ม่านซือซือจึงยกมือปิดสองเต้าไว้แล้วถดถอยหนีสุดชีวิต กระทั่งนางลื่นไถลไปตามทางลาด
“ซือซือ...”
เอี๊ยะถังเรียกหานาง ทว่าหญิงสาวกลับเงียบ เงียบจนน่าเป็นห่วง จากนั้นก็มีทหารยามออกมาเดินลาดตระเวน พร้อมกลุ่มมือปราบที่ส่งเสียงดังขึ้นว่า
“โจร... โจรราคะ จับตัวมันให้ได้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เอี๊ยะถังจึงไม่อาจเสียเวลาอันใด เขารีบแต่งตัวและเข้าไปรวมกลุ่มกับมือปราบคนอื่น แม้ใจนึกห่วงโฉมงามม่านซือซือ แต่เขาจะให้ผู้ใดพบเห็นว่าออกมาทำเรื่องเสื่อมเสียเกียรติที่สวนแปะก๊วยไม่ได้
ม่านซือซือพลัดตกลงไปในแม่น้ำ ร่างนางลอยไปเรื่อยๆ สติหญิงสาวหลับๆ ตื่นๆ นางพยายามรวบรวมแรงเพื่อยื้อชีวิตของตน สองมือไขว่คว้าไปข้างหน้า กระทั่งพบความแข็งอย่างหนึ่งเข้านางจึงยึดเอาไว้
“รอดแล้ว ข้าไม่ตายแล้ว!”
นางเอ่ยพร้อมกอดสิ่งแข็งแรงเอาไว้เป็นหลักยึด ก่อนจะต้องขวัญผวาด้วยสิ่งที่นางไขว่คว้านั้นไม่ใช่ท่อนไม้ หรือโขดหิน หากเป็นร่างของบุรุษ และเป็นบุรุษที่มีไอเย็น และผิวเขาขาว ขาวจัดราวกับหิมะ!
ณ ลานกว้างหน้าเรือนทานตะวัน
ม่านซือซือยังไม่ทันหายตกใจหลังจากถูกต้อนลงจากรถม้าคันใหญ่ นางไม่รู้เหนือรู้ใต้อันใด ก่อนหน้านี้ก็ถูกต้อนให้ขึ้นรถม้าอีกคันที่ใหญ่กว่าเดิม แล้วถูกมัดมือปิดตาและได้ยินแต่เสียงอื้ออึงรอบกาย จึงทำให้เครียดจนแทบคลั่ง
ระหว่างเดินทางยังมีเสียงครางแปลกๆ ของชายหญิง ก่อนจะตามมาด้วยกลิ่น กลิ่นคาวที่นางไม่อาจล่วงรู้ว่าเกิดจากสิ่งใด
กระทั่งลงมายืนที่พื้นดิน นางก็ถูกสั่งให้เดินตามก้นสตรีนางอื่น กระทั่งเข้ามาถึงส่วนด้านในของคฤหาสน์อันใหญ่โต และมันถูกแบ่งเป็นเรือนหลังเล็กๆ หลายหลัง ดูจากหมายเลขของเรือน คงมีราวๆ 10-12 หลัง
“เข้าไปรอที่ลานหน้าเรือนทานตะวัน” คำสั่งของแม่นมเอ่ยเสียงดังเฉียบขาด เมื่อดูท่าทางนางก็คาดว่าไม่ได้สูงวัยสักเท่าไหร่ แต่ด้วยไร้รอยยิ้มและการยืนหลังตรงราวกับสตรีที่ถูกฝึกมาอย่างดี อีกทั้งมีสาวใช้เดินตามนางเป็นพรวน ทำให้นางรวมถึงสตรีที่ถูกขายมาต่างพากันอกสั่นขวัญแขวน
“เหตุใดถึงได้มีเรื่องบัดซบเช่นนี้เกิดขึ้นกับข้าได้ ข้ารู้เพียงแต่ว่าต้องออกมาไหว้พระที่อารามศักดิ์สิทธิ์ ไฉนถึงตกเป็นสาวใช้ต่ำต้อยที่ต้องมาปรนนิบัติชายวิปริต!” สตรีนางหนึ่งที่แต่งตัวงดงามมิน้อยร้องเสียงดัง ถึงนางไม่ใช่คุณหนูจากสกุลใหญ่แต่คงมีการศึกษา และไม่อาจยินยอมให้เรื่องเลวร้ายเกิดกับตน
“ฮูหยินใหญ่เรือนของเจ้าขายเจ้าให้กับคฤหาสน์สัตต บงกชแล้วยังมีสิทธิ์อันใดเรียกร้องอีก และหากข้าไม่ถามอย่าได้แส่ ไม่เช่นนั้นจะถูกสั่งตบปากจนพูดไม่ได้อีกเลย”
“ขาย! แม่ใหญ่จะขายข้าได้อย่างไร ข้าเป็นคนของสกุลเถา...” เถาจื่อได้ยินเช่นนั้นนางก็แทบลมจับ นางจะมาอยู่ในคฤหาสน์บนเขาสูงและยังมีผู้คนที่มากด้วยกฎระเบียบได้อย่างไร เมื่อคิดได้อย่างนั้น นางจึงกลัวจับจิตจนขาอ่อนแรงล้มลงไปกองอยู่บนพื้น
ม่านซือซือไม่ได้ปริปากกล่าวสิ่งใดกับใครตั้งแต่ลงจากรถม้าคันใหญ่ ซึ่งหลายชั่วยามก่อนนางได้ทราบจากบ่าวรับใช้บิดาให้ไปรับของสำคัญที่หอดอกเหมย ซึ่งมันกลับเป็นจดหมายขายนางให้แก่ผู้อื่น
หัวใจหญิงสาวเจ็บแปลบ นางเสียใจเป็นอย่างมาก อีกทั้งนางกำลังสิ้นหวัง
“ท่านพ่อสั่งให้พวกเจ้าทำเช่นนี้กับข้ารึ” ม่านซือซือที่เงียบมานานเอ่ยถามแม่นมที่มีนามว่าเหม่ยหลาน
“แม่นางซือซือ... เจ้าถูกขายให้กับคฤหาสน์สกุลจ้าว จงทำใจเสียเถอะ อย่าคิดให้มาก และดีเท่าไหร่ที่ไม่ถูกส่งไปยังซ่องหรือใช้แรงงานที่ชายแดน”
“ข้าจะถูกขายได้อย่างไร ข้ามารับหนังสือให้ท่านพ่อ พวกเจ้าหลอกลวงข้า” ม่านซือซือยังไม่อยากยอมรับความจริงจึงเอ่ยเช่นนั้นออกมา
“หนังสือรึ ฮ่าๆๆ นั่นมันเป็นหนังสือขายตัวเจ้าต่างหาก แม่นางซือซือเป็นคนมีความรู้อ่านออกเขียนได้ ไยจะไม่รู้ว่าในกระดาษแผ่นนั้นเขียนคำใดไว้บ้าง”
ม่านซือซือตัวแข็งทื่อ นางได้อ่านข้อความในจดหมาย และสิ่งที่คนพวกนี้กล่าวเป็นความจริง แต่นางอดคิดไม่ได้ว่าอาจเป็นเรื่องเข้าใจผิด บิดาย่อมไม่มีทางขายนางให้แก่คนชั่วเหล่านี้
“เจ้าถูกขายแล้ว จำคำนี้ไว้ให้ขึ้นใจ” เหม่ยหลานเอ่ยจบก็หันไปสั่งงานนางทาสที่อยู่ข้างๆ ตัว
ม่านซือซือนิ่งงันไปแต่สมองคิดแทบระเบิด และนับว่านางยังมีความหวังอยู่ เพราะก่อนไปที่ศาลต้าเหลียง นางให้หญิงรับใช้ส่งจดหมายให้เอี๊ยะถัง ขอเพียงเขาได้อ่านมัน คนรักของนางย่อมไปรอพบนางที่อารามนอกเมือง เรื่องที่เกิดขึ้นในคืนเทศกาลโคมไฟนางให้อภัยแก่เขาแล้ว และเป็นนางที่ตั้งใจนัดแนะเขาไปเพื่อปรับความเข้าใจกันอีกครั้ง แล้วถ้าหากเขาไม่พบนาง เอี๊ยะถังคงต้องไม่นิ่งนอนใจเป็นแน่!
หญิงสาวคิดแล้วหัวใจก็แช่มชื่นขึ้นมา อย่างน้อยนางคงไม่ต้องอยู่ในสถานที่แห่งนี้ไปชั่วชีวิต
แต่ความหวังของม่านซือซือพลันหายไปอย่างรวดเร็ว เมื่อน้ำเสียงของเหม่ยหลานกล่าวขึ้นอย่างห้วนและแข็งกระด้าง
“พวกเจ้าทั้งเก้าคนต้องมาเป็นสาวใช้ที่นี่ ทำทุกอย่างตามกฎของบ้าน โดยมีข้า เหม่ยหลาน เป็นคนดูแลพวกเจ้า ผู้ใดฝ่าฝืนหรือกระทำผิดย่อมต้องรับโทษสถานหนัก”
ม่านซือซืออ่านตำราหลากหลาย และเรื่องราวโหดร้ายในเรือนของคนร่ำรวยหรือขุนนางโฉด นางเคยอ่านพบและรู้สึกเสียขวัญ และคฤหาสน์หลังนี้เท่าที่นางประเมินด้วยสายตาย่อมต้องเป็นของขุนนางใหญ่