพระญาติและเจ้าหน้าที่ในสภาปกครอง ต่างก็ทะเลาะกันเสียงดังเซ็งแซ่ ทำเอาแผ่นดินรัฐไบลาร์ ต้องร้อนระอุลุกเป็นไฟ
ทว่า! คนเหล่านี้หาได้ทะเลาะกันเกี่ยวกับเรื่องการจัดพิธีพระศพของเจ้าชายคาดีมไม่ แต่พวกเขากำลังโต้เถียงกันถึงองค์รัชทายาทที่เหมาะสมสำหรับการก้าวขึ้นมาปกครองแผ่นดินรัฐไบลาร์แทนเจ้าชายคาดีม
“เราต้องการให้สภาพิจารณาเรื่องการแต่งตั้งองค์รัชทายาทขึ้นนั่งบัลลังก์แทนท่านพี่ของเรา”
เจ้าชายฮัสซัน อัลมาส ไคยล์ ผู้มีศักดิ์เป็นเชษฐาของเจ้าชายคาดีม ได้เสนอความเห็นในที่ประชุม ซึ่งเจ้าหน้าที่สภาทุกคนถูกเรียกประชุมทันทีที่มีข่าวว่าเจ้าชายคาดีมได้สิ้นพระชนม์แล้ว