ความแปลกประหลาดของเสี่ยวโซ่ว สร้างความฉงนใจให้หานไท่เวยเป็นอย่างมาก ทั้งหน้าตาที่คุ้นตาของนางและความเฉลียวฉลาดสดใสของนาง ก็ทำให้หานไท่เวยตัดสินใจกราบทูลซื่อจื่อให้ร่วมหอกับนางเสีย ถึงยามปกติจะมิมีทางเป็นไปได้ที่เสี่ยวโซ่วจะล้างเท้าให้หวงซื่อจื่อเลยก็ตาม
แต่ทว่ายามนี้นางคือสตรีเดียวในเมืองนี้ และนางมีผลงานใหญ่มากมาย ช่วยชีวิตเหล่าบุตรขุนนางและหวงซื่อจื่อเอาไว้ได้ อย่างไรในภายหน้านางก็ต้องได้รางวัล อีกทั้งหวงซื่อจื่อทรงโปรดนาง หากว่าต่อไปเกิดรบกันหนักขึ้น เกิดมีการสูญเสีย หานไท่เวยก็อยากให้หวงซื่อจื่อมีทายาทสืบไป
ยามนี้นั้นหานไท่เวยคิดถึงบุตรชายตนเองมาก ยามได้รบเคียงบ่าเคียงไหล่หวงซื่อจื่อ ก็อยากปกป้องไว้ ทดแทนที่ตนเองมิได้ดูแลบุตรชายของตนในยามที่มีสงครามเช่นนี้
หานซื่อจื่อมองเสี่ยวโซ่วหลายๆครา และเดินมาวนไปวนมา จนหวงซื่อจื่อนั้นเขม่นเข้าให้ กอดรัดนางคลุมผ้าไปจนแน่นหนาทันที หันมาถามหานไท่เวยอย่างคล้ายหวงของอย่างหนัก
“หานไท่เวยท่านคงมิได้คิดจะยุ่งกับเสี่ยวโซ่วของข้าใช่หรือไม่”
หานไท่เวยหัวเราะร่วนแล้วส่ายหน้าไปมาก่อนจะเกาคางที่มีหนวดเคราอีกครั้ง เอ่ยถามคนรอบกายของตนเองขึ้นมา
“พวกท่านว่าเจ้าหนูเสี่ยวโซ่วนี่ คล้ายคนที่คุ้นตาบ้างหรือไม่ ดวงตานี้ข้าคล้ายเคยพบที่ใดซักแห่งหนึ่ง ผู้ใดคุ้นเคยบ้างหรือไม่”
นายกองชุนนั้นในยามแรกก็คิดว่าเด็กสาวนี้คล้ายสตรีของตนเอง แต่พอยามนี้หันกลับมามองนางอีกครา ดวงตาของนายกองชุนนั้นเบิกกว้างและเอ่ยขึ้นมาในทันใด
“สตรีในหอเมฆาพยากรณ์ มีสตรีนางหนึ่งที่ร่ายรำขอฝน หนึ่งปีนางจะเปิดใบหน้าคราหนึ่ง นางมีใบหน้าเช่นนี้เลยขอรับไท่เวย”
ทุกผู้คนต่างมองไปในทางเดียวกัน เพราะก่อนสงครามนั้น สตรีในหอพยากรณ์ถูกลักพา และยามสุดท้ายพบว่าสตรีนางนั้นถูกสังหารเพื่อสาปแช่งเมืองนี้ให้มีภัย ร่างของนางคล้ายถูกผ่าท้องนำบุตรออกไป และถูกนำไปแขวนอย่างทารุณบนต้นท้อที่กลางเมือง หานไท่เวยตาโตขึ้นมาและขยับมาดูเสี่ยวโซ่วใกล้ๆ ก่อนจะแย้มรอยยิ้มออกมาพลัน
“หากว่านางคือบุตรของเหล่าเทพธิดาพยากรณ์จริงๆ แม้นางจะอาภัพเช่นนี้ แต่พวกเรามิคิดหรือ ว่ามารดาของนางอาจจะปกป้องนางอยู่ และอวยพรให้แคว้นหลิงของเรานั้นกลับมารุ่งเรืองอีกคราหนึ่ง วาสนาของนางจะหนุนพวกเราในภายหน้า มิว่าบิดาของนางจะคือผู้ใดกัน แต่นางนั้นคือสายเลือดบริสุทธิ์ของเทพธิดาพยากรณ์ พวกเราล้วนต้องมีชัยชนะในภายหน้า”
เสี่ยวโซ่วฟังแล้วก็สยดสยองขึ้นมา ที่ผู้คนบอกว่านางคือบุตรสาวของสตรีที่ถูกสังเวย เพื่อล้มล้างดวงของแคว้นนี้ มิใช่ว่านางคือเด็กสาวผู้นำพากาลกิณีมาสู่เมืองนี้เช่นนั้นหรือ นางสงสัย จึงปากพล่อยถามออกไปอีกครา
“หากว่าเรื่องราวนั้นน่าสยดสยองเช่นนั้น และภูมิหลังของข้านั้นอาจจะเป็นบุตรของชายผู้หยาบช้า มิใช่ว่าข้านั้นคือตัวซวยหรอกหรือเจ้าคะ แม้สายเลือดกึ่งหนึ่งบริสุทธิ์ อีกกึ่งอาจนำความโชคร้ายมาก็เป็นได้มิใช่หรือ”
หานไท่เวยหัวเราะลั่นและแย้มรอยยิ้มออกมาพลัน ลูบหัวของนางเบาๆและเอ่ยออกมาอย่างมิใส่ใจนัก
“หากยามปกติเจ้าคงโดนบูชายัญไปแล้วเพื่อลบล้างคำสาป แต่ยามนี้ไท่เวยผู้ยิ่งใหญ่เช่นข้า ก็ยังติดอยู่ในเมืองฝูหลิงนี้มิต่างกัน โชคดีมีเพียงที่ยังมิตาย โชคร้ายมีแค่ก็ตายมิต่างกัน จะใส่ใจเรื่องไร้สาระเช่นนี้ไปทำไม อีกอย่างสตรีในหอพยากรณ์นั้น ส่วนใหญ่ก็มีคนรักแล้ว พวกนางมักจะถวายตัวกับบุรุษชั้นสูง ก็มิแน่ว่าบิดาของเจ้าอาจเป็นผู้มีอำนาจผู้หนึ่งในเมืองหลวง เพราะในยามสุดท้ายนั้น ข้าจำได้ว่ามีบุรุษผู้หนึ่ง ไว้ทุกข์ให้มารดาของเจ้าและมิออกมาพบผู้คนอีกเลย และมินานก็มีสงครามเกิดขึ้นมา ข้าจึงมิได้ติดตามสิ่งใดต่อ ทุกผู้คนต่างเร่งอพยพกันถ้วนทั่ว ช่างสับสนอลหม่านนัก”
เสี่ยวโซ่วพยักหน้าหงึกๆและหันมองไปที่คนข้างกายในทันที ร่างหนากอดนางแน่นและอุ้มนางขึ้นในอกตน ก่อนจะประกาศลั่นในทันใด
“เสี่ยวโซ่วเป็นของข้ามิว่าผู้ใดก็ห้ามแตะ”
ผู้คนหัวเราะลั่น เพราะเสี่ยวโซ่วยังเป็นเด็กมิน่าพิศวาสอันใดนัก เหล่าเด็กชายบุตรขุนนางที่กำลังตกยากในยามนี้ และผู้คนที่ติดในเมืองฝูหลิงหัวเราะลั่นขึ้นมาพลัน ขบขันหวงต้าเหออย่างหนัก
“หวงต้าเกอท่านอยากได้สิ่งใดก็นำไปเถิด มิมีผู้ใดว่าท่านหรอก ท่านเสี่ยงชีวิตเพื่อพวกเรามากมาย ภายหน้านั้นพวกเราย่อมต้องหาทางตอบแทนแล้ว แต่ท่านอย่าลืมเล่า ในยามนี้เราติดอยู่ในเมืองนี้มานาน ต้องหาทางออกไปจากเมืองนี้ให้ได้ก่อนนะต้าเกอ”
“ฮ่า ฮ่า ข้าติดต่อกองทัพของบิดาได้แล้ว มินานพวกเราจะต้องลงสู่สนามรบจริงๆ หากมิตายก็อาจได้รวมแคว้นขึ้นมาอีกครั้ง ชีวิตของผู้คนภายหน้าคงสงบสุข และมิเสียหายจากภัยสงครามต่อไปอีก”
“ฮร่า ข้าคิดถึงครอบครัวของข้าจริงๆเลยต้าเกอ ป่านนี้พี่น้องหญิงจะมีภัยเช่นใดบ้างก็มิรู้ หากพวกนางถูกกวาดต้อนไป คงมีชีวิตที่อดสูและเสมือนตกนรกกันทั้งเป็น ก็ได้แต่หวังว่าทหารที่คุ้มกันน้องหญิงและพี่หญิงของข้า จะมีฝีมือมากพอที่จะอารักขาพี่น้องในเรือนข้าออกไปทัน”
ยู่ตงชิงบุตรชายเสนาบดีกลาโหมเอ่ยออกมาอย่างหดหู่นัก เพราะยามมีภัยนั้นทหารแยกเป็นสองทางเพื่อหาหนทางรอดให้ทายาทของเหล่าขุนนาง ยามที่บุตรชายสำคัญกว่าจึงแยกส่งมาทางกองทัพหลักให้คุ้มครองให้ ส่วนบุตรสาวนั้นก็แยกไปอีกทิศทางหนึ่งในชนบท แต่ลงท้ายแล้วข้าศึกโอบล้อมไปทุกทิศ ในชนบทก็มิใช่ว่าจะปลอดภัยเฉกเช่นกัน
ทุกคนถอนหายใจออกมาพลัน ก่อนที่เมิ่งฉีเซิงจะบินกลับมาด้วยปีกเหล็กพร้อมกับบิดาของหวงเกาเทียน หวงเกาเทียนเร่งไปรับบิดาที่บาดเจ็บมีผ้าพันแผลอยู่ทั่วกาย แต่ทว่าคิดถึงบุตรของตนเองมากทนอยู่ในค่ายต่อไปมิได้อีก
หวงอี้เกาต้าชินหวาง ทดลองใช้ปีกเหล็กเพียงครึ่งวันก็ขอติดตามเมิ่งฉีเซิงมาทันที แม้ว่าจะเสี่ยงอันตรายมากเพียงใด ก็ทรงทนคิดถึงบุตรแสนรักของตนมิได้อีก ยามเสียสตรีที่รักไปในสงครามแล้ว และบาดเจ็บสาหัสยามถอยร่นออกมาจากเขตปกครองทางเหนือ ยามนี้ทรงทานทนมิได้แล้ว จึงร้อนใจเร่งบินมาโดยไร้ผู้ติดตาม เพราะปีกเหล็กมีเพียงสองคู่เท่านั้น ยามฝ่าลมหนาวบนท้องฟ้าและบินมายาวนาน เมื่อลงมาที่ป้อมกำแพงเมืองฝูหลิงได้ และได้พบสายเลือดของพระองค์ น้ำตาสายหนึ่งก็หยดลงมาในทันที
“โฮ บุตรชายของบิดา เจ้าปลอดภัยดีก็ดีแล้ว มารดาของเจ้าจากไปแล้วเพราะปกป้องบิดา ชาวฉีอันสังหารนางไปแล้วเกาเอ๋อร์ โฮ”
หวงเกาเทียนชะงักและน้ำตาไหลลงมาในทันที เพราะมารดานั้นเป็นสตรีที่หวงเกาเทียนรักมากที่สุดในชีวิตตน เช่นนี้ร่างกำยำจึงทรุดลงกอดกันบนกำแพงนั้น ก่อนที่ทหารอารักขาจะมาช่วยประคองร่างของหวงอี้เกาชินหวางหามลงไปจากบนป้อม และพาไปพักนอนในเรือนของหวงเกาเทียน เสี่ยวโซ่วจึงต้องรับหน้าที่พยาบาลคนป่วยไปในยามนี้